สภามีมติ รับหลักการ 3 จาก 5 'ร่าง กม.นิรโทษกรรม' ไฟเขียว ฉบับ 'รทสช.-คพช.-ภท.' แต่ปัดตก ฉบับ 'ปชน.-ภาค ปชช.'
16 ก.ค. 2568 - ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 3 ครั้งที่ 3 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่หนึ่ง ที่มีนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ทำหน้าที่เป็นประธานการประชุม วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมทั้ง 5 ฉบับ ได้แก่ ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ... ซึ่งนายวิชัย สุดสวาสดิ์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ, ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ... ซึ่งนายปรีดา บุญเพลิง กับคณะ เป็นผู้เสนอ, ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. ... ซึ่งนายชัยธวัช ตุลาธน กับคณะ เป็นผู้เสนอ, ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชน พ.ศ. ... ซึ่งนางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 36,723 คน เป็นผู้เสนอ และร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ... ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล กับคณะ เป็นผู้เสนอ
โดยนายยิ่งชีพ อัชฌานนท์ ผู้ชี้แจง กล่าวสรุปว่า สำหรับคนที่ไม่เห็นด้วยกับร่างของภาคประชาชน เราก็ได้ยิน ซึ่งได้ยินคำว่าไม่เห็นด้วย แต่เห็นใจผู้ที่อยู่ในเรือนจำ และครอบครัวไม่เห็นด้วย แต่เข้าใจสาเหตุที่เราต้องมาในวันนี้ ซึ่งถือเป็นบรรยากาศที่ดีตลอดการอภิปรายที่ผ่านมา เราไม่ได้ยิน สส. คนไหนเลย ที่ไม่อยากให้อภัยประชาชน ที่ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกทางการเมือง และไม่เห็น สส. ท่านใด ที่ตั้งข้อรังเกียจแบ่งแยกว่าคดี ม.112 เป็นคดีที่เกินกว่าให้อภัยได้ แต่มีความเห็นต่างบางอย่างซึ่งยอมรับกันได้ว่าคดี ม. 112 มาจากปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมา และควรได้รับการราชการหรือพิจารณาไม่ต่างจากคดีอื่น สำหรับความเห็นต่าง เราเคารพ และขอแสดงเหตุผลว่าทำไมต้องอภัยให้คนในกลุ่ม และไม่ควรทอดทิ้งม.112 จากคดีที่ผ่านมา
นายยิ่งชีพ ยกตัวอย่างคดีนายมงคล หรือ บาสบาส อายุ 20 กว่าปี ที่เดินทางไปร่วมชุมนุม ไม่ใช่แกนนำ ไม่ใช่นักปราศรัย ไม่มีชื่อเสียง ไม่มีใครรู้จัก แต่วันที่มีคนถูกคุมขังในเรือนจำ เขาแสดงออกหน้าศาลด้วยการอดอาหารประท้วง เพื่อเรียกร้องสิทธิการประกันตัว และเจ้าหน้าที่ตำรวจก็จับออกมา และหาโพสต์ในเฟสบุ๊คเพื่อดำเนินคดี รวมทั้งสิ้น 3 คดีจาก 29 โพสต์ ศาลพิพากษาจำคุก 75 ปี ลดเหลือ 54 ปี ซึ่งขณะนี้อยู่ในเรือนจำ และถือสถิติคนที่ถูกลงโทษด้วย ม.112 สูงที่สุดเท่าที่มีมา ตนเองเชื่อว่าคนไทย 99.99% รวมถึงตนเอง และทุกคน ไม่รู้ว่าคนนี้โพสต์อะไร ว่าอะไร การกระทำแบบนี้ที่ไม่มีใครรับรู้เลย จะเป็นความผิดที่กระทบดับความมั่นคง และอภัยไม่ได้ยังไง และยังมีคดีการทำร้ายร่างกาย ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้า หากวันนี้ไม่รับร่าง พ.ร.บ. นิรโทษกรรมประชาชน ก็กำลังจะกำลังนิรโทษกรรมให้กับประชาชน คนที่ทำร้ายร่างกาย แต่จะไม่นิทรรศกรรมให้นายมงคล ที่อาจอยู่ในคุกอีก 80 ปี และไม่ได้ออกมาอีกเลย อันนี้ถือว่าเป็นความเป็นธรรมหรือไม่ เรียกว่าสังคมสันติสุขหรือไม่
