'เท้ง' สับงบประมาณปี 69 สะท้อนนายกฯไร้เป้าหมาย เสี่ยงนำประเทศสู่รัฐล้มเหลว

'เท้ง' เปิดฉาก! ชำแหละ 'งบฯ 69' ชี้ 'รัฐบาล' ไร้ทิศทางบริหารประเทศ บอก เห็นๆ กันอยู่สักแต่ตั้งงบ เพื่อให้มีไปใช้ ไม่ได้คิดเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ ย้ำ ไม่ใช่ว่าเราไม่มีเงิน แต่ไม่มีผู้นำที่รู้จักใช้อำนาจ ในการเปลี่ยน เพื่อกัน failed state เหตุชนชั้นนำจงใจรักษาสภาพที่ตนเองได้ผลประโยชน์ไว้ ไม่ใช่เพื่ออนาคตของคนส่วนใหญ่

28 พฤษภาคม 2568 - เวลา 17.11 น. นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคประชาชน อภิปราย โดยแบ่งเป็น 7 ส่วน ดังนี้ 1.ภาพรวมของงบประมาณปี 69 ซึ่งเป็นปีที่สองติดต่อกันที่รัฐบาลเพื่อไทยตั้งงบขาดดุลสูงสุดจนเกือบเต็มเพดาน กำหนดกรอบงบประมาณไว้ที่ 3.78 ล้านล้านบาท ขณะที่มีการประมาณการรายได้ของรัฐไว้เพียง 2.92 ล้านล้านบาท ส่งผลให้ต้องกู้เพื่อชดเชยการขาดดุล 8.6 แสนล้านบาท คิดเป็น 4.5% ต่อจีดีพี ซึ่งหากใช้ตัวเลขจีดีพีใหม่ ที่มีการปรับลดลงมาแล้ว สัดส่วนตรงนี้ ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

ปี 68 รัฐบาลทำสถิติที่ถูกบันทึกเอาไว้ว่า ตั้งงบประมาณเพื่อชดเชยการขาดดุล เป็นสัดส่วนต่อจีดีพีสูงสุดในรอบ 36 ปี นับตั้งแต่ ปี 2532 ที่สำคัญเศรษฐกิจการคลังเก็บสถิติ

นายณัฐพงษ์ ย้ำว่า สิ่งที่น่ากังวลในตอนนี้ ไม่ใช่เรื่องของการกู้ แต่คือเรื่องการใช้เงินเกินตัว โดยไม่มีแผนการลงทุน และการหารายได้มารองรับ และการกู้โดยไม่มีแผน ไม่มีอยู่ยุทธศาสตร์ใดๆ ไม่มีการเชื่อมโยงกับการสร้างศักยภาพของประเทศไทยในอนาคต มีแต่การกู้ซ้ำๆ ไปลงกับโครงการเดิมๆ ไม่ได้สร้างรายได้ ไม่ได้สร้างอนาคตให้กับประเทศ

แม้ว่าปีนี้ จะเป็นปีที่รัฐบาลเบ่งงบออกมาสู่จนเต็มเพดาน แต่เรายังมีพื้นที่ทางงบประมาณน้อยเหมือนเดิม เพราะรายจ่ายบุคลากรเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 2 หมื่นล้านบาท งบชำระหนี้ก็เพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึง 1.1 หมื่นล้านบาท งบผูกพันแม้จะลดลงเล็กน้อย แต่ก็ยังเป็นภาระที่ต่อเนื่อง รวมเงินอุดหนุนงบประมาณให้ท้องถิ่น รวมเงินทดใช้เงินคงคลังต่าง ๆ สุดท้ายเมื่อรวมออกมา เหลือเพียงแค่ 1 ใน 4 ของงบประมาณทั้งก้อน หรือราว 1.06 ล้านล้านบาทเท่านั้น

