3 พ.ค.2565 - นายพริษฐ์ วัชรสินธุ หรือ 'ไอติม' อดีตผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพ พรรคประชาธิปัตย์ ที่เพิ่งเปิดตัวเป็นสมาชิกพรรคก้าวไกล เมื่อ 30 เม.ย.ที่ผ่านมา ได้เผยแพร่มุมมองว่าด้วยเรื่อง "อนาคตของประเทศไทย" ผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว โดยมีรายละเอียดว่า "...ผมเชื่อ ว่าทุกท่านรับรู้มาโดยตลอดว่าประเทศเราเดินหลงทางมานานแค่ไหน – เราเป็นแชมป์ภูมิภาค ASEAN หากวัดจากจำนวนรัฐประหาร และ ไม่นานมานี้ เราก็เป็นแชมป์โลก หากวัดจากความเหลื่อมล้ำทางทรัพย์สิน
และผมก็เชื่อ ว่าทุกท่านทราบดีว่าหนทางข้างหน้าจะท้าทายขึ้นกว่าเดิมแค่ไหน – ไม่ว่าจะปัญหาด้านความเหลื่อมล้ำ ปัญหาเรื่องสังคมสูงวัย หรือ ปัญหาภาวะโลกรวน
แต่ถึงแม้เราจะกำหนดจุดหมายปลายทางหรือเส้นทางที่ถูกต้อง แม่นยำและสวยหรูแค่ไหน เราก็ไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันได้ หากเราไม่หันมาเปลี่ยนสิ่งที่เรียกว่า “โครงสร้าง” ของประเทศ
ถ้าท่านอยากเห็นภาพว่า “โครงสร้าง” ที่ผมพูดถึงนั้น คืออะไร และกำลังเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาของประเทศเราแค่ไหน ผมคิดว่าแทบจะทุกปัญหาเชิงโครงสร้างของประเทศเรา สามารถถูกสรุปได้ผ่าน #หนังสือ3เล่ม
#หนังสือเล่มที่1 = รัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ
รัฐธรรมนูญ ฉบับปัจจุบัน เป็นอุปสรรคอย่างไรต่อประชาธิปไตย ผมคงไม่ต้องพูดเยอะ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุกท่านคงได้เห็นถึงความบิดเบี้ยวของกลไกทางการเมืองต่างๆที่ถูกออกแบบมาไว้ เพื่อสืบทอดอำนาจของระบอบประยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นวุฒิสภา ศาลรัฐธรรมนูญ องค์กรอิสระ หรือ แผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี
แต่รัฐธรรมนูญ ฉบับ 2560 เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเช่นกัน ซึ่งผมขอยกมา 3 ตัวอย่าง
1.1. ทุกคนมักจะพูดเสมอว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ การเมืองต้องมี “เสถียรภาพ
แต่ “เสถียรภาพ” ที่ยั่งยืนและถาวร มันต้องไม่ใช่ “ความเงียบ” ที่เกิดขึ้นจากการใช้อำนาจรัฐที่สืบทอดมาจากปลายกระบอกปืน มากดขี่และปิดปากประชาชน
เพราะ “เสถียรภาพ” ที่ยั่งยืนและถาวร มันต้องเป็น “สันติภาพ” ที่เกิดขึ้นจากการมีอยู่ของรัฐ ที่เป็นที่ยอมรับของประชาชน ผ่านการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรม
ถ้าเราอยากให้การเมืองเรามีเสถียรภาพอย่างแท้จริง เราจึงต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ไม่เปิดช่องให้ ส.ว. แต่งตั้ง 250 คน มีอำนาจในการขัดเจตนารมณ์ของประชาชนกว่า 50 ล้านคน / ไม่เปิดช่องให้ศาลหรือสถาบันทางการเมืองใดๆรับรองการทำรัฐประหาร / และไม่เปิดช่องให้นิรโทษกรรมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
