การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นหนึ่งในประเด็นทางการเมืองที่ร้อนแรงที่สุดของรัฐบาลชุดนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีการเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมสองฉบับเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา แต่เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2568 การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเกิด “ล่ม” ขึ้นอีกครั้งเนื่องจากองค์ประชุมไม่ครบ
ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับติดค้างอยู่ในสภา และนำมาซึ่งคำถามสำคัญว่า “ทางออกของการแก้ไขรัฐธรรมนูญจากจุดนี้จะเป็นอย่างไร?”
เหตุการณ์สภาล่มสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของสภาผู้แทนราษฎรและการทำงานของพรรคร่วมรัฐบาล เพราะการที่ไม่สามารถรักษาองค์ประชุมให้ครบได้แสดงให้เห็นว่า มี สส. จำนวนหนึ่งไม่ต้องการให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าต่อไป
นอกจากนี้ ปัญหาดังกล่าวยังสะท้อนถึงการต่อรองทางการเมืองของพรรคร่วมรัฐบาลกับวุฒิสภา (สว.) เนื่องจากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องการเสียงสนับสนุนจาก สว. อย่างน้อย 1 ใน 3 หรือประมาณ 84 เสียง ซึ่งเป็นเงื่อนไขสำคัญที่พรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย ยังไม่สามารถหาข้อตกลงที่ชัดเจนได้
แนวทางที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดหลังจากนี้ คือ
1. ถอนร่างและรอประชามติเป็นแนวทางใหม่
หนึ่งในแนวคิดที่ถูกหยิบยกขึ้นมาหลังจากสภาล่มคือ การถอนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับออกไปก่อน แล้วรอให้มีการทำประชามติถามประชาชนก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ หากประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุน ก็จะกลายเป็นแรงกดดันทางการเมืองให้ สว. ต้องยอมรับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากขึ้น
แนวทางนี้เป็นแนวทางที่มีเหตุผลทางการเมือง เพราะการที่ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องพึ่งพาเสียงของ สว. ทำให้การผลักดันโดยไม่สร้างความชอบธรรมทางสังคมอาจนำไปสู่ทางตันในรัฐสภา
อย่างไรก็ตาม ข้อเสียของแนวทางนี้คือกระบวนการทำประชามติใช้เวลานาน อาจต้องใช้เวลาหลายเดือนในการรอให้กฎหมายประชามติผ่านและดำเนินการสำรวจความคิดเห็นของประชาชน
2. พยายามเดินหน้าต่อโดยใช้กลไกสภา แต่ต้องเจรจากับ สว.
อีกแนวทางหนึ่งคือการพยายามเดินหน้าต่อโดยใช้กระบวนการปกติของรัฐสภา แต่ต้องมีการเจรจากับ สว. อย่างจริงจังเพื่อให้ได้เสียงสนับสนุนเพียงพอ แนวทางนี้ต้องอาศัยการเมืองแบบ “เล่นเกมยาว” เพื่อค่อย ๆ ต่อรองและหาจุดร่วมกับกลุ่ม สว. ที่อาจเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญบางส่วน
ปัญหาหลักของแนวทางนี้คือความไม่แน่นอน เพราะ สว. หลายคนมีจุดยืนชัดเจนในการไม่สนับสนุนการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อาจกระทบต่อสถานะของพวกเขาเอง ดังนั้นหากไม่สามารถต่อรองกับ สว. ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็อาจทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไปในที่สุด
3. แยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราแทนการแก้ไขทั้งฉบับ
อีกแนวทางที่อาจเป็นไปได้คือ การปรับแผนจากการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับไปเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญแบบรายมาตราแทน วิธีนี้อาจช่วยลดแรงต่อต้านจาก สว. และทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถค่อย ๆ คืบหน้าไปทีละส่วน
อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้ก็มีข้อจำกัด เพราะหากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อลดอำนาจ สว. หรือเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขององค์กรอิสระ การแก้ไขรายมาตราอาจไม่สามารถทำได้ในเชิงเทคนิค และอาจถูกมองว่าเป็นการประนีประนอมที่ทำให้เป้าหมายของการแก้ไขรัฐธรรมนูญผิดเพี้ยนไป
