นายกฯ เตรียมนำคณะลงพื้นที่สุรินทร์-บุรีรัมย์ ติดตามสถานการณ์ชายแดน

นายกฯ เตรียมนำคณะลงพื้นที่ สุรินทร์-บุรีรัมย์ ติดตามสถานการณ์ชายแดน-เยียวยาผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมพบปะให้กำลังใจปชช.-กำลังพล พรุ่งนี้

2 ตุลาคม 2568 - นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย มีกำหนดการเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ ในวันที่ 3 – 4 ตุลาคม 2568 เพื่อติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ รวมถึง ติดตามการเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบ พร้อมกับเยี่ยมให้กำลังใจกำลังพลในพื้นที่ โดยมีพลเอก ณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ร่วมคณะ

สำหรับกำหนดการตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์นั้น ในวันที่ 3 ตุลาคม 2568 เวลา 10.00 น. นายกรัฐมนตรีจะออกเดินทางจากท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ไปยังท่าอากาศยานบุรีรัมย์ โดยจะร่วมรับฟังบรรยายสถานการณ์เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ณ ห้องประชุมเหมะบุตร กองกำลังสุรนารี อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ จากนั้นนายกรัฐมนตรีจะตรวจติดตามการเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ และพบปะประชาชน หัวหน้าส่วน นายอำเภอ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล และกำนันในพื้นที่ ณ โดมโรงเรียนพนมดงรักวิทยา อำเภอพนมดงรัก จังหวัดสุรินทร์

วันที่ 4 ตุลาคม 2568 นายกรัฐมนตรี จะพบปะประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย - กัมพูชา เพื่อรับทราบปัญหาและความต้องการของประชาชน พร้อมมอบนโยบายแนวทางการเยียวยาและการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับผลกระทบในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ณ ห้องประชุมเทศบาลตลาดนิคมปราสาท อำเภอบ้านกรวด จังหวัดบุรีรัมย์ ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจ นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะเดินทางจากท่าอากาศยานบุรีรัมย์ กลับถึงท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ ทั้งนี้ กำหนดการอาจมีการเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม

“การเดินทางไปตรวจราชการจังหวัดสุรินทร์และบุรีรัมย์ในครั้งนี้ เป็นการตรวจติดตามสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่บริเวณแนวชายแดนไทย - กัมพูชา เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนและผู้ประกอบการในพื้นที่ ตลอดจนสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนทั่วประเทศว่า รัฐบาลให้ความสำคัญต่อการดูแลความปลอดภัยและความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างเต็มกำลัง โดยเน้นการทำงานร่วมระหว่างหน่วยงานด้านความมั่นคงและฝ่ายปกครอง เพื่อให้การดำเนินการเยียวยาเป็นไปอย่างรวดเร็วและทั่วถึง ขณะเดียวกัน ก็เร่งสร้างความมั่นคงและฟื้นฟูความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา เพื่อให้ชายแดนไทยกลับคืนสู่ความสงบและมั่นคงโดยเร็ว” โฆษกประจำสำนักนายกฯ ระบุ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ทัพเรือเผยเหตุเขมรบุกหนัก เคยใช้สไนป์เปอร์ลอบยิง ผบ.หน่วย ก่อนเปิดฉากรบ

โฆษกกองทัพเรือเปิดเผย ช่วงก่อนการโจมตีบ้านเรือน 3 หลัง ฝ่ายกัมพูชามีความพยายามยั่วยุหลายครั้ง รวมถึงเหตุใช้พลซุ่มยิงลอบยิงผู้บังคับหน่วยระดับผู้นำ ก่อนสถานการณ์พัฒนาไปสู่การสู้รบ

กองทัพบกประณามกัมพูชา ใช้กำลังโจมตีพลเรือนชายแดน

โฆษกกองทัพบกระบุ การโจมตีชุมชนและบ้านเรือนประชาชนใกล้แนวชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นการใช้กำลังไม่เลือกเป้าหมาย ละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม ส่งผลกระทบรุนแรงต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนไทยจำนวนมาก

ทภ.2 สรุปชายแดนไทย-กัมพูชา ปะทะเป็นระยะ โดรนฝ่ายตรงข้ามหนาแน่น

กองทัพภาคที่ 2 รายงานภาพรวมสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา พบการปะทะต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ฝ่ายตรงข้ามใช้งานโดรนและอาวุธหนักหนาแน่น ขณะฝ่ายไทยยิงตอบโต้ทำลายที่ตั้งยิงและยานพาหนะได้หลายครั้ง สถานการณ์ยังอยู่ในการควบคุม

ทภ.2 มีหลักฐานเขมรละเมิดอนุสัญญาเจนีวา-กฎหมายมนุษยธรรม 3 ประการ

กองทัพภาคที่ 2 เปิดข้อมูลการสู้รบชายแดนไทย-กัมพูชาตลอด 13 วัน ระบุพบพฤติกรรมทางทหารของฝ่ายกัมพูชาที่เข้าข่ายละเมิดอนุสัญญาเจนีวาและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ชี้ชัดการใช้โบราณสถานเป็นฐาน การดึงพลเรือนร่วมปฏิบัติการ และการนำพลเรือนเข้าสู่พื้นที่การรบ

'ปานเทพ' เรียกร้องเอาผิดไส้ศึกส่งน้ำมันให้เขมร ชี้เข้าข่ายโทษประหาร!

ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน ระบุผู้ที่ส่งน้ำมันซึ่งเป็นยุทธปัจจัยให้กัมพูชา ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม เข้าข่ายช่วยข้าศึกทำร้ายทหารและพลเมืองไทย ขอให้ประชาชนช่วยแจ้งความดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 122 ซึ่งมีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต

‘จตุพร’ เตือนสงครามไทย-กัมพูชา ต้องไม่จบแบบโง่ๆ แค่ให้พ้นสิ้นปี

จตุพร พรหมพันธุ์ ระบุว่าสันติภาพจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อกัมพูชาคืนดินแดนไทยและหยุดยิงจริง ชี้หากสงครามจะยุติในช่วงสิ้นปี ต้องไม่จบแบบลวงโลกหรือซ้ำรอยการหยุดยิงรอบแรก พร้อมย้ำไทยไม่อาจแลกแผ่นดินกับสันติภาพจอมปลอม