1.2. ทุกคนมักจะพูดเสมอว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ เราต้องส่งเสริมการแข่งขันและทลายการผูกขาด
แต่ “การแข่งขัน” ในตลาดใดๆก็ตาม - ไม่ว่าจะเป็นคนที่มาแข่งกันขายเหล้า หรือ พรรคที่มาแข่งกันขายนโยบาย - ไม่สามารถนำไปสู่ประโยชน์สูงสุดของผู้บริโภคหรือประชาชนได้ ตราบใดที่กฎหมายถูกเขียนไว้เพื่อรักษาการผูกขาดในตลาด เพื่อกีดกันผู้เล่นใหม่ และเพื่อ “ล็อกสเปก” ไว้ล่วงหน้าแล้วว่าใครจะเป็นผู้ชนะ
ถ้าเราอยากได้การแข่งขันในทุกมิติจริงๆ เราต้องเป็นเดือดเป็นร้อน ไม่ใช่แค่กับการผูกขาดทางเศรษฐกิจ อย่างเช่นการปรับโครงสร้างในตลาดเครือข่ายมือถือที่กำลังจะเปลี่ยนจาก 3 เจ้าใหญ่ มาเหลือเพียงแค่ 2 เจ้า แต่เราต้องเป็นเดือดเป็นร้อนการผูกขาดทางเศรษฐกิจ อย่างเช่นกัน รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ได้สร้างตลาดที่ “ผูกขาด” อำนาจไว้ที่เจ้าเดียว - ใครจะเป็น ส.ว. ก็ถูกแต่งตั้งจากคนกลุ่มเดียว / ใครจะมาเป็นศาลรัฐธรรมนูญหรือองค์กรอิสระ ก็ต้องถูกแต่งตั้งโดย ส.ว. กลุ่มนั้น / และคนกลุ่มนี้ ก็สามารถรวมกันขับเคลื่อนรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ออกจากตำแหน่งได้ด้วยข้ออ้างที่มีชื่อว่า “ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี”
1.3. ทุกคนมักจะพูดเสมอว่าจะแก้ปัญหาเศรษฐกิจได้ ประเทศต้องปราศจากการทุจริต
แต่ตั้งแต่คณะรัฐประหารของ พล.อ.ประยุทธ์ ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนด้วยข้ออ้างเรื่องการทุจริต และใช้วิธีการแต่งตั้งคนของตัวเองมาอยู่ในตำแหน่งสำคัญๆ โดยการอ้างว่าพวกเขาเป็น “คนดี” ตามมาตรฐานจริยธรรมส่วนตัว แทนที่จะสร้าง “ระบบที่ดี” ตามมาตรฐานความโปร่งใสสากล เราเห็นว่าดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชันของไทยกลับลดพรวด 25 ลำดับ ห้อยท้ายอยู่ที่ลำดับ 110 จาก 180 ประเทศทั่วโลก
ถ้าเราอยากได้ประเทศที่แก้ปัญหาการทุจริตได้จริง เราจึงต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ที่ไม่ต้องไปโฆษณากับใครว่าเป็น “รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง” แต่สามารถปราบโกงได้จริงโดยการ คุ้มครองสิทธิของประชาชนให้เข้าถึงข้อมูลทุกส่วนของภาครัฐ คุ้มครองสิทธิของผู้แทนประชาชนในการตรวจสอบทุกหน่วยงานภาครัฐ และคุ้มครองความปลอดภัยของประชาชนและข้าราชการที่ออกมาเปิดโปงการทุจริต
รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน จึงมีข้อตกหล่นบกพร่อง ทั้งในด้านประชาธิปไตย และในด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ
แต่ผ่านมา 3 ปี 21 ร่าง และ 235,979 รายชื่อจากประชาชน รัฐธรรมนูญสารพัดปัญหาฉบับนี้ กลับถูกแก้ไขเรื่องเดียว คือระบบเลือกตั้ง
ในการเลือกตั้งครั้งหน้า มันจึงไม่พอครับ ที่เราจะมาพูดกันแค่ว่าจะแก้หรือไม่แก้รัฐธรรมนูญ แต่เราต้องนำเสนอ #รัฐธรรมนูญฉบับก้าวไกล ให้ประชาชนได้รับความชัดเจน ว่าถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราต้องการจะแก้อะไรเป็นอะไร เพื่อทั้งนำมาใช้ชั่วคราวแทน รัฐธรรมนูญ 2560 และ เพื่อให้ประชาชน ผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ หยิบไปพิจารณาต่อยอดได้ ในวันที่ ส.ส.ร. ที่มาจากการเลือกตั้ง มาร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรใหม่ทั้งฉบับ ทุกหมวด ทุกมาตรา
#หนังสือเล่มที่2 = เอกสารงบประมาณประจำปี
ถ้าใครอยากรู้ว่าประเทศเราให้ความสำคัญกับเรื่องอะไร ให้ลองดูครับ ว่าในแต่ละปี เราลงทุนไปกับอะไรบ้าง
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ผมได้ไปบริหาร start-up ที่พัฒนาแอปพลิเคชันด้านการเรียน โดยใช้รูปแบบ subscription model ที่ให้นักเรียนคนไหนก็ตามที่สมัครค่าสมาชิกรายเดือน เดือนละ 100-200 บาท สามารถเข้าถึงเนื้อหาการเรียนการสอนทั้งหมดในแอปได้
คำถามหนึ่งที่ผมถามตัวเองอยู่เสมอ คือค่าสมาชิก 100-200 บาทต่อเดือนที่นักเรียนแต่ละคนจ่ายเข้ามานั้น มัน “คุ้มค่า” แล้วหรือยังกับบริการที่พวกเขาได้รับ เพราะเรารู้ดีว่า 100-200 บาทต่อเดือนไม่ใช่ค่าใช้จ่ายที่น้อยเลยสำหรับหลายครอบครัว
แต่ทุกท่านทราบไหมครับ ว่าปัจจุบัน เรากำลังจ่าย “ค่าสมาชิก” ประเทศไทย เฉลี่ยอยู่ที่ ครอบครัวละเกือบ 10,000 บาทต่อเดือน
การจ่ายค่าสมาชิกแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่ผิดในตัวมันเอง ตราบใดที่ภาระทางภาษีถูกจัดสรรอย่างเป็นธรรม แต่คำถามที่สำคัญ คือค่าสมาชิกประเทศไทย ที่เรากำลังจ่ายให้รัฐบาลนั้น ถูกใช้ ถูกลงทุน และ ถูกแปรออกมาเป็นบริการที่เป็นประโยชน์และคุ้มค่าที่สุดสำหรับประชาชนหรือไม่
ณ ตอนนี้ ผมตอบสั้นๆเลยว่า “ยังไม่คุ้มค่า” โดยขอยกตัวอย่าง 3 เหตุผล
2.1. เรายังจัดสรรงบประมาณไม่พอสำหรับ “สวัสดิการ” ของประชาชนที่ไม่ใช่ข้าราชการ
จากเอกสารงบประมาณปีที่แล้ว เราจะเห็นว่างบประมาณสวัสดิการต่อหัวของข้าราชการ สูงกว่า งบประมาณสวัสดิการต่อหัวของประชาชนทั่วไป เกือบ 30 เท่า
เราจึงจำเป็นครับ ที่จะต้องจัดทำ “หมวดสวัสดิการถ้วนหน้า” ในงบประมาณ ที่แยกออกมาชัดเจน ไม่กระจัดกระจายไปอยู่ตามงบของกระทรวงต่างๆ และที่มีงบประมาณเพียงพอต่อการทำให้ทุกครอบครัวทุกอาชีพมีสวัสดิการที่เท่าเทียมกันมากขึ้น