4. ใช้แรงกดดันจากประชาชนและการเคลื่อนไหวทางการเมือง
แนวทางสุดท้ายที่อาจเกิดขึ้นคือ การใช้แรงกดดันจากภาคประชาชนในการผลักดันการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เดินหน้าต่อไป ซึ่งอาจมาในรูปแบบของการชุมนุมประท้วง การเคลื่อนไหวผ่านโซเชียลมีเดีย หรือการสร้างแคมเปญรณรงค์เพื่อให้เกิดแรงกดดันทางการเมือง
แนวทางนี้อาจช่วยเร่งกระบวนการทางการเมืองให้เร็วขึ้น แต่ก็มีความเสี่ยงที่สถานการณ์จะลุกลามไปสู่ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะหากฝ่ายที่ต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญตอบโต้ด้วยมาตรการแข็งกร้าว เช่น การใช้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาจัดการกับแกนนำเคลื่อนไหว
การแก้ไขรัฐธรรมนูญถือเป็นภารกิจสำคัญของรัฐบาลชุดนี้ และการที่สภาล่มเป็นสัญญาณเตือนว่ากระบวนการดังกล่าวไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คาดหวัง ทางออกที่เป็นไปได้มีหลายแนวทาง แต่รัฐบาลภายใต้การนำของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ต้องตัดสินใจเลือกแนวทางที่ชัดเจน และต้องพิจารณาว่าจะให้ความสำคัญกับการสร้างความชอบธรรมผ่านประชามติ หรือจะเดินเกมการเมืองในรัฐสภาเพื่อต่อรองกับ สว.
ในระยะสั้น การถอนร่างเพื่อรอประชามติอาจเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดหากรัฐบาลต้องการลดแรงปะทะในสภา แต่หากต้องการให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าต่อไปในกรอบเวลาที่เร็วขึ้น การต่อรองทางการเมืองและการใช้แรงกดดันจากประชาชนก็อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
สิ่งสำคัญที่สุดคือ รัฐบาล โดยเฉพาะนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ต้องมี “ยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน” และความจริงใจ ต้องแสดงให้ประชาชนเห็นว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่การเล่นเกมอำนาจในสภา แต่เป็นความพยายามในการสร้างระบบการเมืองที่เป็นประชาธิปไตยและเป็นธรรมมากขึ้นกว่าเดิม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
นายกฯ เรียกประชุม ครม.นัดพิเศษ หลัง กกต. ตีกลับคำถามประชามติ
นายกฯอนุทิน เรียกถก "ครม.นัดพิเศษ" พรุ่งนี้ เคาะคำถามประชามติ หลัง กกต.ตีกลับ ให้เลือกมาเลยคำถามเดียว
เพื่อไทยไม่หยุดประชานิยม พร้อมสานต่อดิจิทัลวอลเล็ต ยังค้างประชาชนอีก 20 ล้านคน
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมเพื่อวางแผนยุทธศาสตร์ในการเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง ว่า เรามีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการหารือเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้ง รวมถึงมีการประเมินกระแสหลังจากที่มีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคทั้ง 3 คนแล้วว่าเป็นอย่างไร
'บวรศักดิ์' แจงข้อกฎหมาย ครม.ส่งคำถามประชามติ ช่วยรัฐสภาไม่ต้องเสี่ยงขัด รธน.
อ.บวรศักดิ์ แจงเหตุส่งคำถามประชามติของครม.เพราะต้องการช่วยรัฐสภา หลังพบสุ่มเสี่ยงขัดคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพราะไม่ได้ใช้คำว่า
🛑LIVE วันนี้...เพื่อไทย ในวังวน 'ชินวัตร' | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568
สภาสูงตามบี้การใช้จ่ายงบประมาณเป็นเจ้าภาพซีเกมส์
'กมธ.ติดตามงบประมาณ สว.' สอบเจ้าภาพ 'ซีเกมส์'ใช้งบคุ้มค่าหรือไม่ ด้าน 'กกท.'แจง เหตุใช้งบกลาง เพราะเงินที่มีไม่ครบถ้วน 'ภิญญาพัชญ์' เผยเรียกแจงเพิ่มสัปดาห์หน้าทำไมเปลี่ยนออแกไนซ์กลางคัน
'สมชัย' สะกิด 4 ข้อควรระวังประชามติแก้รัฐธรรมนูญ
นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