คดีต่อมา เป็นเรื่องของณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือ พยาบาลแหวน ซึ่งเป็นพยาบาลอาสาอยู่ร่วมในเหตุการณ์คนเสื้อแดง และเป็นพยานว่าเห็นกระสุนมาจากฝั่งทหาร โดยเมื่อเกิดการรัฐประหาร และใช้อำนาจกฎอัยการศึกเข้าครอบครอง กระบวนการยุติธรรม และใช้ศาลทหารพิจารณาคดีพลเรือน มีคนบุกไปจับกุมถึงที่บ้าน และนำไปขังที่ค่ายทหาร และสอบสวนซึ่งระหว่างนั้น ถูกปิดตาข้ามคืนไม่ได้นอนจนตาบอบช้ำ และถูกทำร้าย ยิ่งไปกว่านั้นในการสอบสวนมีใครก็ไม่รู้มาขอดูหน้าอกล่วงละเมิดทางเพศระหว่างถูกปิดตาอยู่ โดยถูกตั้งข้อหาคดี ม. 112 จากการส่งไลน์ และสุดท้ายหาหลักฐานไม่ได้จนเกิดการยกฟ้อง และยังโดนคดีในข้อหาระเบิด แต่หาหลักฐานไม่ได้ ก็ยกฟ้อง และถูกขังอยู่ในศาลทหารกว่า 3 ปี ซึ่งสุดท้ายก็ไม่มีความผิด ติดคุกฟรี โดยหลังจากออกจากคุก ก็เดินสายเรียกร้องความยุติธรรม ซึ่งทวงถามความเป็นธรรมไม่ได้ เพราะขณะนั้นที่ถูกละเมิดถูกปิดตาอยู่ ไม่รู้หน้า และชื่อ โดยหากวันนี้ลงมติเฉพาะร่างของรัฐบาล เท่ากับว่าจะไม่ช่วยยืนยันว่าสองข้อหาที่เธอโดนนั้น ไม่ใช่เรื่องการเมือง และควรได้รับการอภัย หรือยกเว้นความผิดไม่ใช่ยืนยันว่าติดคุกฟรี แต่กำลังจะเปิดช่องให้มีการนิรโทษกรรมเจ้าหน้าที่ คนที่ทำร้ายเธอ ที่ล่วงละเมิดทางเพศเธอ และร่างยังเปิดช่องให้มีโอกาสที่จะนิโทษกรรมให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร คนอื่นที่หันอาวุธใส่ประชาชน จับกุมใช้กำลังกับประชาชนอีกหลายกรณี
คดีสุดท้ายนายธเนศ (สงวนนามสกุล) ที่ส่งอีเมลหนึ่งฉบับในปี 2553 เนื้อหาในอีเมลขอให้ชาวต่างชาติช่วยคนเสื้อแดงที่กำลังถูกสังหารในระหว่างการสลายการชุมนุม ซึ่งถือเป็นเรื่องของคนสองคนระหว่างผู้ส่งกับผู้รับ โดยหากไม่ได้นำไปบอกที่ไหน ก็ไม่มีใครรู้ แต่อีเมลของผู้รับ ถูกดีเอสไอแฮ็ก จึงถูกตามจับกุมตัวในระหว่างที่ถูกคุมขัง ไม่ได้รับการประกันตัว ถูกส่งพบกับจิตแพทย์ เมื่อฟังเรื่องราวแล้วไม่เชื่อ จึงมีการวินิจฉัยว่าเป็นโรคจิตหวาดระแวง สารเคมีในสมองบางอย่างทำให้เข้าใจความจริงบางอย่างผิดไปจากข้อเท็จจริง แต่อย่างไรก็ตาม ศาลยังลงโทษจำคุก 3 ปี 8 เดือน วันนี้นายธเนศ รับโทษครบ แต่ยังกลับไปใช้ชีวิตโดยปกติสุขไม่ได้เลย
นายยิ่งชีพ กล่าวอีกว่า ตามร่างที่มีการเสนอมาจาก สส. ฝ่ายรัฐบาล กลับพบว่าการนิรโทษกรรมให้กับข้อหากบฏ ข้อหาก่อการร้าย ให้กับคนที่ตั้งใจปิดสนามบิน ตั้งใจทำให้ผู้โดยสารเป็นพัน เป็นหมื่นคน ได้รับความเดือดร้อน ให้ประเทศเสียหาย ตั้งใจนิรโทษกรรมให้กับคนที่ยึด 4 แยกสำคัญ ๆ ของประเทศ ปิดศูนย์ราชการ และทำเนียบรัฐบาล เพื่อทำให้คนในเมืองหลวงใช้ชีวิตปกติสุขไม่ได้ เพื่อนำเสนอข้อเรียกร้องทางการเมืองของตัวเอง ถ้าท่านนิรโทษกรรมให้คนเหล่านี้ แต่ไม่นิรโทษกรรมให้นายธเนศแบบนี้ จะเรียกว่าเป็นความสันติสุขหรือไม่
นายยิ่งชีพ กล่าวว่า ตนเองได้ฟัง สส. หลายท่านว่าต้องช่วยคนทางการเมืองกลุ่มหนึ่งก่อน อย่าเอาคดี ม.112 มาเป็นอุปสรรคให้การนิรโทษกรรมไม่ประสบความสำเร็จ เราต้องช่วยคนอีกจำนวนมาก ตนเองไม่แน่ใจว่าหมายถึงคดีอะไร ซึ่งตนเองถูกดำเนินคดีการฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินกว่า 10 คดี และถูกคดีฝ่าฝืนเจ้าพนักงานอีก 3 คดี หากวันนี้นิรโทษกรรมทุกคน ทุกข้อหาไปพร้อมกัน ท่านจะสร้างสังคมสันติสุข สร้างความปรองดองสามัคคี จริง ๆ ตนเองเพียงได้อานิสงส์ไปด้วย
“ผมไม่ได้มาร้องขอท่าน แต่ถ้าวันนี้ท่านจะลงมติเพื่อให้ ผมเดินกลับบ้านได้คนเดียวในคดีบางคดี และจะให้คนอื่น ๆ เดินเข้าเรือนจำ หรือหลายคนที่อยู่ในเรือนจำไม่มีโอกาสได้ออกมา ผมขอยืนยันว่าผมไม่เอานิรโทษกรรมแบบที่ท่านว่า แบบที่ได้บางคน แบบที่ไม่ได้บางคน แล้วขอร้องว่า ท่านไม่ต้องอ้างอิง เพราะเราตัดสินแทนคนที่ถูกดำเนินคดีไม่ได้ บางท่านอาจจะรับ แต่ก็มีหลายท่านที่ไม่รับ ดังนั้น ผมพร้อมที่จะเดินไปศาล พร้อมที่จะไปต่อสู้คดี และพร้อมที่จะเผชิญความเสี่ยงที่จะได้รับโทษจากศาลจากการพิจารณา เพราะผมพร้อมรับผิดชอบในสิ่งที่เราประชุมจริง ๆ แต่ถ้าวันนี้ท่านสมาชิกสภาที่ทรงเกียรติมีเพื่อนฝูงอยู่ข้างหลังท่าน ที่วิงวอนให้ท่านออกกฏหมายช่วยพวกเขา แล้วบอกว่าให้ช่วยทิ้งคนบางกลุ่มไปก่อน แล้วช่วยเฉพาะคนบางกลุ่มก่อน คนกลุ่มนั้นนั่นแหละ คือคนที่ฝ่าฝืนกฎหมาย และไม่กล้ายอมรับจริง ๆ คือตัวจริงเสียงจริงของคนที่ตอนชุมนุมทำก็ทำไปแล้วไม่กล้าเผชิญกับผลที่ตามมา แล้วยังใช้อภิสิทธิ์ด้วยความที่รู้จัก และสนิทกับท่าน สส. จึงมาขอออกกฏหมายนิรโทษกรรมให้พวกตัวเอง“ นายยิ่งชีพ กล่าว
