ในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา พรรคอนุรักษ์นิยม เคยเป็นเสาหลักหนึ่งของการเมืองไทย ทั้งในฐานะพรรคแกนนำหรือพรรคถ่วงดุลอำนาจ แต่ในปัจจุบัน พรรคเหล่านี้กลับเผชิญกับ แรงเสื่อม หนักหน่วง จนหลายพรรคเริ่มไม่แน่ใจว่าจะยังมีที่ยืนในการเลือกตั้งหน้า
สี่พรรคที่อยู่ในจุดตัดนี้คือ ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย พลังประชารัฐ และรวมไทยสร้างชาติ ซึ่งต่างเคยมีช่วงขาขึ้น หรือเคยเป็นพรรคที่มี อำนาจต่อรองสูงในรัฐบาล แต่วันนี้แต่ละพรรคต่างก็มีรอยร้าวลึกใน ฐานที่เคยมั่นคง ของตัวเอง
ประชาธิปัตย์ คือพรรคที่มีอายุยืนยาวที่สุดในระบอบรัฐสภาไทย แต่กลับเป็นพรรคที่กำลัง ไร้แก่นกลาง มากที่สุด พรรคไม่มีผู้นำที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง ทั้งในแง่การนำอุดมการณ์หรือการนำมวลชน
พื้นที่ที่เคยเป็น ฐานดั้งเดิมของพรรค เช่น ภาคใต้ กรุงเทพฯ กลับถูกเจาะทะลุจากพรรคใหม่ ประชาธิปัตย์ จึงกลายเป็นพรรคที่ “ไม่เหลือเขตที่แน่นอน” อีกต่อไป
ที่สำคัญ พรรคยังขาดคนรุ่นใหม่ที่มี ภาพผู้นำระดับชาติ และเมื่อขยับข้างไม่ขาด เลือกขั้วไม่เด็ดขาด จึงถูกกลืนหายทั้งจาก พรรคอนุรักษ์นิยมกลุ่มใหม่ และพรรคฝ่ายเสรีนิยม ที่เจาะฐานคนรุ่นใหม่ได้ชัดเจนกว่า
ภูมิใจไทย แม้ยังมีจำนวน สส.มาก และคุมกระทรวงใหญ่หลายกระทรวง แต่ลักษณะพิเศษของพรรคคือการเป็นพรรคที่ “ใหญ่แต่ไม่เติบโต” ไม่สามารถขยายฐานเกินจากที่มั่นเดิม
แม้จะมีฐานเสียงเหนียวแน่นใน จังหวัด บุรีรัมย์ และภาคอีสานบางส่วน แต่ภาพลักษณ์ของพรรคยังคงจำกัดอยู่ในกรอบของ พรรคท้องถิ่น ไม่สามารถขยายตัวให้กลายเป็นพรรคแกนนำระดับประเทศได้อย่างชัดเจน
และด้วยการเติบโตจาก ฐานอำนาจเฉพาะกลุ่ม พรรคจึงขาดความน่าเชื่อถือในสายตาคนเมืองและคนรุ่นใหม่ ที่มองว่าท่าทีของพรรคใน ประเด็นที่อ่อนไหวในสายตาสังคมเช่น กาสิโน เป็นเพียง เกมต่อรอง มากกว่าจุดยืนที่มั่นคง
พลังประชารัฐ คือพรรคที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็น เครื่องมือของอำนาจรัฐยุค คสช. และยืนอยู่ได้ด้วย “พลังคู่” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะผู้นำรัฐบาล และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะผู้ควบคุมกลไกการเมืองหลังฉาก
แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ แยกตัวไป พรรคก็สูญเสีย จุดศูนย์กลางทางอำนาจ ที่เคยใช้เป็นเครื่องมือสร้างอิทธิพลและความชอบธรรม
