
สังคมกำลังจับตามองการประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) หรือ ‘บอร์ดคดีพิเศษ’ ซึ่งมีวาระสำคัญในวันนี้ (25 ก.พ.) เพื่อพิจารณาว่าจะรับกรณีการ ‘ฮั้วเลือก สว.’ ไว้เป็นคดีพิเศษหรือไม่
หลังจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงยุติธรรม ได้สอบสวนเบื้องต้นและพบข้อเท็จจริงที่บ่งชี้ถึงการใช้โปรแกรมคำนวณผลโหวตและการระดมกลุ่ม “โหวตเตอร์” เพื่อปูทางสู่ชัยชนะในทุกระดับของการเลือกตั้ง ซึ่งเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116(3) และ 209 ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐและการกระทำในลักษณะอั้งยี่และซ่องโจร
คำถามสำคัญคือ เหตุใดคดีที่เกี่ยวข้องกับการเลือก สว. ซึ่งควรเป็นหน้าที่ของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กลับต้องให้องค์กรที่อยู่ภายใต้ฝ่ายการเมืองอย่างดีเอสไอเข้ามาดำเนินการแทน?
ประเด็นนี้สะท้อนถึงปัญหาการทำงานของ กกต. ที่ล่าช้าและไร้ความจริงจังในการตรวจสอบคำร้องจำนวนมากซึ่งกล่าวหาว่าการเลือก สว. ครั้งนี้ขาดความสุจริตโปร่งใส เวลาล่วงเลยเกิน 100 วัน แต่กลับไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน ทำให้ผู้ร้องเรียนต้องหันไปพึ่งดีเอสไอแทน
ในเมื่อ กกต. แสดงท่าที “เกียร์ว่าง” เช่นนี้ จึงแทบไม่ต้องสงสัยว่า “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะประธานบอร์ดคดีพิเศษ และ “ทวี สอดส่อง” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ซึ่งเป็นรองประธานบอร์ดและผู้กำกับดูแลดีเอสไอ ย่อมสามารถผลักดันให้บอร์ดคดีพิเศษรับเรื่องนี้ไว้สอบสวนได้โดยไม่ยาก
แม้การตัดสินใจจะต้องใช้เสียง 2 ใน 3 จากกรรมการบอร์ดจำนวน 22 คน แต่เมื่อผู้บริหารระดับสูงทั้งสองคนส่งสัญญาณชัดเจน ก็แทบไม่เหลือข้อกังขาว่าการรับคดีนี้จะเดินหน้าอย่างแน่นอน
ที่น่าสนใจคือ ผู้ทรงคุณวุฒิในบอร์ดคดีพิเศษจำนวน 9 คน ซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 โดยคณะรัฐมนตรีของ “แพทองธาร ชินวัตร” ยิ่งทำให้โอกาสในการรับคดีนี้เพิ่มสูงขึ้น ส่วนกรรมการที่เหลือเป็นกรรมการโดยตำแหน่ง ซึ่งแทบไม่มีอำนาจมากพอที่จะต้านกระแสนี้ได้
อย่างไรก็ตาม ยังมีความเป็นไปได้ที่บอร์ดคดีพิเศษจะไม่เร่งลงมติในวันนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางกฎหมายที่อาจตามมา
โดยอาจรอความชัดเจนจาก กกต. ก่อนว่าจะสอบสวนความผิดทางอาญาใดด้วยตัวเอง และความผิดใดที่ต้องการให้ดีเอสไอดำเนินการ ซึ่งดีเอสไอได้ส่งหนังสือสอบถามไปแล้ว แต่จนถึงขณะนี้ กกต. และเลขาธิการ กกต. ยังคงสงวนท่าที ไม่ตอบกลับใดๆ
หากในที่สุด “บอร์ดคดีพิเศษ” ตัดสินใจรับเรื่องไว้ “เป็นคดีพิเศษ” ก็จะดำเนินการภายใต้กรอบอำนาจที่ครอบคลุมเฉพาะความผิดทางอาญา และหากพบว่ามีความผิดจริง ขั้นตอนต่อไปคือการดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง
ขณะเดียวกัน ผลสอบสวนของคดีนี้ก็อาจถูกใช้เป็นหลักฐานสำคัญในการยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อวินิจฉัยให้การเลือก สว. ครั้งนี้เป็นโมฆะ ซึ่งความเคลื่อนไหวของนักร้องเรียนทางการเมืองเริ่มปรากฏให้เห็นแล้ว
คำถามคือ หากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้การเลือก สว. เป็นโมฆะ ผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร?