นายยิ่งชีพ กล่าวอีกว่า วันนี้ถ้าท่านบอกว่าเรากำลังต้องการเห็นความสามัคคีปรองดองในประเทศชาติ โดยจะเอากฎหมายเพื่อให้คนบางกลุ่มพ้นผิดได้ทุกข้อหา ไม่ว่าจะร้ายแรง หรือมีโทษเท่าไหร่ ขณะที่ท่านจะคุมขังตีตราคนอีกกลุ่มหนึ่งไปตลอด ตนเองเห็นว่าเป็นการเดินไปผิดทาง ไม่ใช่การสร้างสังคมสันติสุข และเป็นการออกกฏหมายโดยเลือกปฏิบัติต่อคนบางกลุ่มอย่างชัดเจน ซึ่งข้อเสนอแบบนี้ตนเองคิดว่าเป็นข้อเสนอการนิรโทษกรรมที่แย่กว่าการที่หลายท่านเคยคัดค้านเมื่อปี 2556 อีก
นายยิ่งชีพ ระบุว่า สส. หลายท่านที่บอกว่ามีประชาชนหลายท่านไม่เห็นด้วยกับการนิรโทษกรรม ม. 112 ซึ่งตรงนี้เรายอมรับว่ามีประชาชนที่เห็นเช่นนั้นจริง ๆ และเราต้องเคารพความเห็นของทุกท่าน แต่ตนเองก็ยืนยันว่าในประวัติศาสตร์การนิรโทษกรรมของไทยทั้ง 23 ครั้ง ทุกครั้งก็มีความเห็นที่แตกต่าง ทุกคนไม่ได้เห็นพ้องตรงกัน แต่เมื่อผู้มีอำนาจสูงสุดในประเทศ มีเจตจำนงมากพอ ที่จะออกกฏหมาย มันก็จะเดินไปได้ ถ้าเชื่อว่าท่านมีอำนาจสูงสุดในประเทศจริง หากเชื่อว่าอำนาจในการออกกฏหมายอยู่ในมือของท่านจริง เพียงท่านโหวตมา มันเดินไปได้ และหากมีความเห็นต่าง มีคนที่ยังไม่เข้าใจอยู่บ้าง มีคนไม่เห็นด้วยอยู่บ้าง เราก็มีชุดคำอธิบายข้อมูลข้อเท็จจริงที่ได้รับการสื่อสาร พวกเขาสามารถเห็นใจคนที่อยู่ในเรือนจำ และรู้สึกเข้าใจกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่ เช่นเดียวกับสมาชิกหลายท่านในที่นี้
“หากวันนี้ยังมีใครก็ตามที่ตัดสินไปก่อนแล้วว่าคดีมาตรา 112 เป็นคดีที่น่ารังเกียจจนไม่แตะต้อง หรือไปทำอะไรได้ วันนี้พวกเราทั้งหมด จึงอยู่ตรงนี้ เพื่อมาบอกท่าน และยืนยันว่าคดีมาตรา 112 มีมติ มีชีวิตจริง มีชีวิตจริงมากกว่าที่ท่านเคยทราบมา มีชีวิต และมีเลือดเนื้อของผู้คนอยู่ในนั้น เรามาขอวิงวอนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่า ในการพิจารณาคดีการนิรโทษกรรม คดีที่มีมูลเหตุจูงใจจากความขัดแย้งทางการเมือง ขอให้ท่านอย่าได้ปิดประตู อย่าได้ปิดประตูตาย อย่าได้ทอดทิ้ง เหยียบย่ำ คนอีกหลายร้อยชีวิต เสมือนกับว่าพวกเขาไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย หรือไม่ได้เจ็บช้ำ และรู้สึกสูญเสียเลยกับช่วงเหตุการณ์ในเวลาที่ผ่านมา เรามาขอให้ท่านช่วยลงมติรับร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมฉบับประชาชน เพื่อเป็นการเคารพต่อประวัติศาสตร์ และเป็นการแสดงความเคารพต่อสามัญสำนึกในใจของท่านเอง” นายยิ่งชีพ กล่าวทิ้งท้าย
นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย กล่าวอภริปรายสรุป การยื่นร่าง พระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. .... ที่นายอนุทินชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และสมาชิกที่เป็นผู้เสนอ ว่า เราได้ใช้เฉพาะแห่งนี้เป็นพื้นที่ สำหรับการพูดคุยแลกเปลี่ยน เพื่อมุ่งหน้าไปสู่การสร้างความสมานฉัน สร้างความปรองดองให้เกิดขึ้น ขอบคุณผู้ที่มาชี้แจง ไม่ว่าจะเป็นนายยิ่งชีพ อัชชานนท์ และภาคประชาชน ที่ได้มีการอภิปราย ความพยายามของพวกท่านและพี่น้องประชาชน 36,723 คน วันนี้ไม่ได้สูญเปล่า สิ่งที่ได้นำเสนอต่อจะพาผู้แทนราษฎรตนใดคิดว่า ถ้ามองย้อนกลับไปตัวเองก็แทบจะจำไม่ได้ว่า ครั้งสุดท้ายที่เราได้ใช้สภาผู้แทนราษฎร พูดคุยเรื่องของการนิรโทษกรรมนั้น น่าจะเป็นตั้งแต่ปี 2556 ในสมัยของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี 10 กว่าปีที่เราไม่ได้หยิบยกขึ้นมาในสภาผู้แทนราษฎร