หากเราทำได้ เราจะไม่เพียงแต่ลดความเหลื่อมล้ำที่มีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นในสังคม แต่เรายังจะคืนเสรีภาพในการประกอบอาชีพให้กับเด็กจบใหม่ทุกปี ที่ไม่ต้องจำใจไปสอบรับราชการทันทีหลังเรียนจบเพื่อตามหาตวามมั่นคง แต่สามารถกล้าเสี่ยงที่จะประกอบอาชีพที่ตนเองใฝ่ฝันหรือสร้างธุรกิจของตัวเอง จนอาจกลายเป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างมหาศาล
ตรงนี้หล่ะครับ คือสิ่งที่ผมเรียกว่า “กำไร 2 เด้ง” ของรัฐสวัสดิการ
เพราะการสร้างรัฐสวัสดิการ ไม่ได้เป็นเพียงการวาง “ตาข่ายรองรับ” ด้านคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนทุกคนอย่างเท่าเทียมกันมากขึ้น แต่ยังเป็นการ “ลงทุน” เพื่อปลดล็อกศักยภาพของคนและมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกอีกด้วย
2.2. เรายังมีรัฐราชการรวมศูนย์ ที่รวบอำนาจและงบประมาณทั้งหมดไว้ที่รัฐบาลส่วนกลาง และล็อกท้องถิ่นไว้ถึง 2 ชั้น
ล็อกชั้นที่ 1 คือการล็อกรายได้ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่อปี ที่ยังอยู่เพียงแค่ 30% ของรายได้ทั้งประเทศ ต่ำกว่าเป้าหมาย 35% ที่ตั้งไว้เมื่อ 20 ปีที่แล้ว
ล็อกชั้นที่ 2 คือการล็อกเงินอุดหนุนจากรัฐบาลบางส่วน ไว้เป็นสิ่งที่เราเรียกว่า “งบฝาก” จากส่วนกลาง ที่ “ฝาก” ให้ท้องถิ่นมีหน้าที่แค่ดำเนินการตามนโยบายที่ส่วนกลางคิด แต่ไม่ให้ท้องถิ่นมีอิสรภาพในการเลือกใช้ตามความต้องการของประชาชนในพื้นที่
เราจึงจำเป็นครับ ที่จะต้องปลดล็อกท้องถิ่น และกระจายทั้งอำนาจและงบประมาณจากรัฐบาลวส่วนกลางไปสู่รัฐบาลท้องถิ่นทั่วประเทศ
แทนที่คนในจังหวัดต่างๆ ต้องมารอ “ลุ้น” ว่าโครงการในพื้นที่จะถูกอนุมัติจากส่วนกลางหรือไม่ เราต้องทำให้รัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละจังหวัดมีอำนาจเต็มที่ในการพัฒนาบริการสาธารณะทั้งหมดให้กับคนในพื้นที่
แทนที่คนในจังหวัดต่างๆ ต้องมารอ “ลุ้น” ว่างบของท้องถิ่นจะถูกล็อกไว้เท่าไหร่ เราต้องทำให้รัฐบาลท้องถิ่นในแต่ละจังหวัด มีอิสรภาพเต็มที่ในการใช้งบตามความต้องการของพื้นที่ และมีอิสรภาพในการหารายได้ผ่านช่องทางต่างๆ ทั้ง ภาษีรูปแบบใหม่ๆ การกู้เงิน หรือ การออกพันธบัตร
และแทนที่คนในจังหวัดต่างๆ ต้องมารอ “ลุ้น” ว่าผู้ว่าฯของจังหวัดตนเองที่ถูกแต่งตั้งจากส่วนกลาง จะเข้าใจปัญหาและรับผิดชอบต่อความต้องการของคนในพื้นที่แค่ไหน เราต้องการให้ผู้บริหารสูงสุดในทุกจังหวัด มาจากการเลือกตั้งของประชาชนในพื้นที่โดยตรง
2.3. เรากำลังสูญเสียงบประมาณมหาศาล จากการเลือกคนที่ไม่ตรงกับงาน หรือ เลือกหน่วยงานที่ไม่ตรงกับภารกิจ
ถ้าเราแอบไปดูงบปี 66 ที่กำลังจะออกมาแบบผิวเผิน เราอาจหลงดีใจว่างบกลาโหมในภาพรวมปีนี้ลดลง แต่อย่างที่สำนวนอังกฤษเคยกล่าวไว้ว่า “ปีศาจ หรือ ความเลวร้าย มักอยู่ในรายละเอียด”
เพราะพอเราส่องเข้าไปในรายละเอียด เราค้นพบว่าหากนับเฉพาะงบบุคลากร งบบุคลากรของกระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วกว่า 2,400 ล้านบาท และคิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 14% ของงบบุคลากรทั้งหมด
และพอเราส่องเข้าไปในรายละเอียดเพิ่มเติม ผมมั่นใจว่าเราจะค้นพบเหมือนปีก่อนๆ ว่าบุคลากรในกองทัพหลายคนกำลังถูกใช้ทำงานหลายอย่าง ที่ดูไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับภารกิจความมั่นคง
ความจริงแล้ว ในยุคปัจจุบันที่ภัยคุกคามต่อความมั่นคงมีหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เราไม่ควรมองว่ากองทัพคือหน่วยงานที่ต้องผูกขาดหรือแบกรับภารกิจ “ความมั่นคง” ไว้เพียงหน่วยงานเดียวอีกต่อไป
หากเรามองว่าภัยความมั่นคงที่น่ากลัวที่สุดตอนนี้ คือภาวะโลกรวน ที่จะนำไปสู่ทั้งภัยธรรมชาติ การขาดแคลนพลังงาน และโรคระบาด ทำไมเราถึงเลือกใช้งบประมาณไปกับการเกณฑ์ทหารเป็นแสนคนต่อปี แทนที่นำงบไปสร้างแรงจูงใจให้เยาวชน ทำหรือสร้างงานในอุตสาหกรรมสีเขียวที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
หากเรามองว่าหนึ่งในภัยสังคมที่เร่งด่วนที่สุดตอนนี้ คือภัยคุกคามทางเพศ ทำไมเราถึงเลือกใช้งบประมาณไปกับหน่วยงานที่เหมือนจะหลงออกมาจากยุคสงครามเย็นอย่าง กอ.รมน. แทนที่จะนำงบมาจ้างตำรวจหญิงในทุกสถานี เพื่อรับมือกับคดีล่วงละเมิดทางเพศ
ผมเชื่อนะครับ ว่างบประมาณของประเทศถูกจัดสรรอย่างไร เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ดีที่สุด ว่า รัฐบาลกำลังรับใช้ใคร
ในการเลือกตั้งครั้งหน้า มันจึงไม่พอครับ ที่เราจะมาแค่วิจารณ์ว่ารัฐบาลใช้งบประมาณแบบไม่ตรงจุดอย่างไร หรือ เสนอนโยบายต่างๆโดยไม่อธิบายต่อประชาชนว่าจะเอาเงินมาจากไหน แต่สิ่งที่เราต้องทำคือการนำเสนอ #งบประมาณฉบับก้าวไกล ให้ประชาชนได้รับความชัดเจน ว่าถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล เราจะมีกระบวนการจัดทำงบประมาณอย่างไร เราจะสร้างประเทศไทยแบบไหน และ เราจะจัดสรรงบอย่างไรเพื่อให้นโยบายที่สัญญาไว้ ทำได้จริง
#หนังสือเล่มที่3 = หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ไม่มีใครบอกหรอกครับว่าปัญหาทั้งหมดเกี่ยวกับการศึกษาไทย มีต้นตอมาจากหนังสือเล่มนี้ และผมเข้าใจว่ามีบางส่วน ที่ถูกปรับปรุงพัฒนาไปบ้างแล้ว – แต่คงไม่มีใครปฏิเสธได้ ว่านอกจากปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาแล้ว ปัญหาของการศึกษาไทยส่วนหนึ่งมาจากการกำหนดหลักสูตรที่ล้าหลัง