ดังนั้น ด้วยสถานการณ์ภาพรวมของประเทศไทยในตอนนี้ ซึ่งพวกเรามีพื้นที่การคลังให้กู้ได้อีกไม่ มีพื้นที่ทางงบประมาณให้กับโครงการใหม่ๆ อยู่น้อย ประชาชนจึงต้องการรัฐบาลที่รู้จักการใช้อำนาจ ไม่ใช่รัฐบาลที่เป็นแหล่งรวมของผู้แสวงหาอำนาจ ที่มารวมกันเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ เพื่อให้ตัวเองดำรงอยู่ในอำนาจได้ต่อไป

งบประมาณปี 69 จึงเป็นกระจกสะท้อนชั้นดีว่า รัฐบาลชุดนี้ เป็นรัฐบาลที่ไร้ทิศ ไร้ทาง และไร้ภาพ ไม่ได้จัดงบ เพื่อหาทางออกให้กับประเทศ แต่ปล่อยให้การบริหารราชการแผ่นดิน อยู่ในระบบของราชการประจำ เพราะใช้เวลาไปกับการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง ไม่ได้เอาสมาธิ ไปจดจ่อกับการแก้ไขปัญหาของประเทศ หรือนำประเทศผ่านพ้นวิกฤติ

สิ่งที่ตอกย้ำได้ชัดเจนมากที่สุด อาจจะไม่อยู่ในงบของปี 69 แต่อยู่ในงบกลางปี 68 ที่มติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ออกมาบอกว่า กำลังจะเปลี่ยนงบดิจิทัลวอลเล็ต ไปใช้กับการลงทุนระยะสั้น จำนวน 1.57 แสนล้านบาท ฟังเผินๆ อาจจะดูเหมือนคิดใหม่ ทำใหม่ แต่เมื่อดูการบริหารจัดการจริง ก็ยิ่งตอกย้ำอีกครั้งว่า รัฐบาลไม่มีภาพอะไรในหัวเลย เพราะนี่คือการโยนเงินจำนวนนี้ ไปให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 7,850 แห่งทั่วประเทศ ส่งคำของงบประมาณเข้ามาให้ทันภายใน 3 วัน

และถึงแม้จะมีการขยายกรอบระยะเวลาแล้วก็ตาม แต่วิธีการแบบนี้ก็แสดงให้เห็นว่ารัฐบาล ไม่มีแผนแม่บท ไม่มีวิสัยทัศน์ร่วม ไม่มีเป้าหมายระดับประเทศ ลองมาให้พวกเราจัดสรรงบประมาณ น้ำประปาสะอาดทั่วทั้งประเทศ มีขนส่งสาธารณะด้วยรถเมล์อีวี และยังมีอีกหลายๆ อย่าง ที่พัฒนาอนาคตลูกหลานได้ดีกว่านี้ นี่ไม่ใช่การกระจายอำนาจอย่างมียุทธศาสตร์ แต่เป็นการกระจายภาระไปให้ท้องถิ่นคิดแทนรัฐบาล

หรือไม่ ตนก็ตั้งคำถามว่า เป็นการกระจายผลประโยชน์ ไปให้เฉพาะกลุ่มเครือข่าย ที่ใกล้ชิดกับรัฐบาล ที่รู้ข่าวล่วงหน้า จึงจะสามารถจัดทำคำขอเข้ามาได้ทัน ภายในการกำหนดกรอบระยะเวลาอันสั้นนี้ ใช่หรือไม่

ทั้งหมดนี้ สะท้อนอย่างชัดเจนว่า เรากำลังมีรัฐบาลที่ขาดเจตจำนงในการบริหารประเทศ พวกตนกล้าพูดได้ว่า การอภิปรายงบประมาณปี 69 ในครั้งนี้ บทการอภิปรายของพวกตน เตรียมโดยใช้ข้อมูลงบประมาณปี 68 เพราะไส้ในแทบไม่ได้เปลี่ยนเลย เพิ่งมาปรับตัวเลขกันจริงๆ ตอนที่ได้เล่มงบประมาณออก ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายก่อนอภิปราย