จึงอยากฝากไปถึงทุกคนว่า ถูกพรรคการเมือง ทุกภาคส่วนเราเห็นตรงกันในเรื่องของการนิรโทษกรรม เราอยากพาประเทศเดินหน้าและเดินไปสู่การสร้างสังคมที่เต็มไปด้วยความสมัครสมานสามัคคี เป็นสังคมแห่งความปรองดองเป็นสังคมแห่งความสันติสุขอย่างแท้จริง เราไม่ได้ถกเถียงกันว่าวันนี้เราจะมานิรโทษกรรมหรือไม่ ถ้าหากเป็นรายปีก่อนจนคิดว่าประเด็นหลักที่จะต้องถกเถียงว่าจะนิรโทษกรรมหรือไม่ วันนี้จะเห็นว่าสังคม และสภาแห่งนี้เราก็ก้าวหน้าขึ้นมา เป็นการพูดคุยว่าถ้าจะนิรโทษกรรมนั้น เราจะนิรโทษกรรมกันแบบไหน พี่จะทำให้สังคมและประเทศไทยของเราเดินต่อไปข้างหน้าได้ เป้าหมายปลายทางเราไม่ได้ต่างกัน พรรคภูมิใจไทย ที่ร่วมกันลงชื่อเสนอกฎหมายฉบับนี้ก็เห็นเหมือนกันอย่างที่ภาคประชาชนอยากจะเห็น ที่แตกต่างกันคือวิธีการที่จะเดินไปสู่เป้าหมายต่างหาก
ตั้งแต่ปี 2556 ที่เป็นสส.สมัยแรก ความพยายามที่จะผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมที่ผ่านสภาผู้แทนราษฎรไป ตนเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ได้ลงมติให้ผ่านกฎหมาย นิรโทษกรรมสุดซอย ที่บอกว่าลงมติกันตี 3 ตี 4 ตอนนั้นก็อยู่ใน เหตุการณ์ ลงมติแล้วก็ออกจากสภาไม่ได้เกิดความวุ่นวายของประชาชนที่ไม่ได้เห็นด้วยกับการใช้อำนาจในขณะนั้น ที่ออกมาเต็มท้องถนนไปหมดนำไปสู่ความวุ่นวาย การเปลี่ยนแปลง นำไปสู่การยึดอำนาจ และนำไปสู่การรัฐประหารในที่สุด ถ้าเราจะมองย้อนไปเมื่อ 10 ปีก่อน เรียนรู้บทเรียนของพวกเรา สิ่งที่พวกเราได้ทำผิดพลาดไปในอดีต เพื่อที่จะนำมาเป็นบทเรียนในปัจจุบัน ตนก็คิดว่ามันจะเป็นประโยชน์ครั้งนี้พรรคภูมิใจไทย กงล้อประวัติศาสตร์ทางการเมืองมันหมุนวนกลับไปสู่จุดเดิม เราจึงพยายามที่จะหาทางออกและสร้างสังคมสันติสุข ว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้เราพอที่จะขยับไปข้างหน้าได้บ้าง โดยที่ไม่สุดโต่งจนเกินไป ไม่กระทบกับคนส่วนใหญ่ในสังคมจนทำให้เขารู้สึกว่า เราไม่ได้ให้ความเป็นธรรมกับพวกเขาเหล่านั้น วันนี้พรรคภูมิใจไทยจึงเสนอใน 4 เรื่องหลักจะไม่รวมอยู่ในกฎหมายนิรโทษกรรม หรือกฎหมายพระราชบัญญัติเสริมสร้างสังคมสันติสุข
ประเด็นแรกคือเรื่องของ เราจะไม่รวมถึงการกระทำผิดผ่านทุจริต หรือประพฤติมิชอบ 2. ไม่รวมถึงกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และ3.การกระทำผิดที่ทำให้ผู้อื่นเสียหายแก่ความตาย หรือการกระทำผิดต่อส่วนตัวหรือการกระทำผิดที่ต้องรับผิดชอบต่อบุคคลใดที่ไม่ใช่หน่วยงานของรัฐ สิ่งต่างๆเหล่านี้ ตนเชื่อถ้าหากว่าเราแยกออกไปก่อน เราจะลดความขัดแย้ง ลดเหตุที่จะนำไปสู่การเผชิญหน้า ซึ่งจะวนกลับไปสู่รอยเดิมเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วได้ พรรคภูมิใจไทนจึงคิดว่าถ้าหากเราจะก้าวเดินไปข้างหน้า สักครึ่งก้าว หรือ จะเดินไปสักก้าวหนึ่ง ก็ยังดีกว่ายืนอยู่ที่เดิม แต่การที่จะเดินหน้าไปสู่ข้างหน้าได้เราต้องมั่นใจ ว่าก้าวที่เราจะเดินออกไป กุญแจหรือกฎหมายที่เรากำลังอนุมัติผ่านสภาจะเป็นกุญแจที่เปิดประตูบานที่นำไปสู่สังคมแห่งสันติสุข สังคมแห่งความปรองดองของประเทศไทยได้อย่างแท้จริง ไม่ใช่เป็นกุญแจที่จะไปเปิดประตู แล้วนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ที่จะเกิดขึ้นสังคมไทยในอนาคตอันใกล้