เป็นเรื่องที่น่าหดหู่ใจอย่างยิ่ง ที่แม้เด็กไทยจะใช้เวลาในห้องเรียนเป็นอันดับต้นๆ ของโลก แต่ระบบกลับไม่สามารถแปรความขยันของเขาให้ออกมาเป็นทักษะที่แข่งขันกับนานาชาติได้
ปัญหาส่วนหนึ่งเกิดขึ้น จากการที่เราไม่ได้ออกแบบ “อนาคตการศึกษา” บนพื้นฐานของ “การศึกษาอนาคต”
3.1. ถ้าเราศึกษาอนาคต และค้นพบว่าโลกแห่งอนาคต คือโลกที่เทคโนโลยีจะเข้ามาทดแทนงานในหลายสาขาอาชีพ
เราก็ต้องออกแบบการศึกษาที่ไม่เน้นอัดฉีดความรู้ แต่เน้นพัฒนาทักษะ-สมรรถนะ ที่สร้างงานและสร้างนวัตกรรมใหม่ๆได้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะการคิดวิเคราะห์ ที่ได้มาจากห้องเรียนประวัติศาสตร์ ซึ่งไม่เน้นการท่องจำเหตุการณ์จากมุมเดียว แต่เน้นการเปรียบเทียบชุดข้อมูลที่หลากหลาย หรือทักษะการสื่อสาร ที่ได้มาจากห้องเรียนภาษาอังกฤษ ซึ่งไม่เน้นแค่การ “รู้” หลักภาษา แต่เน้นการ “ใช้” ภาษาที่ทำให้สนทนากับชาวต่างชาติและเรียนรู้จากสื่อความรู้ที่มีทั่วโลกได้จริง
3.2. ถ้าเราศึกษาอนาคต และค้นพบว่าโลกแห่งอนาคต คือโลกที่ผู้คนต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆอยู่ตลอดเวลา
เราก็ต้องออกแบบการศึกษาที่ไม่ทำให้คนหมดไฟในการเรียนรู้ตั้งแต่เด็กๆ แต่เติมไฟให้คนมีความพร้อมในการเรียนรู้ไปตลอดชีวิต ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอิสรภาพให้นักเรียนได้เลือกวิชาตามที่ตนเองสนใจ โดยไม่ขาดแคลนครูในวิชานั้นๆ หรือ การลดการบ้านและการสอบแข่งขัน เพื่อลดความเครียดและโรคซึมเศร้าในหมู่นักเรียน
3.3. ถ้าเราศึกษาอนาคต และค้นพบว่าโลกแห่งอนาคต คือโลกที่พวกเราต้องอยู่ร่วมกัน ภายใต้ความหลากหลาย และช่องว่างระหว่างรุ่น ในระบอบประชาธิปไตย
เราก็ต้องออกแบบการศึกษา ที่สนับสนุนประชาธิปไตยตั้งแต่ในห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นการคุ้มครองสิทธิของนักเรียนจากการถูกลงโทษเกินขอบเขตและการล่วงละเมิดทางเพศ หรือการพร้อมรับฟังเมื่อเด็กกล้าคิดกล้าแสดงออก โดยรับประกันว่าจุดหมายปลายทางในการตั้งคำถามของพวกเขา จะไม่จบลงด้วยการถูกจองจำอิสรภาพ
ในการเลือกตั้งครั้งหน้า มันจึงไม่พอครับ ที่เราจะแก้แค่ปัญหาที่เห็นผลในระยะสั้นเพียงอย่างเดียว แต่เราจำเป็นต้องลงทุนในการวางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการแก้ปัญหาในระยะยาวควบคู่ไปด้วย ผ่านการนำเสนอ #การศึกษาฉบับก้าวไกล ให้ประชาชนได้เห็นชัด” ว่าถ้าก้าวไกลเป็นรัฐบาล อนาคตของลูกหลาน และอนาคตของประเทศนี้ จะถูกขีดเส้นทางไว้อย่างไร
ทุกท่านครับ หลายปัญหาที่ประเทศเราเผชิญอยู่ทุกวันนี้ ไม่เหมือนกับปัญหาที่ประเทศเราเคยเผชิญในอดีต
หลายปีที่แล้ว เรากังวลกันว่าประชากรจะล้นโลก / ตอนนี้ เราต้องวิงวอนขอร้องให้คนรุ่นใหม่มีลูก
