เมื่อ คลิปเสียงระหว่าง แพทองธาร ชินวัตร กับ สมเด็จฮุน เซน ถูกฝ่ายกัมพูชาเผยแพร่ ไม่ใช่แค่เพียงเปิดเผยเนื้อหาสนทนา แต่คือจุดเริ่มต้นของการ สะท้อนวิกฤติภายในรัฐบาลชุดนี้ อย่างชัดเจน
ในคลิป แพทองธารแสดงความ ไม่ไว้วางใจต่อแม่ทัพภาคที่ 2 ของไทย และพูดคุยถึงการเปิดด่านที่มีข้อพิพาทกับกัมพูชา ซึ่งสะท้อนความ แตกร้าวในระดับอำนาจรัฐ ระหว่างฝ่ายพลเรือนกับกองทัพ
ความไม่รอบคอบในบทสนทนา กับผู้นำกัมพูชา ซึ่งเป็นคู่พิพาทด้านอธิปไตยของไทย กลายเป็นชนวนวิจารณ์อย่างรุนแรง และกลายเป็นข้ออ้างให้พรรคภูมิใจไทยถอนตัวจากรัฐบาล
การถอนตัวของภูมิใจไทยลดเสียงรัฐบาลจาก 322 เหลือเพียง 253 เสียงในสภา — ตัวเลขที่ผลักดันรัฐบาลเข้าสู่ภาวะ เสียงปริ่มน้ำอย่างเป็นทางการ ซึ่งทำให้ การผ่านกฎหมาย การบริหารงบประมาณ และแม้แต่การยืนระยะทางการเมือง ล้วนกลายเป็นความเสี่ยงที่ต้องต่อรองทุกฝีก้าว
ยิ่งไปกว่านั้น เสียงที่เหลืออยู่ ไม่ได้เป็นของรัฐบาลอย่างแท้จริง พรรคกล้าธรรม (24), รวมไทยสร้างชาติ (36), ประชาธิปัตย์ (25) และพรรคเล็กอื่น ๆ ล้วนยืนอยู่ในโครงสร้างที่หลวม พร้อมเปลี่ยนจุดยืนได้ทุกเมื่อภายใต้ แรงกดดันหรือผลประโยชน์เฉพาะหน้า
แม้แต่ในพรรคเพื่อไทยเอง ก็ใช่ว่าจะยึดเหนี่ยวทุกเสียงไว้ได้เสมอ ความเชื่อมั่นในผู้นำ และกระแสสังคมที่ผันผวน อาจทำให้ เสียงจากภายในพรรคเองสั่นคลอน ได้ทุกเมื่อ
ในขณะเดียวกัน ฝ่ายค้านก็ไม่ใช่กลุ่มก้อนเดียวกันทั้งหมด “วัฒนธรรมงูเห่า” ยังคงทำงานอยู่เบื้องหลังเสมอ จึง ไม่มีฝ่ายใดมั่นคงพอจะถือธงนำโดยไม่มีเงื่อนไข
เมื่อปัจจัยภายในสภาไม่สามารถรับประกันเสถียรภาพได้ รัฐบาลยังต้องเผชิญ แรงบีบจากนอกสภา โดยเฉพาะ คดีความของทักษิณ ชินวัตร ซึ่งกำลังจะเข้าสู่กระบวนการศาลอย่างเข้มข้นในเดือนกรกฎาคมนี้
คดีแรกคือ คดีมาตรา 112 จากการให้สัมภาษณ์ที่เกาหลีใต้เมื่อปี 2558 ซึ่งศาลอาญามีคำสั่งรับฟ้องแล้ว และจะเข้าสู่การไต่สวนพยานในช่วงเดือนกรกฎาคม ความผิดในคดีนี้มีอัตราโทษจำคุก 3–15 ปี หากศาลมีคำพิพากษา
อีกคดีหนึ่งคือ การไต่สวนว่าการบังคับโทษจำคุกเกิดขึ้นจริงหรือไม่ หลังไม่ได้เข้าเรือนจำแต่พักรักษาตัวที่โรงพยาบาลตำรวจนานกว่า 6 เดือน ซึ่งศาลฎีกานัดไต่สวนในเดือนกรกฎาคมเช่นกัน หากศาลวินิจฉัยว่าไม่มีเหตุอันควร การบังคับโทษจำคุกจะกลับมาเป็นจริงทันที
สถานการณ์นี้ทำให้รัฐบาลไม่เพียงต้อง รักษาเสียงในสภา แต่ยังต้องแบกรับ ผลกระทบจากคดีอาญาที่ทักษิณ ชินวัตรกำลังเผชิญอยู่ด้วย
แพทองธารจึงไม่ใช่แค่ผู้นำฝ่ายบริหาร แต่กลายเป็น ศูนย์กลางความตึงเครียดของทั้งโครงสร้างรัฐ — เสียงในสภาแตกแยก ความเชื่อมั่นจากประชาชนสั่นคลอน และคดีของบิดากลายเป็นชนวนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
สถานการณ์จึงเหลือเพียง สามทางเลือกที่ชัดเจน
หนึ่ง, ยุบสภา — เพื่อคืนอำนาจให้ประชาชน หากมั่นใจว่ายังสามารถกลับมาด้วยเสียงข้างมากอีกครั้ง แต่ในสภาวะเช่นนี้ พรรคเพื่อไทยอาจถูกตัดกำลังทางคะแนนจากหลายด้าน ทั้งคดี ทั้งกระแส และแรงต้านจากชนชั้นกลาง
สอง, ลาออก — เพื่อให้พรรคเสนอแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่โดยไม่ยุบสภา เส้นทางนี้แม้ต้องสละตำแหน่งผู้นำ แต่ยังอาจรักษาโครงสร้างรัฐบาลไว้ได้ หากได้รับการยอมรับจากพรรคร่วมและสังคม
สาม, ดื้ออยู่ต่อ — โดยอาศัยเสียงพรรคร่วมรายวัน และการต่อรองรายคน กลายเป็นรัฐบาลที่ ขยับไม่ได้ เดินหน้าก็ไม่พ้น ถอยหลังก็ไม่กล้า ต้องยื้ออยู่กับ เกมอำนาจรายวัน ที่หมดพลังจะคิดเรื่องใหญ่ของบ้านเมือง