ส่วนผู้ที่กระทำผิดต่อมาตรา 112 หลายกรณีที่มีการหยิบยกขึ้นมานั้น ถ้าจะพูดจากใจจริงตนไม่ปฏิเสธ ว่าเห็นใจ เรื่องแบบนี้ถ้าหากว่าเราเลือกได้ในบางกรณี ไม่ควรที่จะเกิดขึ้น และเราก็ต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า ในกลุ่มของคนที่ถูกลงโทษตามมาตรา 112 นั้น ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย และมีจำนวนอยู่ไม่น้อยเหมือนกันที่ทำผิดแล้วทำแล้วทำอีก จึงต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย ซึ่งตนคิดว่าในประเด็นนี้ ผู้ที่มาชี้แจงเองคงไม่เห็นต่างจากตน ดังนั้นถ้าหากว่าเรายังมีความคิดเห็นแตกต่างกันอยู่แบบนี้แม้กระทั่งในสภาของพวกเราเอง 500 กว่าคนเรายังมีความเห็นที่แตกต่างกัน แล้วออกไปในสังคมภายนอก เราจะได้ไม่มีความแตกต่างจนนำไปสู่ความขัดแย้งการเผชิญหน้า และความไม่สุขสงบของสังคมไทยต่อไปในอนาคตหรือไม่ ทางพรรคภูมิใจไทยก็มองเห็นว่า สำหรับผู้ที่ได้รับผลกระทบ และทำผิดถูกลงโทษอยู่ในบางกรณีนั้น ก็มีช่องทางอื่น เช่นถ้าสำนึกผิดก็ไปขอพระราชทานอภัยโทษ ก็ไปขอพระราชทานอภัยโทษ ซึ่งที่ผ่านมานั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ ตนเห็นมีหลายกรณีไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองผู้ที่ออกมา ร่วมชุมนุมไม่ว่าจะเป็นนักคิดนักวิชาการ ลงโทษไปแล้วขอพระราชทานอภัยโทษ ตนเองก็เห็นทางสถาบันพระมหากษัตริย์ก็พระราชทานอภัยโทษลงมา การกระทำแบบไม่ต่างหาก ที่จะทำให้คนอีกส่วนหนึ่งในสังคมเห็นว่า เมื่อมีคนที่ถูกกระทำผิดตามกฎหมาย ได้รับโทษตามกฎหมายแล้ว ได้รับความยุติธรรมแล้ว ออกมาสู่สังคมเราจึงจะอยู่กันได้ บนความยุติธรรมบนสังคม ที่เป็นสุขอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ขอย้ำจุดยืนของพรรคภูมิใจไทย 4 ประเด็น ว่าไม่ได้เห็น ไม่ได้รังเกียจคนที่กระทำผิดกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ใช่ สิ่งที่พวกเรากังวลก็คือ เรานิรโทษกรรมแบบเหมารวมทุกเคส สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือความไม่สงบสุขรอบใหม่ของสังคม และอีกไม่กี่ปีข้างหน้าสภาแห่งนี้ ก็ต้องมาขอนิรโทษกรรมกันอยู่แบบนี้ไม่จบไม่สิ้นไป ท้ายที่สุดตนอยากจะบอกว่า เราเห็นด้วยและจะรับหลักการ ในกฎหมายในพรบ.ที่เสนอ สิ่งใดที่ไม่ขัดกับหลักการ ขัดกับเหตุผลที่ตนได้นำเสนอ พรรคภูมิใจไทยยินดีที่จะสนับสนุน แต่เราก็ต้องขออภัยไม่อาจที่จะสนับสนุนได้ ในร่างที่อาจจะขัดกับหลักการและเหตุผลอาจจะนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ในสังคมไทย จะทำให้นิรโทษกรรมเจตนาดีของสภาสูญเปล่าไป ต่อไปในอนาคต สิ่งที่พวกเราอยากจะเห็น คืออยากจะเห็นการนิรโทษกรรมที่เป็นจุดเริ่มต้นของการก้าวไปสู่การยุติความขัดแย้งเดิม ไม่ใช่ไปสร้างความขัดแย้งใหม่ เราไม่อาจจะเยียวยาหรือรักษาบาดแผลเก่า ด้วยการสร้างบาดแผลใหม่ขึ้นมาได้
นางสาวศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ สส.กทม. พรรคประชาชน อภิปรายสรุปในร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยอ่านจดหมายฉบับหนึ่งจากนายอานนท์ นำภา ผู้ต้องขังคดีการเมืองที่ฝากมาถึงผู้แทนราษฎร หวังให้ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองจำนวนหนึ่งลุกขึ้นเป็นเสาหลักเปิดเวทีให้เกิดการพูดคุยอย่างมีวุฒิภาวะ แสวงหาหนทางในการปลดปล่อยพวกเราจากพันธะทางกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม
นางสาวศศินันท์ เราจะส่งเสริมสันติสุขเสริมสร้างสันติสุขและสลายขั้วจากความขัดแย้งโดยทิ้งคนอีกกลุ่มหนึ่งไว้อย่างไร ตนเองฟังเพื่อนสมาชิกอภิปรายตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้วจนมาวันนี้ ตนเองได้รับมอบหมายให้ไปพูดคุยกับ สส.ต่างพรรค เพื่อทำความเข้าใจ อธิบายร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกล และภาคประชาชน รวมถึงขอความเห็นใจให้โหวตรับทุกร่าง อย่างน้อยให้มีโอกาสเข้าไปถกเถียงกันในชั้นกรรมาธิการ
พรรคประชาชนใช้พลังมหาศาลในการแบกความหวัง ความเชื่อ ความจริงใจเพื่อเข้าไปพูดคุย แม้จะมีความเป็นไปได้เพียง 1% ก็ยินดีที่จะทำ ตนเองได้รับข้อความจาก สส.หลายคนที่บอกว่าเห็นใจ เข้าใจ และทำไม่ได้หรอกเรื่องมาตรา 112 กลัวจะถูกยุบพรรค บางคนบอกว่าการแก้กฎหมายยังมีปัญหาเลย บอกให้ตนเองขึ้นไปพูดคุยกับข้างบน ปัจจุบันยังไม่ทราบว่า “ข้างบน” ที่ท่านพูดถึงคือใคร บางคนพูดด้วยความขี้ขลาดด้วยการสื่อสารว่า “คนของพวกพี่ ไม่มีใครอยู่ในคุกแล้ว ผ่านหรือไม่ผ่าน พวกพี่ก็ไม่เดือดร้อนอะไร”