แน่นอนว่าเครือข่ายสีน้ำเงินที่มีความสัมพันธ์กับพรรคภูมิใจไทยอาจต้องหลุดจากสภาสูง แต่สิ่งที่น่ากังวลกว่าคือ หากมีการเลือกตั้งใหม่ จะได้ สว. ที่เป็นกลางและไม่อิงฝ่ายการเมืองจริงหรือไม่?
อย่าลืมว่าระบบการได้มาซึ่ง สว. ในปัจจุบันมีความบิดเบี้ยว แปลกประหลาดตั้งแต่ต้น กล่าวคือ เปิดช่องให้ผู้สมัครสามารถเลือกตนเองและพวกพ้องในกลุ่มเดียวกันได้ ซึ่งไม่เพียงแค่เครือข่ายสีน้ำเงินเท่านั้นที่ใช้ช่องโหว่นี้ แต่พรรคการเมืองใหญ่และกลุ่มการเมืองอื่นๆ ก็ใช้วิธีการเดียวกัน
เช่น คณะก้าวหน้าของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ที่สนับสนุนพรรคประชาชน (ชื่อเดิม พรรคก้าวไกล) ก็เคยจัดเสวนาและรณรงค์ให้ประชาชนสมัครเป็น สว. เพื่อโหวตเลือกกลุ่มของตน แม้จะไม่ประสบความสำเร็จเทียบเท่าเครือข่ายสีน้ำเงินที่มี “ครูใหญ่เนวิน” เป็นแบ็กอัพ แต่พฤติกรรมดังกล่าวก็คือการ “ฮั้วเลือก สว.” ดีๆนั่นเอง
ดังนั้น แม้การเลือก สว. ใหม่จะเกิดขึ้น แต่หากยังใช้กติกาเดิม ก็มีแนวโน้มสูงที่จะเกิดการฮั้วในรูปแบบเดิม เพียงแต่จะทำได้แนบเนียนขึ้นจนไม่สามารถจับได้เหมือนครั้งนี้
ปัญหานี้จึงไม่ใช่เพียงการฮุบสภาสูงของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่สะท้อนถึงความพยายามของกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่ต้องการช่วงชิงอำนาจในวุฒิสภา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการต่อรองผลประโยชน์และอำนาจทางการเมือง
ความสำคัญของ สว. ยิ่งเด่นชัดขึ้นเมื่อพิจารณาจากอำนาจหน้าที่ซึ่งมีวาระการดำรงตำแหน่งถึง 5 ปี และจะหมดวาระในปี 2572 โดยระหว่างนี้ สว. ชุดนี้ยังมีอำนาจกลั่นกรองกฎหมายสำคัญ รวมถึงการคัดเลือกบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ เช่น ป.ป.ช. ชุดใหม่ 3 คน กกต. ชุดใหม่ 5 คนในปีนี้ และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 2 คน ซึ่งบุคคลเหล่านี้ล้วนมีอำนาจกำหนดทิศทางของประเทศในระยะยาว
ยังไม่นับรวม คณะกรรมการ กสทช. จำนวน 7 คน ที่จะหมดวาระทั้งชุดในปี 2571 ซึ่งเป็นที่หมายตาของ "กลุ่มทุนโทรคมนาคมรายใหญ่" ที่สัมพันธ์แนบแน่นกับฝ่ายการเมือง โดยการเลือก กสทช. ชุดใหม่ก็อยู่ในอำนาจของ สว. เช่นกัน
เมื่อพิจารณาจากอำนาจอันกว้างขวางของ สว. จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ฝ่ายการเมืองจะพยายามยึดครองสภาสูงเพื่อใช้อำนาจนี้เป็นเครื่องมือรักษาผลประโยชน์และต่อรองกับฝ่ายต่างๆ
หากแผนล้มกระดานเลือก สว. ครั้งนี้ประสบความสำเร็จ คำถามที่ต้องตอบคือ จะได้ สว. ที่เป็นกลางและบริสุทธิ์จริงหรือไม่?
หรือสุดท้ายจะกลายเป็นการเปิดทางให้พรรคการเมืองใหญ่เพียงพรรคเดียวครอบงำทั้งสภาล่างและสภาสูง ย้อนกลับสู่ยุคที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ผูกขาดอำนาจ ไร้ซึ่งการตรวจสอบถ่วงดุลในระบบรัฐสภา จนเกิดวิกฤตการณ์ทางสังคมการเมืองไทยมาแล้ว
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นว่า สว. ของไทยยังไม่สามารถหลุดพ้นจากการเป็นเครื่องมือทางการเมือง แม้จะมีหน้าที่หลักในการกลั่นกรองกฎหมายและคัดเลือกบุคคลที่เป็นกลางเข้าไปทำงานในองค์กรอิสระ
แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นเวทีแสวงหาผลประโยชน์และต่อรองอำนาจของฝ่ายการเมือง ส่งผลให้กระบวนการตรวจสอบและถ่วงดุลในระบอบประชาธิปไตยหยุดชะงัก และกลายเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศอย่างแท้จริง.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
DSIประเดิมเชือด8ราย ส่งอัยการฟ้องคดีฮั้วสว.
"ดีเอสไอ" สรุปสำนวน "คดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว." ให้อัยการคดีพิเศษเชือดล็อตแรก 8 ราย
'ไชยชนก' ลงปาร์ตี้ลิสต์เบอร์ 2 ภูมิใจไทยเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ไม่มีเซอร์ไพรส์
นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะเลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ยอมรับว่าจะลงสมัคร สมัครสส.บัญชีรายชื่อพรรคภูมิใจไทยลำดับที่ 2 ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง
'อนุทิน' บอกยึดฤกษ์สะดวก เปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ภูมิใจไทย
"อนุทิน" ยังอุบแคนดิเดตนายกฯ ภูมิใจไทย ตอบแค่ "ใกล้แล้ว" ขึ้นอยู่กับฤกษ์สะดวก ส่วน "สีหศักดิ์" ชัดแล้วเข้าพรรค หลังถูกถามสมัคร สส. หรือไม่ เมินเสียเปรียบพรรคอื่นเปิดก่อน
เชือดล็อตแรก 8 ราย 'อั้งยี่-ฟอกเงิน' คดีฮั้ว สว. ดีเอสไอสรุปสำนวนส่งอัยการแล้ว
"ดีเอสไอ" สรุปสำนวน "คดีอั้งยี่-ฟอกเงิน สว." ให้อัยการคดีพิเศษเชือดล็อตแรก "8 ผู้ต้องหา" ประกอบด้วย 2 สว.ตัวจริง และ 6 เครือข่ายพรรคใหญ่ หลังสอบสวนนาน 9 เดือน เหตุคำชี้แจงแก้กล่าวหาไม่สามารถหักล้างพยานหลักฐานได้
นอกโผ! สีหศักดิ์เข้าภูมิใจไทยถ่ายรูป
เซอร์ไพรส์ 'สีหศักดิ์' ดอดเข้าภูมิใจไทยถ่ายรูป หลังเปิดพรรครับสมัคร สส. สู้เลือกตั้ง อ้ำอึ้งหลังสื่อถามนั่งแคนดิเดตนายกฯ หรือไม่ บอกเขามีตัวอยู่แล้ว
'ภท.'ชูสโลแกน 'พูดแล้วทำ Plus' ลุยศึกเลือกตั้ง
'ภท.' เปิดสโลแกน 'พูดแล้วทำ Plus' ขยายสานต่อนโนบายเต็มสูบ ฟุ้งมีผู้สนใจร่วมงาน-ลงสมัคร สส.เพียบ แย้มเตรียมประกาศชื่อ 'แคนดิเดตนายกฯ' ในไม่ช้า เมินเสียงวิจารณ์ 'บ้านใหญ่' แห่ไหลเข้า 'สีน้ำเงิน'