ไม่ว่าจะเลือกทางใด ทุกทางล้วนจบลงด้วย การลดทอนอำนาจ บั่นทอนความชอบธรรม หรือจบสิ้นสภาพผู้นำ และไม่มีหนทางใดที่จะพารัฐบาลแพทองธารกลับสู่ภาวะปกติได้อีกต่อไป
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของ “เสียงในสภา” แต่คือ การหมดอากาศหายใจทางการเมือง อย่างสมบูรณ์แบบ
และคำถามสำคัญในเวลานี้ ไม่ใช่จะอยู่ต่อได้หรือไม่ แต่คือ ใครจะกล้าตัดสินใจว่า “จะไปอย่างไร”
เพราะแม้จะมีเสียง 253 เสียงในมือ แต่อำนาจในการตัดสินใจจริงกลับอยู่ที่ นายกรัฐมนตรีแพทองธาร, ทักษิณ ชินวัตร และพรรคเพื่อไทย
พวกเขาเท่านั้นที่ต้องเลือกว่า จะ “เผชิญหน้า” หรือ “ถอย” อย่างมีจังหวะ เพื่อไม่ให้ประวัติศาสตร์ทางการเมืองไทย ซึ่งผูกพันกับผู้นำ รัฐบาล และตระกูลเดิม วนกลับไปสู่วงจรล่มสลายซ้ำอีกครั้ง
ในสภาวะที่ ความชอบธรรมไม่ใช่เรื่องของเสียงข้างมากอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ ภาพลักษณ์ ความน่าเชื่อถือ และการตัดสินใจที่ถูกจังหวะ การ “ถอยให้เป็น” อาจกลายเป็นการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่คุ้มค่ากว่าการ “ฝืนอยู่ต่อไป”
เพราะยิ่งอยู่นานเท่าไร ต้นทุนทางการเมืองก็ยิ่งพังทลายเร็วยิ่งกว่าเสียงในสภา.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ชูวิทย์' ฟันธงเลือกตั้ง พรรคประชาชนต่ำ 100 ชี้เดิมเกมผิดพลาดครั้งใหญ่
"ชูวิทย์" วิจารณ์ "ธนาธร" เลือกเดินเกมแก้รัฐธรรมนูญผ่านพรรคภูมิใจไทยคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ ไม่ใช่การประนีประนอม พร้อมคาดผลเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคประชาชนอาจได้ สส. ต่ำกว่า 100 จากกระแสที่เปลี่ยนและความเชื่อมั่นที่ลดลง
เพื่อไทย เล็งส่ง 'รุ่งเพชร' ชน 'ไชยา' ย้ายเข้ากล้าธรรม ชิง สส.หนองบัวลำภู
รายงานข่าวจากพรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้ชัดเจนว่านายไชยา พรหมา อดีตสส.หนองบัวลำภู จะย้ายไปสังกัดพรรคกล้าธรรมแน่นอนแล้ว ซึ่งที่ผ่านมาผู้ใหญ่ในพรรคได้เห็นกระแสข่าวนี้มาตลอด จึงพยายามสอบถามไปยังนายไชยาเ
โทรโข่งเพื่อไทย โจมตี 'อนุทิน' โยกย้าย ขรก.มหาดไทย ในจำนวนที่น่าตกใจมาก
"ศึกษิษฏ์" ซัด "อนุทิน" โยกย้าย ขรก.มหาดไทยไม่หยุด ตั้งข้อสังเกตโยงเครือข่ายบ้านใหญ่รับศึกเลือกตั้ง ตอก "ธนาธร" หลังออกโรงป้อง "เสี่ยหนู" เหน็บ ภท.-ปชน.ติดค้างสินน้ำใจกันอยู่หรือไม่
'จุลพันธ์' หารือ 'เทวัญ' นำลูกพรรคชาติพัฒนา ย้ายซบเพื่อไทย
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ หัวหน้าพรรค และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความพร้อมภาพถ่ายร่วมกับนายเทวัญ ลิปตพัลลภ หัวหน้าพรรคชาติพัฒนา โดยระบุว่า วันนี้ผมได้พบและหารือกับท่านเทวัญ ลิปตพัลลภ
🛑LIVE บ้านใหม่ Vs บ้านใหญ่ ใครพลิกเกม!? | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2568
เลือก ‘ภูมิใจไทย’ ได้ ‘สีหศักดิ์’ สานงานต่างประเทศ! ‘ยุทธพร’ วิเคราะห์เกมเลือกตั้ง ชี้พรรคน้ำเงินเปิดทางคนเก่งไปต่อ โอกาสคัมแบ็กสูง
รศ.ดร.ยุทธพร อิสรชัย อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ให้ความเห็นกรณีการปรากฏตัวของ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่พรรคภูมิใจไทยว่า มีความเป็นไปได้หลายแนวทางทางการเมือง ทั้งการเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี หรือการเป็นผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ

