ในคืนที่พระครองสีกา ผ้าเหลืองคือม่านบังกาม และปาราชิกคือบัตรผ่านการลอยนวล!

ผ้าเหลืองเคยศักดิ์สิทธิ์ แต่วันนี้กลายเป็น ม่านบังกาม เมื่อศรัทธาถูกฆ่าตาย การจับสึกไม่อาจลบความผิด ศาสนาจะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร หากพระยังลอยนวลหลังครองสีกา

ภาพพระสงฆ์ก้มซบแขนหญิง มือจับไว้แน่น ถูกแชร์ต่อในโซเชียลโดยไม่ทราบที่มา จุดกระแสถามถึงความเหมาะสมกับสมณสารูป

พระในผ้าเหลืองควร ละกิเลส แต่กลับกลายเป็นผู้ครองราคะ สีกาไม่ได้อยู่ในร่มโพธิ์ หากแต่กลายเป็น ฉากหลังของความใคร่ ภาพที่ควรเป็นศีลธรรม กลับถูกย้อมด้วยกามารมณ์อย่างโจ่งแจ้ง ศาสนาไม่ได้เสื่อมจากคนนอก แต่เสื่อมเพราะคนในวัดเอง

เมื่อพระผู้ใหญ่ นอนกับสีกาในกุฏิ แต่ยังไม่ถูกดำเนินคดี เมื่อ คลิปเสียง คลิปภาพ หลุดว่อนโซเชียล แต่ไม่มีหมายเรียก เมื่อพระสึกแล้วสังคมบอกว่า “จบแล้ว” ทั้งที่ ศรัทธาถูกขยี้ นี่คือโครงสร้างที่เปิดทางให้พระเลี่ยงความรับผิด

บทลงโทษทางวินัยสูงสุดคือ ปาราชิก แต่นั่นหมายถึงเพียง หมดสถานะความเป็นพระ ไม่ใช่หมดความผิดทางโลก ในทางกฎหมายปัจจุบัน หากพระกับสีกามีเพศสัมพันธ์โดยสมัครใจ จะไม่เป็นความผิดอาญา ตรรกะนี้สะท้อน “ความบอด” ของกฎหมายไทย

เพราะพระไม่ใช่ฆราวาสทั่วไป พระคือผู้ซึ่ง ถือศีล เคร่งวินัย และเป็นผู้ที่ฆราวาสก้มกราบด้วยศรัทธา เมื่อพระซึ่งควรครองศีลยังแอบเสพกาม การยินยอมของสีกา ไม่ควรเป็นข้อยกเว้นความผิด

เพราะนั่นคือการ หักหลังความเชื่อ ความศรัทธา และอำนาจศีลธรรม ที่พระถือเหนือหัวคนไทย

จึงไม่ใช่เรื่อง “ใครยินยอม” แต่คือเรื่อง ใครควรถูกลงโทษ เมื่อพระเอาผ้าเหลืองเป็น ม่านปกปิดกามารมณ์ ความผิดนั้นจึงต้องถูกลากออกมา เผชิญความจริงในกระบวนการยุติธรรม

พระคนเดียวทำผิดได้ แต่เป็น ระบบทั้งระบบที่ปล่อยให้ความผิดลอยนวล การจับสึกกลายเป็น “ประตูทางออก” ไม่ใช่ “เครื่องมือปกป้องศาสนา” และไม่ใช่ “ความยุติธรรม”

ในวินัยสงฆ์ การเสพเมถุน = จับสึกทันที แต่ในโลกของกฎหมาย ไม่มีบทบัญญัติใดเอาผิดพระที่มีเพศสัมพันธ์โดยยินยอมกับสีกา

นี่คือ ความผิดพลาดของระบบยุติธรรมไทย ที่ไม่เคยเข้าใจว่า “พระไม่ใช่คนธรรมดา” เมื่อพระผู้มีศีลกลับเสพกาม ความผิดนั้นควรต้องถูกลงโทษอาญา เช่นเดียวกับการล่วงละเมิดศรัทธาและความไว้วางใจของประชาชน