ความไร้ภาพนี้ ไม่ใช่เรื่องความบังเอิญ แต่เกิดจากความไร้สภาพของรัฐบาลในการบริหารประเทศ พรรคประชาชนและพรรคร่วมฝ่ายค้าน จึงขอใช้เวทีนี้เพื่ออภิปรายให้ทุกคนเห็นว่า ประเทศไทยยังมีความหวัง ยังมีทางออก ประชาชนคู่ควรกับร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปีที่ดีกว่านี้

2.ในปีที่โลกปั่นป่วน อุณหภูมิโลกร้อนแรง การค้ารุนแรง เศรษฐกิจโลกเปราะบาง แต่เรายังใช้งบประมาณสูตรเดิมๆ ที่ล้มเหลวกันมาอย่างต่อเนื่องหลายปี ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวตัวหัวต่อ ที่งบประมาณปี 69 นี้ ท่านจะจัดงบแบบพอให้ผ่านๆ ไป อีกปีไม่ได้ เพราะนี่คือคำตอบว่าประเทศไทยจะฝ่าวิกฤตนี้ไปได้หรือไม่

สำหรับอุณหภูมิที่สูงขึ้น ในสถานการณ์ที่เลวร้ายและย่ำแย่ที่สุด คือประเทศไทยมีโอกาสสูญเสียจิดีพีได้สูงถึง 4.5% ซึ่งภาคส่วนที่คาดว่า จะได้รับผลกระทบมากที่สุด คือการท่องเที่ยวและภาคการเกษตร

ส่วนสงครามการค้าที่รุนแรง กำแพงภาษีทรัมป์ จะกระทบการส่งออกของสินค้าไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซ้ำเติมปัญหาการนำเข้าสินค้าราคาถูก และการสวมสิทธิ์จากต่างประเทศ

และการที่เศรษฐกิจโลกกำลังชะลอตัว ก็จะกระทบต่อการท่องเที่ยวไทยแน่นอน ทั้งรายได้จากนักท่องเที่ยว รวมถึงค่าใช้จ่ายต่อหัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ยังไม่นับรวมความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สงครามในประเทศอื่น วิกฤติรอบโลกเหล่านี้ กำลังปะทะเข้ากับโครงสร้างที่อ่อนแอของไทย เศรษฐกิจไทยที่พึ่งพาการส่งออก ท่องเที่ยว และเกษตร กำลังถูกกดดันพร้อมกันในทุกๆ ด้าน สัดส่วนรายได้ต่อจีดีพีของไทยมีแนวโน้มลดลงมาโดยตลอด ความสามารถในการชำระหนี้ของรัฐบาลถูกตั้งคำถาม มุมมองต่ออนาคตของไทยถูกปรับลดลงเป็นทางลบ ประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาด้านการคลังอย่างรุนแรง หากรัฐบาลยังลงทุนไม่ถูกจุด ไม่มีเป้าหมาย ในการใช้จ่ายงบประมาณที่ชัดเจน แล้วพวกเราจะฝากความหวังไว้กับร่างพระราชบัญญัตฉบับนี้ได้อย่างไร

3.การจัดสรรงบประมาณที่ยังคงถูกตั้งด้วยสูตรเดิมๆ 2 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่การเลือกตั้งปี 66 ถ้าเรามีรัฐบาลที่มีสมาธิในการบริหารประเทศ และให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้าง เช่น การปฏิรูประบบงบประมาณ ตนมีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า เราจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลง ทั้ง 5 ด้าน ดังต่อไปนี้ ให้เห็นเป็นรูปธรรมได้แน่นอน

เพราะเราจะได้เห็นการจัดทำงบประมาณที่รักษาวินัยการเงินการคลังอย่างสมดุล ไม่รัดเข็มขัดมากไป ไม่สุรุ่ยสุร่ายจนเกินตัว มีพื้นที่เผื่อเหลือเผื่อขาด เพื่อรองรับกับวิกฤตในอนาคต ไม่ใช่ขยายกรอบแล้วขยายอีก ขยายเพื่อกู้มาแจก ซึ่งทำลายศักยภาพของประเทศในอนาคตโดยสิ้นเชิง

