แม้ได้สัญญาณบวกจาก World Bank แต่ต้องระวังไม่ให้ 'หวยเกษียณ' กลายเป็นนโยบายพนันที่แฝงการออม

นักวิชาการธรรมศาสตร์ ชี้ World Bank ชม ‘หวยเกษียณ’ เป็นสัญญาณบวก เหตุสร้างวินัยการออมโดยไม่บังคับ ผสมผสานเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมกับเป้าหมายเศรษฐกิจ คาดนำไปปรับใช้กับประเทศแถบแอฟริกา ละตินอเมริกา หรือเอเชียใต้ เตือน! รัฐต้องระวังไม่ให้กลายเป็นนโยบายการพนันที่แฝงมากับการออม เสนอผลักดันร่วมกับพัฒนาระบบบำนาญถ้วนหน้าเดือนละ 2,000 บาท ยกเคสตัวอย่าง บำนาญ 3 เสาหลัก ของสวิสเซอร์แลนด์ ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้สูงวัย

24 เมษายน 2568 - รศ.ดร.อัจฉรา ชลายนนาวิน คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) เปิดเผยว่า การที่คณะผู้บริหารธนาคารโลก (World Bank) แสดงความสนใจและให้การชื่นชมโครงการหวยเกษียณ หรือสลากออมสินดิจิทัลเพื่อการออมระยะยาว ถือเป็นสัญญาณบวกต่อประเทศไทยในมิติของการออกแบบนโยบายที่ส่งเสริมการออมแบบจูงใจพฤติกรรม (behavioral policy design) โดยมีการผสมผสานแนวคิดแรงจูงใจเชิงพฤติกรรมกับเป้าหมายทางเศรษฐกิจไว้ด้วยกัน

ทั้งนี้เพราะโครงการดังกล่าวได้ใช้กลไกการลุ้นรางวัลเพื่อจูงใจให้ประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มรายได้ปานกลางถึงรายได้น้อยให้มีการยอมออมเงินในระยะยาว ช่วยให้ประชาชนรู้สึกว่าการออมนั้นไม่ใช่เรื่องไกลตัว สามารถทำได้ง่ายและยังได้ลุ้นรางวัล ซึ่งจะส่งผลให้เกิดวินัยทางการเงิน โดยแนวทางนี้ไม่ได้ใช้มาตรการภาษีหรือการบังคับเหมือนกับที่หลายๆ ประเทศใช้

“ในทางจิตวิทยาเรียกว่าการเสริมแรง (reward reinforcement) เพื่อส่งเสริมพฤติกรรมในเชิงบวกของมนุษย์ ธนาคารโลกจึงถือว่านี่เป็นตัวอย่างของเศรษฐศาสตร์พฤติกรรม (nudge economics) ที่ช่วยให้ผู้คนออมได้ โดยไม่ผ่านการบังคับ ทั้งยังสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) และนโยบายผู้สูงอายุ (Aging Policy) อีกด้วย” รศ.ดร.อัจฉรา กล่าว

นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าวต่อไปอีกว่า ด้วยเหตุที่ประเทศไทยกำลังเข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ การสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนออมเพื่อวัยเกษียณจึงเป็นนโยบายที่จำเป็น ซึ่งการที่ธนาคารโลกต้องการศึกษาโมเดลนโยบายดังกล่าวของไทย ส่วนตัวมองว่าธนาคารโลกคงต้องการนำไปปรับใช้กับประเทศในแถบแอฟริกา ละตินอเมริกา หรือเอเชียใต้ ที่มีบริบทคล้ายคลึงกัน

อย่างไรก็ตาม ยังคงมีสิ่งที่ควรให้ความระมัดระวังคือนโยบายดังกล่าวอาจกลายเป็นนโยบายการพนัน ที่แฝงมาในรูปแบบการออม เพราะหากนานไปอาจทำให้พฤติกรรมหรือวินัยในการออมเงินระยะยาวของประชาชนเปลี่ยนแปลงไป เพราะเน้นและคาดหวังถึงผลรางวัลมากกว่าความมั่นคงทางการเงิน รวมไปถึงความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูลที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของประชาชน จนอาจทำให้บางกลุ่มหลงเข้าใจผิดว่า หวยเกษียณคือการลงทุนที่คุ้มค่า ซึ่งตามหลักการกระจายความเสี่ยงแล้วควรจะต้องมีการกระจายการลงทุนในหลากหลายรูปแบบ

ดังนั้นภาครัฐต้องไม่ทำให้โครงการหวยเกษียณกลายเป็นการพนันแฝง หรือทำให้ประชาชนเข้าใจผิดว่าเป็นการลงทุนหวังผลตอบแทนสูง รัฐจึงต้องมีการกำกับดูแลและสื่อสารทางสาธารณะอย่างชัดเจนว่าโครงการนี้มีเป้าหมายหลักอยู่ที่การออมเพื่อวัยเกษียณ และในระยะยาวควรมีการศึกษาผลกระทบต่อพฤติกรรมการออม การใช้จ่ายของประชาชน โดยเฉพาะในกลุ่มเปราะบาง เพื่อปรับปรุงนโยบายให้เข้ากับบริบทของสังคมไทยที่มีความเป็นพลวัตอย่างสม่ำเสมอ