เมื่อบทลงโทษทางวินัยหยุดอยู่แค่ “การสึก” ความผิดจึงถูกทำให้เงียบ การเปลี่ยนจากจีวรเป็นเสื้อยืด ไม่ได้ลบล้างความเสียหายที่เกิดขึ้น และไม่อาจลบความรับผิดชอบที่พระควรมีต่อศรัทธาของสังคม

กรณี สีกากอล์ฟ ไม่ใช่เรื่องฉาวของคนสองคน แต่คือ ภาพสะท้อนของระบบ ที่เปิดทางให้กามารมณ์ไหลเข้าโบสถ์โดยไม่มีใครหยุด เมื่อพระใช้ศีลธรรมเพื่อครอบงำ และสีกาใช้ร่างกายเพื่อแบล็กเมล์ ความศักดิ์สิทธิ์ถูกกลืนไปกับราคะทั้งสองฝั่ง

เมื่อ หลักฐานกว่า 80,000 ไฟล์ จากมือถือของสีกาถูกเปิดเผย ประชาชนไม่ได้ถามแค่ว่า “ใครผิด?” แต่ถามว่า ศาสนาแบบไหนที่ปล่อยให้ความเสื่อมเติบโตอย่างเป็นระบบ?

พระผู้ใหญ่บางรูปเป็นถึง เจ้าคณะจังหวัดยังหักห้ามกิเลสไม่ได้ แล้วศรัทธาของญาติโยมจะฝากไว้กับใครได้อีก?

พระบางรูปอาจตกเป็นเหยื่อของ เกมกามที่ฝ่ายหญิงวางแผน แต่ในหลายกรณี พระ “ยินดีจะร่วมเล่น” เกมนี้ไม่ใช่แค่เหยื่อกับผู้ล่า แต่คือ การสมรู้ร่วมคิดในผ้าเหลือง

ศาสนาไม่ใช่เพียง พิธีกรรมบนธรรมาสน์ แต่มันคือ ศรัทธาที่ประชาชนยึดเหนี่ยวเมื่อชีวิตสั่นคลอน และศรัทธานั้น ถูกสะบั้นด้วยมือของผู้ที่ควรเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณเอง

หากรัฐยังปล่อยให้ การมีเพศสัมพันธ์ระหว่างพระกับสีกาโดยยินยอม ไม่ถือเป็นความผิดอาญา ประเทศไทยจะไม่มีวันเห็น ความศักดิ์สิทธิ์กลับคืน

เพราะเมื่อพระผู้ถือศีลยัง ใช้ศีลธรรมบังหน้ากามารมณ์ได้โดยไม่ต้องรับผิด ผ้าเหลืองก็จะไม่ใช่เครื่องหมายศรัทธาอีกต่อไป แต่จะกลายเป็น สัญลักษณ์ของการทรยศศรัทธาเสียเอง

ในคืนที่พระครองสีกา ผ้าเหลืองคือม่านบังกาม และปาราชิกคือบัตรผ่านให้คนผิดลอยนวล แต่ในรุ่งเช้าที่ศรัทธาถูกฆ่าตาย คำว่า “จับสึกแล้ว” หรือ “ปาราชิก” ไม่เคยเพียงพอจะเรียกคืนความศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกทำลายไปแล้ว

แต่ศรัทธาไม่ได้ถูกฆ่าให้ตายเพียงครั้งเดียว มันถูกฆ่าซ้ำ เมื่อเงินบุญ ที่ผู้คนถวายด้วยความหวัง ถูกบำเรอราคะ และต่ออายุความเสื่อมในวัดต่อไปอย่างง่ายดาย

ศรัทธาที่ญาติโยมถวาย ไม่ใช่แค่เงินในมือ แต่คือ “ความหวัง” ในวันที่ชีวิตสั่นคลอนหลายคนทำบุญเพราะต้องการที่พึ่งยามสิ้นหนทาง แต่เมื่อเงินนั้นถูกใช้ตอบสนอง ความใคร่ หรือความฟุ้งเฟ้อของพระ ความเสียหายไม่ได้หยุดอยู่ในบัญชีวัด แต่ ทำลายความหวังของคนยากจนที่ถวายเงินด้วยหัวใจ

พระสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ยังมีอยู่จริง และคือหลักที่ค้ำจุนศาสนา แต่ศาสนาจะศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร หากยังมีพระบางรูปที่ ละเมิดศีล ใช้ผ้าเหลืองบังหน้า และไม่มีใครกล้าตรวจสอบ ความดีของพระดี ต้องไม่ถูกใช้เป็นฉากบังความผิดของพระที่ไม่เคารพศีล

เงินบริจาคคือ “เงินศรัทธา” ไม่ใช่ทรัพย์ส่วนตัวของพระ วัดต้องเปิดเผยบัญชีให้ตรวจสอบได้โดย สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และ คณะกรรมการฆราวาสอิสระ เพราะเมื่อ เงินบุญกลายเป็นเครื่องมือบำเรอกามโดยไม่มีใครตรวจสอบ ศาสนาก็เสื่อมจากข้างใน

การตรวจสอบบัญชีวัดไม่ใช่การทำลายศาสนา แต่คือการปกป้องศรัทธาที่เหลืออยู่ของคนในสังคม เพื่อให้เงินที่ถวายด้วยศรัทธา ถูกใช้เพื่อรักษาศาสนา ไม่ใช่หล่อเลี้ยงความสัมพันธ์ต้องห้ามของพระที่ไร้ศีล

ศาสนาไม่ศักดิ์สิทธิ์ได้เอง เมื่อผ้าเหลืองยังถูกใช้ บังหน้ากามารมณ์ และเงินบุญยังถูกใช้ เลี้ยงราคะ โดยไม่มีใครกล้าถาม ไม่มีใครกล้าตรวจสอบ

เมื่อพระบางรูปยังใช้ ศรัทธาเป็นเชื้อเพลิงกิเลส และศาสนายอมให้กิเลสซุกอยู่ใต้จีวรโดยไม่แตะต้อง ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะถูกกัดกินทีละน้อย จนไม่เหลืออะไรให้ยึดถือได้อีก

และไม่ต้องมีใครทำลายศาสนา เพราะ ศาสนา…จะพังด้วยมือคนในเอง.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

โทษหนักไปหาเบาตามวินัยสงฆ์ เมื่อ 'พระภิกษุ' ละเมิดศีล

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต รมว.วัฒนธรรม และอดีต สส.พัทลุง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า เมื่อพระภิกษุสงฆ์ละเมิดพระธรรมวินัย พระภิกษุ ไม่ได้ถือศีลครบทั้ง 227 ข้อตลอดเวลาหรอก บางครั้งบางคราว ท่านก็ผิดศีลหรือละเมิดพระวินัยได้เหมือนกัน

'หลวงพ่ออลงกต' จากสมณเพศแห่งธรรม สู่ผ้าเหลืองในตลาดศรัทธา!

สมณเพศ ที่ควรสูงส่งดัง ระฆังศรัทธากลับแตกกังวานเป็นเสียง บัญชีและตัวเลข “หลวงพ่ออลงกต” คือภาพฉายว่าเมื่อ บาตร กลายเป็น ภาชนะรั่วไหล และ ผ้าเหลือง ถูกแขวนขายกลาง ตลาดบุญ สิ่งที่สังคมสูญเสียมิใช่พระรูปเดียวแต่คือรอยร้าวใหม่ที่สั่นคลอนความเชื่อในพุทธศาสนา

ตรวจสองวัดดังร่อนพิบูลย์ พระเสพยาบ้า 7 รูป-วัดพิศาลนฤมิตรเจอเกือบยกวัด!

ฝ่ายปกครองร่อนพิบูลย์บุกตรวจสองวัดใหญ่ พบพระสงฆ์เสพยาบ้ารวม 7 รูป วัดพิศาลนฤมิตรเจอมากถึง 6 รูปในครั้งเดียว ชาวบ้านสะเทือนใจ

บุกจับพระนอกรีต 154 รูป ลั่นจังหวัดไหนผิดเกิน 3 รูป ย้ายสำนักพุทธทันที

เปิดปฏิบัติการใหญ่ทั่วประเทศ กวาดพระสงฆ์มีหมายจับ-ผิดวินัย ลุยเช็กวัด มูลนิธิ ทรัพย์สิน สั่งเข้มถ้ามีผิดซ้ำ ย้ายผู้ดูแลศาสนาออกทันที