ตนเชื่อมั่นว่า เราจะเห็นการลงทุน ในเครื่องจักรเศรษฐกิจใหม่ ไปพร้อมกับการฟื้นฟูเครื่องจักรเศรษฐกิจเดิม เช่น การลงทุนในอุตสาหกรรมไฮเทค การฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยว และการพัฒนาภาคการเกษตร ตลอดจน SMEs ให้แข่งขันกับต่างประเทศได้ ไม่ใช่การจัดสรรงบประมาณแบบสเปะสปะ ให้ส่วนราชการต่างคิดต่างทำกันเอง เนื่องจากงบลงทุนส่วนใหญ่ของประเทศ ถูกนำไปตัดถนน คูคลอง ไม่ก็สร้างตึก

ขณะที่ดัชนีความยั่งยืนด้านการท่องเที่ยวของประเทศร่วงลงมา ดัชนีความปลอดภัยด้านการท่องเที่ยวก็ร่วงลงมา แต่เรากลับจัดสรรงบประมาณไปที่การกระตุ้นดีมานด์ เพื่อชวนเชิญให้นักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวมากขึ้น โดยที่ไม่ลงทุนปรับปรุงปัญหาภายในของเราเอง

ด้านการเกษตร ถ้าจัดสรรงบประมาณ 1 แสนล้านบาท ทุกปีสามารถนำไปพัฒนาแหล่งน้ำนอกเขตชลประทานได้ปีละ 5.5 ล้านไร่ หากทำต่อเนื่อง 10 ปี เกษตรกรก็จะมีแหล่งน้ำเพื่อการเกษตรเป็นตัวเลือกนอกเขตชลประทานที่ดีกว่านี้

ถ้าเรามีรัฐบาลที่มีสมาธิในการบริหารประเทศ จัดงบประมาณได้ตรงจุด เราจะได้งบประมาณที่ดูแลคุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อม การศึกษา และสวัสดิการที่ทั่วถึงเพียงพอ

เราจะได้เห็นงบประมาณที่โปร่งใส เห็นทั้งเงินนอกและเงินใน ที่แฝงตัวอยู่ในธุรกิจกองทัพ และรัฐพาณิชย์ต่างๆ จึงเสนอให้มีการจัดทำงบประมาณแบบรวบยอด มองเห็นทั้งข้อมูลฝั่งรายได้ รายจ่าย และภาระทางการคลังอื่นๆ ของรัฐ ที่ไม่ได้รวมอยู่ในนิยามของคำว่าหนี้สาธารณะ และจะเห็นข้อมูลตั้งแต่ชั้นคำของบประมาณ

เคยมีหนังสือมาถึงคณะกรรมาธิการติดตามงบประมาณว่า หากมีลายเซ็นของรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง สำนักงบประมาณยินดีที่จะเป็นตัวกลาง ในการส่งข้อมูลคำของงบประมาณมาให้สภา ในวันนี้พวกตนไปตามกันเอง ได้ลายเซ็นจากรัฐมนตรีมาหลายกระทรวงแล้ว แต่สำนักงบประมาณยังไม่ส่งมาให้

"ท่านนายกฯ ผมรบกวนนิดนึง ฝากไปถึง ผอ.สำนักงบฯ ช่วยปฏิบัติตามลายเซ็นรัฐมนตรี และหนังสือที่สำนักงบประมาณต่อมาให้กับสภาที"

และเราจะได้เห็นงบประมาณท้องถิ่นที่มีต่อสัดส่วนรายได้ต่อรัฐส่วนกลาง ที่มีแนวโน้มมากขึ้น ผ่านการเร่งรัดการถ่ายโอนธุรกิจ ที่งานไปพร้อมกับเงิน และเงินไปพร้อมกับคน ส่งเสริมให้ท้องถิ่นเป็นกลไกหลักในการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน และเป็นกลไกเสริมในการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกับรัฐบาล

เพราะงบประมาณสัดส่วนรายได้ท้องถิ่นไม่เคยเพิ่มขึ้นมากี่ปีแล้ว แถมรัฐบาลยังไปแอบอ้างแบบผิดฝาผิดตัว ว่าการใส่เงินลงทุนลงไปในกองทุน SML เท่ากับการกระจายอำนาจ ใครก็รู้ว่าไม่ใช่

งบประมาณในปีนี้ จึงเป็นเพียงแค่การจัดกลุ่มตัวเลข ตามเอกสารงบประมาณรายจ่ายประจำปี ไม่ใช่การจัดลำดับความสำคัญ ว่าอะไรก่อนหลัง สำหรับประชาชน และตนขอยืนยันว่า การจัดทำงบประมาณสูตรใหม่ สามารถทำได้ เพราะมีอยู่แล้วในผลการศึกษาของคณะกรรมาธิการศึกษาการจัดทำและติดตามการบริหารงบประมาณ ที่ข้างในมีร่างพระราชบัญญัติวิธีการจัดงบประมาณฉบับใหม่ ซึ่งสามารถทำให้พวกเราได้ทั้งหมดที่ตนกล่าวไป รวมไปถึงร่างรัฐธรรมนูญปลดล็อกท้องถิ่น ที่จะทำให้ท้องถิ่นเป็นกลไกสำคัญ

แต่ถึงพวกตนจะเสนอร่างกฎหมายทั้ง 2 ฉบับนี้เข้าสภา ตนคิดว่าก็คงไม่ผ่าน เพราะการเมืองไทยยังล้มเหลว เห็นๆ กันอยู่ว่า รัฐบาลสักแต่ตั้งงบ เพื่อให้มีงบไปใช้ ไม่ได้คิดงบ เพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงใดๆ ทำให้มองไม่เห็นการลงทุนเชิงยุทธศาสตร์ใดๆ แม้แต่น้อย

4.ขอย้ำว่าประเทศไทยไม่ได้ขาดเงิน หากจะทำให้ประเทศเราผ่านพ้นวิกฤตในตอนนี้ไปได้ ต้องตั้งคำถามใหม่ว่า ประเทศไทยมีทรัพยากรอยู่ในมือจริงๆ เท่าไหร่ รัฐบาลต้องบริหารเงินแผ่นดินเป็น ซึ่งหมายรวมไปถึงเงินที่อยู่ในหน่วยในงานของรัฐทุกๆ หน่วย

เช่น หากตัดเงินในส่วนที่ซ้ำกับเงินอุดหนุนจากรัฐส่วนกลางไปให้รัฐวิสาหกิจ จะเหลือเงิน 3.86 ล้านล้านบาท ซึ่งเท่าๆ กับงบประมาณรายจ่ายประจำปี ขณะที่งบประมาณ ท้องถิ่นทั่วประเทศ มีตัวเลขรวมในปี 67 จำนวน 7.5 แสนล้านบาท และยังมีบริษัทพัฒนาเมืองอีกหลายสิบแห่ง รวมถึงธุรกิจเพื่อสังคมที่พร้อมจะลงทุนร่วมกับรัฐบาลในการพัฒนาเมือง ให้สามารถพัฒนาประเทศได้ร่วมกัน หากรวมทั้งหมดนี้ จะเท่ากับว่ารัฐบาลมีเงินอยู่ในมือ 7-8 ล้านล้านบาท คิดเป็น 40%ต่อจีดีพี ไม่ใช่แค่เงินจำนวน 3.78 ล้านล้านบาทอย่างเดียว ไม่ใช่เพียงแค่ 18%ต่อจีดีพีแบบที่เป็นอยู่ แต่ปัญหาที่ผ่านมาคือ ไม่มีใครเข้าไปเชื่อมโยงเม็ดเงินเหล่านี้ให้เข้าหากัน ต่างคนต่างใช้ต่างคิดต่างลงทุนกันตามลำพัง

รัฐบาลที่บริหารเป็น ย่อมเข้าใจ และรู้จักใช้กลไกมาตรการการลงทุนผ่านกองทุนของเอกชน โดยการร่วมทุนระหว่างเอกชนและรัฐบาล แบบเปิดกว้างในการพัฒนาประเทศร่วมกัน จูงใจร่วมลงทุนไปในทิศทางเดียวกัน สร้างแรงบันดาลให้ทุกคนในประเทศเห็นทางออก และสร้างภารกิจเป้าหมายเดียวกัน นี่คือฉกหน้าของรัฐบาลที่ประชาชนคนไทยอยากเห็นใช่หรือไม่ ถ้าเราจะใช้พลังเหล่านี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด สิ่งที่สำคัญกว่าการมองเห็นเงินในกระเป๋า คือการรู้จักใช้เงินในกระเป๋าให้เกิดผลทวีคูณในระบบเศรษฐกิจ

5.การยิงเงินบาทเดียวให้ได้ผลหลายเด้ง หนึ่งบาทจากรัฐสามารถทำเป็นหลายบาทได้ในระบบเศรษฐกิจ ถ้าเราใช้ในรูปแบบที่ถูกต้อง ในทางตรงกันข้าม ถ้าเรายังคงใช้อย่างกระจัดกระจายแบบที่เป็นอยู่นี้ หนึ่งบาทของรัฐจะกลายเป็นศูนย์ หรือการสูญหายไปในระบบราชการ ดังนั้น จึงควรต้องเปลี่ยนวิธีการตั้งงบแบบเดิม ไปสู่การตั้งงบแบบใหม่ ที่ให้ผลทวีคูณ

"โลกที่เปลี่ยนไป แต่งบประมาณไทยไม่เคยเปลี่ยนแปลง ประเทศไทยตอนนี้ ไม่ได้ขาดเงิน แต่ขาดวิธีการใช้เงินอย่างคุ้มค่า ซึ่งแม้นายกรัฐมนตรีจะไม่ได้เป็นคนที่ทำงบประมาณด้วยตนเอง แต่ท่านคือคนที่คุมสำนักงบประมาณด้วยตนเอง เมื่อท่านปล่อยให้ประเทศไทยใช้งบอย่างไร้เป้าหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่เคยปรับทิศไม่เคยปรับทาง ไม่เคยปรับทีม พวกเราจึงตั้งคำถามว่า ประเทศไทยมีคนที่คอยทำหน้าที่ เป็นผู้นำรัฐบาลอยู่จริงหรือไม่"

เราต่างทราบกันดี ในระบบราชการไทย ที่แบ่งเป็นระบบกระทรวง ทบวง กรม ทำงานกันแยกฝ่ายแยกส่วน ต่างคนต่างวิ่งงบประมาณ ก็ยิ่งจำเป็นที่จะต้องมีผู้นำที่กล้ากำหนดทิศทาง เชื่อมเป้าหมายของประเทศเข้าด้วยกัน กล้าตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็นออก แต่สิ่งที่เราเห็นในร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้ ตรงกับการข้ามกับสิ่งที่ตนพูดมาทั้งสิ้น นายกรัฐมนตรีไม่เคยลงมือปรับ ไม่เคยลงมาดูว่าเป้าหมายที่ตัวเองประกาศไว้ ให้การสนับสนุนกับหน่วยงานมีการตั้งงบประมาณเข้ามาจริงหรือไม่ ไม่เคยสั่งให้หน่วยงานที่ตั้งเป้าหมายเวอร์เกินจริงกลับมาทบทวบให้ถูกต้องตรงกับความเป็นจริงเสียใหม่ ไม่เคยตัดโครงการที่ซ้ำซ้อน ทับซ้อน ไร้ผลเชิงยุทธศาสตร์ เพราะถ้าท่านเคยทำ เราคงไม่เห็นงบเช่นนี้

"ผมขอเตือนนายกรัฐมนตรีว่า วันนี้ไม่ใช่แค่การจัดทำงบประมาณที่ผิดพลาด แต่คือกระจกสะท้อนไปยังตัวท่าน ว่าท่านไม่มีเป้าหมายให้กับประเทศ ซึ่งท่านได้ละเลยต่อการทำหน้าที่ในฐานะผู้นำรัฐบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว"