มากไปกว่านั้น รัฐควรส่งเสริมการออมในรูปแบบดังกล่าวควบคู่ไปกับการพัฒนาโครงสร้างบำนาญถ้วนหน้าและรัฐสวัสดิการ เพื่อแก้ปัญหาคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน เพราะบริบทของสังคมไทยในวันนี้ ผู้มีสวัสดิการบำนาญหลังเกษียณไม่ถึง 10% เท่านั้น และผู้สูงวัยส่วนใหญ่ประคองชีวิตตนเองด้วยเบี้ยผู้สูงอายุ จำนวน 700 - 1,250 บาท ต่อเดือน ตามแต่ช่วงอายุที่รัฐจัดสรรให้ ซึ่งส่วนตัวมองว่าน้อยเกินไป ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ จริงๆ เบี้ยผู้สูงอายุควรจะพิจารณาปรับเพิ่มให้อยู่ที่ 2,000 บาทต่อเดือนเป็นอย่างต่ำ จึงจะสอดคล้องกับค่าครองชีพของท้องถิ่น

รศ.ดร.อัจฉรา กล่าวต่อไปอีกว่า มีกรณีศึกษาตัวอย่างเรื่องระบบการบริหารจัดการดบำนาญของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ชื่อว่าระบบบำนาญ 3 เสาหลัก (Three Pillars) ประกอบด้วยเสาที่หนึ่ง คือเงินบำนาญภาคบังคับที่รัฐจัดสรรให้ เสาที่สอง เงินบำนาญที่เกิดจากการสมทบร่วมกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง ฝ่ายละ 50% ซึ่งคล้ายคลึงกับระบบประกันสังคมของไทย เสาสุดท้าย คือเงินบำนาญที่เกิดจากการออมแบบสมัครใจ เช่น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และประกันชีวิตแบบบำนาญ เป็นต้น

ทั้งนี้ ด้วยกลไกของระบบบำนาญทั้ง 3 เสา จะออกแบบให้ผู้ที่กำลังจะเกษียณมีรายรับต่อเดือน มากกว่า 60% ของฐานเงินเดือนสุดท้าย คิดเป็นเงินขั้นต่ำโดยเฉลี่ยราว 29,000 ฟรังก์ต่อปี ซึ่งจะทำให้ผู้คนเหล่านั้น มีความพร้อมในการใช้ชีวิตช่วงบั้นปลายอย่างมีคุณภาพ สิ่งต่างๆเหล่านี้ ประเทศไทยสามารถนำมาปรับใช้เพื่อยกระดับการรับมือภาวะสังคมสูงวัยที่กำลังเผชิญได้

“เราควรมองในเรื่องสวัสดิการของผู้สูงอายุ เป็นรูปแบบของความเป็นอยู่ที่ดีของมนุษย์ มันไม่ใช่แค่ว่าว่าเราเป็นคนชรา แล้วเราได้เงินบำนาญเพียงเพื่อแค่ประทังความยากจนเท่านั้น เพราะนอกจากจะมีชีวิตขั้นพื้นฐานที่ดีแล้ว เขาควรจะต้องมีชีวิตที่มีคุณภาพด้วย ไม่ใช้แค่ใช้ชีวิตอยู่ได้” นักวิชาการธรรมศาสตร์ กล่าว.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

นักวิชาการ มธ. คนแรกของอาเซียน คว้ารางวัล People of ACM

นักวิชาการ มธ. คนแรกของไทยและอาเซียน ได้รับเลือกเป็น People of ACM จากบทบาทพัฒนาทักษะซูเปอร์คอมพิวเตอร์ให้ประชาชนภาคเหนือ เชื่อมเทคโนโลยีขั้นสูงสู่การสร้างนวัตกรรมแก้ปัญหาพื้นที่

นักวิชาการ มธ. ชูแผน 3 ระยะ แก้วิกฤติซากขยะหลังน้ำลดหาดใหญ่

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เสนอแผน 3 ระยะแก้วิกฤติซากขยะ “หาดใหญ่” หลังน้ำลด ระยะเร่งด่วน “เทศบาล-อบต.” ต้องกำหนดจุดทิ้งขยะใกล้ชุมชน

น้ำลดแต่ความเครียดยังพุ่ง! นักวิชาการเตือนภาวะ Survival Guilt

นักวิชาการ มธ. ห่วงแม้น้ำหาดใหญ่ลด แต่ความเครียดยังพุ่ง เสนอเร่งดูแลสุขภาพจิตและเฝ้าระวัง 3 กลุ่มเสี่ยง ชี้คนเสพข่าวหนักอาจเข้าสู่ภาวะ Survival Guilt ขณะเดียวกัน “ธรรมศาสตร์” ร่วมวุฒิสภาและหลายหน่วยงาน ตั้งฐานข้อมูลน้ำท่วมระดับประเทศ ช่วยเตือนภัยและวางนโยบายรับมือภัยพิบัติให้แม่นยำขึ้น

นักวิชาการ มธ. เชื่อ ‘จีดีพี Q4’ 1.1% ไม่เกินจริง หนุนรัฐปูพรมถก FTA ดันส่งออก  

นักวิชาการธรรมศาสตร์ เชื่อมีความเป็นไปได้ที่จีดีพีไตรมาส 4 จะอยู่ที่ 1.1% ชี้แม้ไม่บรรลุผลเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ

ชวนรู้จักกับ “วารสารศาสตราธร” รางวัลคุณภาพคนวงการสื่อไทย พร้อมส่องรายชื่อคนดัง ที่เคยได้รับรางวัล 3 ปีย้อนหลัง สะท้อนไอดอลสื่อยุคใหม่ที่สังคมต้องการ

หากเอ่ยชื่อ “รางวัลวารสารศาสตราธร” ซึ่งในปีนี้จะมีอายุเพียง 4 ปี อาจรู้สึกว่าเป็น “รางวัลน้องใหม่” แต่ถ้าบอกว่าจัดตั้งและมอบโดยคณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สถาบันผู้บุกเบิกการศึกษาด้านสื่อสารมวลชนแห่งแรกของประเทศไทย