เกือบ 2 ปีมานี้มีผู้ต้องขังทางการเมืองยังอยู่ในเรือนจำ หลายคนระหกระเหินออกไปไกล ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา พรากเอาทุกสิ่งทุกอย่างไปจากพวกเขา “พวกเขา” ไม่ได้หมายความถึงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่หมายถึงประชาชนทุกกลุ่ม หลายพรรคก็ต้องแบกความหวังของคนไว้เหมือนกัน เรากำลังถกเถียงอยู่ในห้องแอร์ว่าควรจะนิรโทษกรรมให้คนกลุ่มนั้นก่อน กลุ่มนี้ก่อน คดีนั้นยังไม่พร้อม คดีนี้ยังไม่ดี เราไม่ได้คำนึงเลยว่า กลุ่มไหนสีไหน คดีอะไร ทุกคนต่างเป็นประชาชน
เราถกเถียงกันว่าควรเปิดโอกาสให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารประเทศ แล้วผู้ที่ถูกคดี 112 ไม่มีความรู้ความสามารถหรือ หลายคนมีโอกาสได้ไปต่างประเทศ ได้ทุนการศึกษา แต่ออกนอกประเทศไม่ได้ ทุกพรรคเห็นเหมือนกันว่าต้องให้โอกาสคนดีกลับเข้ามา แล้วคนอื่นที่ท่านทิ้งไว้ เขาไม่ควรได้รับโอกาสหรือ ท่านบอกว่าประชาชนกลุ่มหนึ่งจงใจละเมิดกฎหมาย หากใช้ตรรกะนี้คนอีกกลุ่มที่ท่านจะนิรโทษให้เขาไม่ได้จงใจละเมิดกฎหมายหรือ พวกท่านรู้ดีว่าแต่ละคนมาด้วยวัตถุประสงค์อะไร ทุกคนหวังดีกับประเทศไม่ต่างกัน
นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย บอกว่าความเห็นยังแตกต่างกันอยู่ รอให้สังคม เห็นตรงกันก่อนค่อยผ่านกฎหมาย ขอยืนยันว่ากฎหมายหลายฉบับที่เราผ่านกัน ไม่ใช่ว่าทุกคนเห็นตรงกัน อยู่ที่ว่าเรามีความกล้าหาญเพียงพอหรือไม่ ยิ่งมีความไม่เป็นธรรมมากมายเท่าไร ในสภาฯ ถกเถียงมากขนาดไหน ในศาลมีกระบวนการพิจารณาคดีที่ไม่เป็นธรรมยิ่งเป็นคดีการเมือง หลายคนบอกว่าคดีมาตรา 112 เป็นคดีอาญาแล้วคดีที่อภัยโทษให้แต่ละครั้ง แต่ละคดีไม่ใช่คดีอาญาตรงไหน
เราจะส่งเสริมสันติสุข สลายขั้วออกจากความขัดแย้งโดยทิ้งคนอีกกลุ่มไว้อย่างไร ตนเองคิดไม่ออก แม้จะมีความหวังอยู่น้อยนิด การไปคุยกับพวกท่านก็รู้ว่าลึก ๆ ในใจว่ามีธงอยู่ แต่ยังเชื่อเหลือเกินว่าวันนี้ร่างกฎหมายของพรรคก้าวไกลและภาคประชาชนจะได้ผ่านเข้าไปเหมือนกับร่างอื่น ลำพังเสียงของพรรคประชาชนและพรรคเพื่อไทยที่เคยร่วมต่อสู้กันมา เราผ่านได้ทุกร่าง
“บางคนบอกว่าดิฉันโง่ ซื่อ บ้าหรือเปล่า ไปเจรจาเป็นไปไม่ได้ ทนายแจมโลกสวย แต่ดิฉันมีความเชื่อว่าลึก ๆ ในใจ รู้ว่าปัญหาคืออะไร 112 ไม่พูดสักวันหนึ่งก็ต้องพูดอยู่ดี เราหนีความจริงเรื่องนี้ไม่ได้”
นางสาวศศินันท์ ยืนยันว่าร่างของพรรคก้าวไกลไม่มีมาตรา 112 อยู่ในนี้ หลายพรรคมองว่าร่างของเราประนีประนอมมากที่สุด เป็นไปได้มากที่สุด บางพรรคชื่นชมว่าเป็นร่างที่ดีที่สุด ครอบคลุมที่สุด ร่างของพรรคก้าวไกลไม่มีตรงไหนที่ขัดกับหลักการกับร่างอื่น
“ถ้าท่านยังมีความกังวล ฝ่ายความมั่นคงมีความกังวลถึงเรื่องต่างๆก็ตาม ดิฉันเข้าใจดีการที่จะกดรับร่างของดิฉัน การที่จะกดรับร่างของภาคประชาชนมันทำได้ยาก มันตะขิดตะขวงใจมันลำบากใจ มันกลัว มันกังวล มันอะไรก็ตาม อย่างน้อยที่สุด ท่านงดออกเสียงได้ ท่านงดออกเสียงให้เราได้หรือไม่ ถ้าท่านยังเห็นว่าท่านยังต้องการจะเสริมสร้างสันติสุขตามที่ทางท่านเขียนไว้คล้าย ๆ กัน แค่งดออกเสียงก็เพียงพอที่จะให้ทุกร่างได้เข้าไปถกกันในชั้นกรรมาธิการ ซึ่งหากว่าในหลักการแล้ว ดิฉันมีความเชื่อว่าทุกคนควรจะมีโอกาสได้รับการนิรโทษกรรมโดยไม่แบ่งแยก และนี่เป็นเพียงแค่วาระแรก ขอดึงสติทุกท่าน ว่านี่เป็นแค่วาระหนึ่ง ท่านจะปิดประตูความหวังของประชาชนตั้งแต่วาระหนึ่ง ดิฉันคิดว่าหลายท่านในที่นี้คงจะไม่ใจร้ายถึงขนาดนั้น ขอเรียกร้องความกล้าหาญทางการเมือง ถ้าพวกท่านเห็นใจเข้าใจประชาชน ก็ขอเปลี่ยนความเห็นใจนั้น เป็นกดงดออกเสียงให้กับร่างของพรรคก้าวไกลและร่างของพรรคประชาชนก็ยังดี” นางสาวศศินันท์ กล่าวอย่างมีอารมณ์