แม้ พล.อ.ประวิตร จะยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่ในทางการเมือง บารมีไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ทั้งในสายตาของ นักการเมืองระดับชาติ สส.ในพรรค และ กลุ่มทุนที่เคยให้การสนับสนุน
เมื่อ บารมีลดลง ความสามารถในการต่อรองก็ถดถอย พรรคจึงกลายเป็น “พรรคที่ยังมีชื่ออยู่ในสภา” แต่ไม่มีตำแหน่งในเกมอำนาจอีกต่อไป
รวมไทยสร้างชาติ อาจเคยถูกมองว่าเป็นพรรคที่สร้างขึ้นเพื่อรองรับ พลังของบิ๊กตู่ แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ วางมือทางการเมือง พรรคนี้ก็เหลือเพียง โครงสร้างที่ไร้พลังจูงใจ
แม้ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค จะพยายามแสดงบทบาทมากขึ้น แต่ ขาดฐานเสียง ขาดแกนกลาง และขาดอัตลักษณ์ ทำให้ภาพพรรคยังเบลอ ไม่เป็นที่จดจำของประชาชน
ที่สำคัญ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ วางมือ พรรคนี้ก็ ขาดจุดขายหลักไปโดยสิ้นเชิง ไม่มีฐานเสียงของตัวเอง ไม่มีมวลชนที่ภักดีและไม่มีบุคลิกพรรคที่เป็นที่จดจำในสนามการเมือง
และเมื่อพิจารณาในเชิงโครงสร้างอำนาจสี่พรรคนี้ต่างก็ “แตกตัว” ออกจากกันอย่างชัดเจน ทั้งใน นโยบาย จุดยืน และเป้าหมายทางการเมือง ไม่มีพรรคใดสามารถทำหน้าที่เป็น แกนกลางของฝ่ายอนุรักษนิยม ได้อย่างแท้จริงอีกต่อไป
ในขณะเดียวกัน ฐานมวลชนของพรรคเหล่านี้ โดยเฉพาะกลุ่มที่มักถูกเรียกว่า “สลิ่ม” ก็ แยกกระจาย แตกกลุ่ม แตกก๊ก บ้างยังสนับสนุน ประยุทธ์ บ้างหันไป รวมไทยสร้างชาติ บ้างยังฝังใจกับ ประชาธิปัตย์ และอีกไม่น้อยที่กลายเป็นคนดูดายทางการเมือง
FC แดง ยังรวมศูนย์อยู่ที่ ทักษิณและเพื่อไทย FC ส้ม ยังไม่แตกแถวจาก พรรคประชาชน
แต่ FC สลิ่ม กลับยังทะเลาะกันเองในโซเชียล แย่งกันหาพรรคที่ “พอรับได้” จนสุดท้าย เสียงแตก แพ้เลือกตั้งซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้บางคนยังภักดีกับแนวคิดแบบอนุรักษนิยม แต่เมื่อไม่มีพรรคใดที่ชูธงชัดเจน หรือมีผู้นำที่โดนใจ มวลชนสายนี้จึงยังคงเป็น เสียงส่วนใหญ่ที่ไม่มีพรรคใดเอาชนะใจได้
สลิ่มไม่ได้หายไปจากสังคมไทย แต่กลายเป็นกลุ่มที่ ไร้ศูนย์รวมทางการเมือง และ พรรคอนุรักษ์นิยม ก็ยังไม่สามารถสร้างจุดร่วมใหม่ที่พามวลชนกลับมาเดินแนวเดียวกันได้
หากวิเคราะห์ให้ลึก สี่พรรคนี้ต่างเคยมีพลัง เพราะมี “บริบท” หนุนหลัง บางพรรคเคยถูกใช้เป็น เครื่องมือรัฐ บางพรรคได้แรงส่งจาก กระแสต่อต้านระบอบทักษิณ บางพรรคเติบโตจากการ ผูกโยงกับฐานเสียงท้องถิ่น