หลายปีที่แล้ว มีคนกังวลกันว่าประชาธิปไตยของประเทศจะขาดกลไกการตรวจสอบ / ตอนนี้ ทั้งประชาธิปไตย และ กลไกการตรวจสอบ เราแทบจะไม่มีทั้งคู่
คู่มือเตรียมพร้อมสำหรับอนาคต ไม่สามารถหาได้จากเพียงตำราความสำเร็จในอดีต
หากหนังสือ 3 เล่มนี้ ไม่ถูกเขียนใหม่ ไม่ถูกร่างใหม่
หากโครงสร้าง การเมือง-เศรษฐกิจ-สังคม ไม่ถูกคิดใหม่ ไม่ถูกสร้างใหม่
ต่อให้เราแก้ปัญหาและวิกฤตเฉพาะหน้าได้ดีแค่ไหน
ในอนาคต ประเทศไทยก็อาจจะวกกลับมาเป็นเหมือนเดิม
ในวันนี้ที่ผมเตรียมลาออกจากการบริหาร Start-up ด้านการศึกษา ผมมั่นใจว่าผมกำลังก้าวเข้ามาสู่ Start-up ด้านการเมือง ที่ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าสามารถลุกขึ้นได้เร็วจากทุกครั้งที่หกล้ม เรียนรู้ได้ไวจากทุกครั้งที่ต้องเริ่มใหม่ และ ก้าวได้ไกลในทุกครั้งที่ประชาชนต้องการ
แม้ผมยอมรับและถ่อมตนอยู่เสมอ ว่าผมไม่ได้ร่วมเดินทางกับทุกท่านมาตั้งแต่วันแรก แต่ผมมั่นใจว่าไม่ว่าจะมีคนเดินเข้าเดินออกกันกี่คน เจตจำนงของอนาคตใหม่ ที่ถูกส่งต่อมาสู่พรรคก้าวไกล จะไม่เลือนลางไปจากจิตวิญญาณของผู้คนในที่แห่งนี้
และตราบใดที่เจตจำนงของพรรคยังมีความแน่วแน่มั่นคง ผมมั่นใจว่าพรรคจะสามารถปักธงทางความคิด และดึงดูดแนวร่วมใหม่ๆเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง
ทุกท่านครับ วันนี้ ผมเลยจะมาขอโอกาสจากพี่น้องสมาชิกพรรคก้าวไกลทุกคน ผู้สนับสนุนพรรคทุกคน และประชาชนทุกคนทั่วประเทศ ในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคก้าวไกล เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนภารกิจของพรรค
ภารกิจของพวกเรา ไม่อาจสำเร็จได้ในค่ำคืนเดียว แต่จำเป็นต้องอาศัยเวลา
เพราะภารกิจของพวกเรา คือการร่วมกันสร้างอนาคตใหม่ของประชาชน และการร่วมกันสร้างประเทศไทยที่ไม่เหมือนเดิม
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
🛑LIVE ร้องข้ามกำแพงคุก!! | ห้องข่าวไทยโพสต์
ร้องข้ามกำแพงคุก!! ห้องข่าวไทยโพสต์ : ประจำวันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'ไอติม' เลี่ยงยื่นซักฟอก ใช้กลไกอื่นตรวจสอบรัฐบาลแทน
'พริษฐ์' ปัดตอบยื่นซักฟอกรัฐบาล ขอใช้กลไกอื่นของสภาตรวจสอบเข้มข้นแทน เชื่อถกแก้ รธน. วาระ 2 จบภายใน 3 วัน นัดประชุมวิปฝ่ายค้านวางกรอบ 9 ธ.ค.
🛑LIVE คิด - วิเคราะห์ - แยกแยะ!! ภาพร่วมเฟรม 'เจ้าพ่อสแกม' | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ :วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2568
'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม
นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้