ในวันแถลงนโยบายท่านเคยประกาศว่า จะปฏิรูประบบราชการให้ทันสมัยและมีประสิทธิภาพ แต่แค่การจัดทำงบประมาณให้สอดคล้องตามที่ตั้งไว้ยังทำไม่ได้ เราจึงยังเห็นร่างแบบนี้ ทั้งที่ประเทศไทยในปี 69 จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เรายังคงมีงบประมาณสูญเดิม เปรียบเสมือนว่าเราไม่มีนายกรัฐมนตรีอยู่ในประเทศนี้ ในขณะที่รัฐบาลกำลังเอาเวลาไปสาละวนไปกับการแก้สมการทางการเมือง มากกว่าการแก้งบประมาณให้กับประเทศ คนไทยกำลังเผชิญวิกฤตอย่างเต็มตัว เมื่อผู้นำไม่กล้าปรับเพื่อเปลี่ยน สุดท้ายคนที่รับกรรมคือประชาชนคนไทยทั้งประเทศ

นายณัฐพงษ์ ย้ำว่า ไม่ใช่ว่าประเทศเราไม่มีเงิน แต่ประเทศเราไม่มีผู้นำที่รู้จักใช้อำนาจ ในการเปลี่ยนงบประมาณที่ล้มเหลว เพื่อไม่ให้ประเทศล้มเหลวไปด้วย สถานการณ์ตอนนี้ไม่ใช่วิกฤตทางการคลัง แต่เป็นวิกฤตทางการเมือง เป็นวิกฤตของสถาบันรัฐไทย ที่เริ่มมีลักษณะเป็นระบบขูดรีดตามที่เขียนไว้ในหนังสือ Why Nations Fail ว่าประเทศที่ล้มเหลวไม่ใช่เพราะขาดเงินแต่เพราะชนชั้นนำจงใจรักษาสภาพที่ตนเองได้ผลประโยชน์ไว้ ไม่เคยปรับเปลี่ยนเพื่ออนาคตของคนส่วนใหญ่ในประเทศ

"เราเกือบจะเป็นเสือตัวที่ 5 และเราเกือบจะเป็นรัฐล้มเหลว ถ้าเรายังจัดทำงบประมาณแบบเดิมที่ไม่เปลี่ยน นายกรัฐมนตรียังทำงานแบบเดิมที่ไม่ปรับ เราจะไม่ใช่แค่เกือบ แต่เราจะกลับลุกขึ้นมาไม่ได้อีก ถึงแม้ประเทศไทยยังไม่ใช่รัฐล้มเหลวที่สมบูรณ์ โครงสร้างรัฐอาจจะยังไม่พัง แต่ความเชื่อมั่นของพี่น้องประชาชนพังไปแล้ว" นายณัฐพงษ์ ระบุ

นายณัฐพงษ์ ระบุอีกว่า 3 วันต่อจากนี้ ตนเองและเพื่อนสมาชิกฝ่ายค้าน จะช่วยชี้ช่องตัด บอกช่องใช้ ช่วยท่านหาเงิน และบอกกลวิธีในการใช้งบประมาณทุกภาคส่วน วันนี้จึงไม่ใช่การอภิปราย เพื่อวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลที่ล้มเหลวอยู่แล้ว ให้ล้มเหลวมากขึ้น แต่คือการอภิปรายเพื่อยืนยันว่า ประชาชนยังมีความหวัง ประเทศไทยยังมีทางออก ลูกหลานไทยยังมีอนาคต

นายณัฐพงษ์ชี้ว่า ความหวังของประเทศนี้ คือรัฐบาลที่ต้องรู้จักใช้อำนาจ ไม่ใช่รัฐบาลที่แสวงหาอำนาจ ทางออกของประเทศนี้คือกลไกการเมืองในระบบรัฐสภา และนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งพวกตนจะช่วยกันปกป้องไม่ให้ล้มเหลวไปด้วย รัฐสภานี้ต้องเป็นสถาบันที่ปกป้องประเทศนี้ไว้ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านจะฟังข้อเสนอที่เพื่อนสมาชิกพรรคร่วมฝ่ายค้านจะอธิบาย 3 วันต่อจากนี้

"เพราะการจัดงบประมาณในครั้งนี้จะเป็นเครื่องชี้เป็นชี้ตาย ไม่ใช่แค่ความอยู่รอดของคนไทย กลับหมายถึงอนาคตของประเทศนี้ทั้งประเทศด้วย" นายณัฐพงษ์ ทิ้งท้าย

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปชน. ค้านนัดโหวตแก้ รธน. วาระ 3 หลังปีใหม่ หวั่นกระทบไทม์ไลน์ทำประชามติ

"ณัฐวุติ" ย้ำโหวตแก้ รธน. วาระ 3 ต้องเสร็จก่อนปีใหม่ หวั่นกระทบไทม์ไลน์ทำประชามติ เสี่ยงผิด MOA เชื่อไม่มีเงื่อนไขให้ สว. ควํ่าวาระ 3 เผย หลังโหวตเสร็จ ปชน. เตรียมชง 2 คำถามประชามติให้สภาฯ เคาะทันที

'ไอติม' เลี่ยงยื่นซักฟอก ใช้กลไกอื่นตรวจสอบรัฐบาลแทน

'พริษฐ์' ปัดตอบยื่นซักฟอกรัฐบาล ขอใช้กลไกอื่นของสภาตรวจสอบเข้มข้นแทน เชื่อถกแก้ รธน. วาระ 2 จบภายใน 3 วัน นัดประชุมวิปฝ่ายค้านวางกรอบ 9 ธ.ค.

อวยไส้แตก! สิ่งที่เท้งทำตอนน้ำท่วม ถ้าได้บริหารประเทศ จะตอบโต้สถานการณ์น้ำท่วมได้

ตอนน้ำท่วมแม่สาย เชียงราย ปีก่อน เท้งมาแบบคนที่ตาใสเลย นับ 1 จับต้นชนปลายไม่ถูก แต่มีความตั้งใจ มาแต่ตัวจริงๆ ไม่มีแม้อุปกรณ์ล้างบ้าน ตั้ง

'วันนอร์' นัดประชุมรัฐสภา 10-11 ธ.ค. ถกแก้รัฐธรรมนูญ วาระ 2

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ได้มีคำสั่งให้นัดประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ ระหว่างวันที่ 10 ธ.ค. และ ครั้งที่2 (สมัยวิสามัญ) เป็นพิเศษ วันที่ 11 ธ.ค. เพื่อพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญ แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่..) พ.ศ... ในวาระสอง ซึ่งคณะกรรมาธิการ (กมธ.)

สส.ปชน. เรียกร้องรัฐบาลเยียวยาน้ำท่วมภาคกลางให้มีมาตรฐานเดียวกับภาคใต้

"เต้ ทวิวงศ์​" จี้รัฐบาลอย่า 2 มาตรฐาน ช่วยน้ำท่วมใต้แล้ว หันมาช่วยน้ำท่วมภาคกลางด้วย บอก "ภราดร" ลองกลับมาถามคนอ่างทอง หากรอการเยียวยาเป็นลำดับถัดไปไหวหรือไม่ เหตุอยุธยาจมน้ำมา 4-5 เดือนแล้ว คนเสียชีวิตไปกว่า 20 ราย ชี้ ชาวบ้านต้องทำมาหากิน ควรมีมาตรการชดเชย-ช่วยเหลือเต็มรูปแบบเหมือนกัน

บก.ลายจุด อวยว่าที่นายกฯ ฝึกงานล้างบ้าน เก็บขยะ มีพัฒนาการที่ดี ลงท้ายแขวะ 'อภิสิทธิ์'

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด โพสต์ภาพนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน กำลังล้างบ้านน้ำท่วมที่หาดใหญ่ พร้อมข้อความระบุว่า ใครทนอ่านเรื่องส้มไม่ได้ให้ข้ามไปก่อน