จากนั้น เวลา 11.53 น. เข้าสู่การลงมติวาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมทั้ง 5 ฉบับ โดยนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่หนึ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานในขณะนั้น ได้แจ้งต่อที่ประชุมว่า เนื่องจากร่างพระราชบัญญัติทั้ง 5 ฉบับ แม้จะมีหลักการทำนองเดียวกัน แต่เนื้อหาของแต่ละร่างมีบทบัญญัติบางประการแตกต่างกัน ซึ่งสมาชิกที่ได้อภิปรายมีทั้งการสนับสนุนและคัดค้าน ดังนั้น จึงแยกลงมติร่างพระราชบัญญัติในวาระที่ 1 ขั้นรับหลักการแต่ละฉบับ
ผลปรากฎว่า 1.ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ... ซึ่งนายวิชัย สุดสวาสดิ์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ จากจำนวนสมาชิก 472 เสียง เห็นด้วย 299 เสียง ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 172 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง เป็นอันว่า ที่ประชุมมีมติรับหลักการ
2.ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ... ซึ่งนายปรีดา บุญเพลิง กับคณะ เป็นผู้เสนอ จากจำนวนสมาชิก 470 เสียง เห็นด้วย เสียง 311 ไม่เห็นด้วย 0 เสียง งดออกเสียง 158 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง เป็นอันว่า ที่ประชุมมีมติรับหลักการ
3.ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. ... ซึ่งนายชัยธวัช ตุลาธน กับคณะ เป็นผู้เสนอ จากจำนวนสมาชิก 473 เสียง เห็นด้วย 147 เสียง ไม่เห็นด้วย 319 เสียง งดออกเสียง 6 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 1 เสียง เป็นอันว่า ที่ประชุมมีมติไม่รับหลักการ
4.ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชน พ.ศ. ... ซึ่งนางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 36,723 คน เป็นผู้เสนอ จากจำนวนสมาชิก 475 เสียง เห็นด้วย 149 เสียง ไม่เห็นด้วย 306 เสียง งดออกเสียง 20 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 0 เสียง เป็นอันว่า ที่ประชุมมีมติไม่รับหลักการ
และ 5.ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ... ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกุล กับคณะ เป็นผู้เสนอ จากจำนวนสมาชิก 461 เสียง เห็นด้วย 311 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง งดออกเสียง 147 เสียง และไม่ลงคะแนนเสียง 0 เสียง เป็นอันว่า ที่ประชุมมีมติรับหลักการ
ฉะนั้น ที่ประชุมมีมติรับหลักการ ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ... ซึ่งนายวิชัย สุดสวาสดิ์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ, ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ... ซึ่งนายปรีดา บุญเพลิง กับคณะ เป็นผู้เสนอ และ ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ... ซึ่งนายอนุทิน ชาญวีรกุล กับคณะ เป็นผู้เสนอ
และมีมติไม่รับหลักการ ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่บุคคลซึ่งได้กระทำความผิดอันเนื่องมาจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง พ.ศ. ... ซึ่งนายชัยธวัช ตุลาธน กับคณะ เป็นผู้เสนอ และ ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมประชาชน พ.ศ. ... ซึ่งนางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ กับประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง จำนวน 36,723 คน เป็นผู้เสนอ
โดยได้มีการตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญจำนวน 32 คน แบ่งเป็น สัดส่วนคณะรัฐมนตรี 8 คน ได้แก่ พ.ต.ต.สุริยา สิงหกมล, นายสรพงค์ ศรียานงค์, นายเผ่าพันธ์ ชอบน้ำตาล, นางพิมพ์ประภา วัชรจิตต์กุล, นายวีรพัฒน์ ปริยวงศ์, นายไพรัช แก้วประดิษฐ์, นายจักรพงษ์ บัวขันธ์ และ ทพญ.ศรีญาดา ปาลิมาพันธ์
ขณะที่สัดส่วนแต่ละพรรคการเมือง ดังนี้ พรรคประชาชน 7 คน ได้แก่ นางสาวศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์, นางสาวพุธิตา ชัยอนันต์, นางสาวพนิดา มงคลสวัสดิ์, นายชัยธวัช ตุลาธน, หม่อมหลวงศุภกิจ เจริญโรจน์, รองศาสตราจารย์โคธม อารียา และนายรังสิมันต์ โรม
พรรคเพื่อไทย 7 คน ได้แก่ นายก่อแก้ว พิกุลทอง, รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์, รศ.ยุทธพร อิสรชัย,รศ.ดร.เวียงรัฐ เนติโพธิ์, นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ,นายเอกชัย ไชยนุวัฒน์ และ นายชูวัส ฤกษ์ศิริสุข
พรรคภูมิใจไทย 3 คน ได้แก่ นายซาการียา สะอิ, นายมูหะมัด เซาฟีดาโอ๊ะ, นายฟุรกอน ฆอรอลาแมม
พรรครวมไทยสร้างชาติ 2 คน ได้แก่ นายวิชัย สุดสวาสดิ์ และนายเจือ ราชสีห์ พรรคกล้าธรรม 1 คน ได้แก่ นายปรีดา บุญเพลิง พรรคพลังประชารัฐ 1 คน นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ พรรคประชาธิปัตย์ 1 คน ได้แก่ ว่าที่ร้อยโทยุทธการ รัตนมาศ พรรคชาติไทยพัฒนา 1 คน ได้แก่ นายนิกร จำนง พรรคประชาชาติ 1 คน ได้แก่ นายวรวิทย์ บารู
อย่างไรก็ดี นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งถูกเสนอชื่อให้เป็น กรรมาธิการได้ขอถอนรายชื่อออก เนื่องจากขาดคุณสมบัติ และเสนอนายเกชา ศักดิ์สมบูรณ์ เป็นแทน
ทั้งนี้ ที่ประชุมมีมติให้ ร่างพระราชบัญญัติสร้างเสริมสังคมสันติสุข พ.ศ. ... ซึ่งนายวิชัย สุดสวาสดิ์ กับคณะ เป็นผู้เสนอ เป็นร่างหลักในการพิจารณา และมีการกำหนดเวลาแปรญัตติภายใน 15 วัน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ใครกล้าทำ นายกฯ โวทำงาน2เดือนปราบสแกมเมอร์ ยึดเงินหมื่นล้าน คนบอกไม่ดำเนินคดีไม่รู้เรื่อง
นายกฯ ย้ำ รัฐบาลทำงาน2เดือนจริงจังปราบสแกมเมอร์ ยึดเงินหมื่นล้าน - เปิดชื่อเครือข่าย ถามมีใครกล้าทําหรือไม่ ตอกคนบอกไม่ดำเนินคดีคือ ไม่รู้เรื่อง
'วิโรจน์' ขีดเส้น 2 สัปดาห์ต้องยึดอายัดทรัพย์เครือข่ายคนไทยที่ร่วมขบวนการ 'เบนสมิธ' เพิ่มเติม
'วิโรจน์' ลั่น เส้นทางการเงินการลากคอคนไทยตัวใหญ่มาลงโทษสำคัญกว่าภาพถ่าย'เบนสมิธ' กับบุคลสำคัญ ร่วมกับ 'อนุทิน' ขีดเส้น 2 สัปดาห์ต้องยึดอายัดทรัพย์เครือข่ายคนไทยที่ร่วมขบวนการได้เพิ่มเติมอีก
ไม่พลาด! 'ศรีสุวรรณ' ร้อง ป.ป.ช.สอบนักการเมือง-นักธุรกิจถ่ายภาพร่วม 'เบน สมิธ'
'ศรีสุวรรณ' ร้อง ป.ป.ช.สอบนักการเมือง-นักธุรกิจถ่ายภาพร่วมกับเบน สมิธ เข้าข่ายผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรงหรือไม่
'ภราดร' ท้า 'รัฐบาล' ถ้าบริสุทธิ์ใจทำไมไม่มีหมายจับ 'เบน สมิธ–ยิม เลียก'
'เสธ.แมว' ท้า 'รัฐบาล' ถ้าบริสุทธิ์ใจตอบให้ได้ ทำไมยังไม่มีหมายจับ 'เบน สมิธ–ยิม เลียก' มองเงินอายัดพุ่ง 26,000 ล้าน แต่ ก.ล.ต.กลับนิ่ง เผยบางคนในเครือข่ายสแกมเมอร์เริ่มหมอบ เตรียมแยกตัวเป็นพยาน
ประชุม คกก.ถอดบทเรียนอุทกภัยนัดแรกเล็งลอกการบ้านแดนปลาดิบ
'บวรศักดิ์' ประชุม คกก.ถอดบทเรียนอุทกภัยนัดแรก ชี้ประเทศมี กม.แก้ภัยพิบัติเพียบ แต่เกิดเหตุฉับพลันอำนาจสั่งการไม่ได้ เตรียมถอดบทเรียนแบบญี่ปุ่น ก่อน 'นายกฯ อนุทิน' นั่งหัวโต๊ะนำประชุมต่อ
สว.ป้อง 'อนุทิน-เอกนิติ' ร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' บอกอาจไม่รู้เบื้องลึกมาก่อน!
'พล.อ.สวัสดิ์' มอง 'อนุทิน-เอกนิติ' ร่วมเฟรม 'เบน สมิธ' อาจไม่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังมาก่อน ว่ามีปัญหาอะไรหรือไม่ ต้องให้ความเป็นธรรม เชื่อรัฐบาลชัดเจนหากพบเชื่อมโยงสแกมเมอร์จัดการตามกฏหมายอยู่แล้ว