แต่ในสนามการเมืองใหม่ที่ประชาชนมองหาพรรคที่ กล้าเสนอนโยบาย กล้าชนกับโครงสร้าง และมีวิธีคิดที่ร่วมสมัย พรรคที่พึ่งแรงเฉื่อยจากอดีตจึงกำลังถูกเร่งให้ เปลี่ยนหรือล้มหายไปจากแผนที่การเมือง
และเมื่อพรรคการเมืองในกลุ่มนี้ไม่สามารถ สร้างฐานใหม่ให้ตัวเองได้ทันเวลา ก็อาจไม่เหลือที่ยืนในสภาฯ แม้ในเขตที่เคย “ชนะขาดลอย” เมื่อไม่กี่ปีก่อน
การเมืองไทยในระยะเปลี่ยนผ่านนี้ จึงไม่ใช่แค่การแข่งกันระหว่าง รัฐบาลกับฝ่ายค้านแต่เป็น การต่อสู้ของพรรคที่ “มีอนาคต” กับพรรคที่ “มีแต่ชื่อในอดีต”
และ พรรคการเมืองเหล่านี้ ซึ่งเคยมีบทบาทสำคัญในรัฐบาล หรือเคยเป็น ศูนย์รวมของฝ่ายอนุรักษ์นิยม กำลังต้องตัดสินใจว่าจะเดินหน้าต่อในรูปเดิมเพื่อ รักษาเพียงที่นั่งในสภา หรือ ยอมสลายเพื่อรวมกันใหม่ ให้กลายเป็นพลังทางการเมืองที่มีความหมายต่ออนาคตจริงๆ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'รทสช.' ตีปี๊บ! คนรุ่นใหม่แห่ร่วมงาน ลุยศึกเลือกตั้ง
'รทสช.' คึกคัก พร้อมเปิดเกมใหม่การเมืองไทย ลุยศึกเลือกตั้ง 69 ย้ำการเมืองต้องมีอุดมการณ์ ไม่ใช่ดีลผลประโยชน์
'เทพไท' สะท้อนผลโพล ทุกพรรคมีหวังชิงแชร์คะแนนนิยม กลุ่มยังไม่เลือกใครมีสูง
ถ้าหากว่าดูผลการสำรวจของนิด้าโพลแล้ว ยังเป็นความหวังของพรรคการเมืองอื่นๆ ที่สามารถช่วงชิงหรือแชร์คะแนนนิยมของกลุ่มที่ยังหาผู้เหมาะสมในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีไม่ได้
ได้ฤกษ์‘บ้านใหญ่’แห่ซบ‘ภท.’
“ภูมิใจไทย” หัวกระไดไม่แห้ง บ้านใหญ่แห่สมัครสมาชิกพรรคเป็นทางการ
ใครเห็นด้วยกับเหวง! อย่าไปเลือกนักการเมืองและพรรคกะล่อนทอง
‘เหวง’ ทะลุปรุโปร่ง เห็นชัดธาตุแท้พรรคการเมือง ตั้งแต่การทรยศประชาชน ประชาธิปไตยเปลือก เงินเทา ไปจนถึงแก้เศรษฐกิจไม่เป็น พร้อมชวนประชาชนที่เห็นด้วย งดเลือกพรรคและนักการเมืองกลุ่มนี้ในการเลือกตั้งปี 2569
ศึกชายแดน เปลี่ยนเกม! ‘อนุทิน’ พลิกบีบ ‘ส้ม-แดง’
พรรคภูมิใจไทย พลิกเกมขี่กระแส ชาตินิยม ได้อย่างทันทีท่วงที เมื่อ “นายกฯ หนู”-อนุทิน ชาญวีรกูล พลิกสถานการณ์จากเสียงตำหนิเรื่องน้ำท่วมใต้และปัญหาสแกมเมอร์ล่าช้า มายืนบนพื้นที่ที่ตัวเองได้เปรียบ คือกระแสชาตินิยม และประเด็นความมั่นคง
ยุบสภา! ดร.อานนท์ ยก 5 ข้อผลดีภูมิใจไทย ส่วนพรรคประชาชนโง่แล้ว โง่อยู่ โง่ต่อไป
ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์เฟซบุ๊กว่าการยุบส

