สุ้มเสียงในไวน์แดง กับความพ่ายแพ้ของชายผู้ปีนขึ้นจากร่มเงานายพล!

ไม่มีสุ้มเสียงใดในงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาลจะดังเท่ากับความเงียบของ พีระพันธุ์ ที่นั่งอยู่ใต้คำขวัญ “ปกป้องอธิปไตย” เคียงข้างทักษิณ ในงานที่อาจดูเหมือนเวทีแห่งสามัคคี แต่นั่นคือช่วงเวลาที่อดีตทั้งหมดถูกวางลง เพื่อแลกกับความนิ่งข้างอำนาจที่เขาเคยต่อต้านไม่มีภาพไหนสั่นคลอน ความทรงจำทางการเมือง ได้เท่ากับภาพของ พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค นั่งสงบอยู่ในงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยของทักษิณ ชินวัตรเป็นเจ้าภาพ ท่ามกลางฉากหลังที่เขียนไว้ว่า “ปกป้องอธิปไตย” และ “แก้วไวน์แดง” ที่ถูกยกขึ้นภายใต้รอยยิ้มที่ไม่มีคำอธิบาย

ภายใต้ฉากหลังโอ่อ่าที่เขียนไว้ว่า “สามัคคีประเทศไทย ปกป้องอธิปไตย แก้ปัญหาเพื่อประชาชน” งานเลี้ยงของพรรคร่วมรัฐบาลซึ่งพรรคเพื่อไทยเป็นเจ้าภาพ กลับกลายเป็น การเปิดหน้าทางอำนาจที่พูดโดยไม่ต้องใช้คำพูด

แขกมากมายอาจเป็นเพียงผู้แทนในทางเทคนิค แต่บางคนคือผู้แทนในทางอำนาจที่ไม่ได้ปรากฏในตำแหน่ง ทักษิณ ชินวัตร คือหนึ่งในนั้น

อดีตนายกรัฐมนตรีผู้กำลังอยู่ในกระบวนการคดีทั้ง มาตรา 112 และ การบังคับโทษ ซึ่งศาลฎีกากำลังไต่สวน ไม่ได้เดินเข้าสู่ห้องจัดเลี้ยงในฐานะอดีตผู้นำที่ถูกลืม แต่กลับได้รับการวางตำแหน่งให้เป็น ศูนย์กลางอย่างเต็มตัว

หากมองจากมุมของพรรคเพื่อไทยย่อมเข้าใจได้ว่าไม่มีเหตุผลใดจะกีดกันเขาออกจากกลางโต๊ะ แต่เมื่อมองจากมุมของผู้เข้าร่วม โดยเฉพาะผู้ที่เคยยืนตรงข้ามกับบุคคลนี้มาตลอด การนั่งร่วมวงจึงไม่ใช่เพียงการจับมือ แต่คือ การรับรอง

พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เข้าร่วมในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ พรรคที่เคยถูกมองว่าแบกรับเสียงจากประชาชนที่ไม่ยอมรับทักษิณ และอิงอำนาจจากบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์กับระบบของทักษิณอย่างชัดเจน

การที่ชายผู้นี้ปรากฏตัวในงานเลี้ยงดังกล่าว ไม่ผิดในเชิงสถานะ แต่ผิดในเชิงจุดยืน โดยเฉพาะเมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นคือ การแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ ท่ามกลางบริบทของความขัดแย้งระหว่างไทย–กัมพูชา ที่มีต้นตอจากความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างตระกูลชินกับตระกูลฮุน

คลิปเสียงของแพทองธาร ชินวัตร ที่เปิดเผยบทสนทนากับฮุน เซน สะท้อนให้เห็นความอ่อนข้อลดชั้นของผู้นำไทยต่ออดีตผู้นำกัมพูชาอย่างชัดเจน ท่าที “อังเคิลอยากได้อะไร เดี๋ยวจัดให้” ไม่เพียงไร้ระยะห่างทางการทูต แต่ยังลดทอนศักดิ์ศรีของรัฐบาลไทยให้กลายเป็นเพียงเครือข่ายส่วนตัวของตระกูลทางการเมือง

เมื่อ ผลประโยชน์ของประเทศ ถูกวางซ้อนทับกับ ความพึงใจของ “อังเคิล” ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชาจึงไม่อาจแยกออกจาก เกมของสองตระกูล ได้อีกต่อไป

นี่คือกรณีตัวอย่างของการปล่อยให้ ความสัมพันธ์ส่วนตัวลุกลามเป็นวิกฤตทางอธิปไตย รัฐบาลไทยไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นความขัดแย้ง แต่กลับ เดินตามแรงกดดันจากอีกฝ่าย ทั้งในด้านการทูตและความมั่นคง โดยไม่แสดงให้เห็นเลยว่า ผลประโยชน์ของประเทศควรอยู่เหนือความใกล้ชิดของคนสองตระกูล

ในขณะที่สถานการณ์เช่นนี้กำลังปะทุอยู่ต่อหน้าสาธารณะ คำขวัญ “ปกป้องอธิปไตย” กลับถูกชูขึ้นเป็นฉากหลังในงานเลี้ยงกลางกรุง ซึ่งพรรคเพื่อไทยในฐานะแกนนำรัฐบาลเป็นเจ้าภาพจัดขึ้น โดยมีชายผู้เป็นศูนย์กลางทางการเมืองนั่งอยู่กลางโต๊ะ และ เป็นบิดาของผู้นำที่พูดว่า “อังเคิลอยากได้อะไร เดี๋ยวจัดให้”พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ผู้แบกมรดกจาก “บิ๊กตู่” พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และเคยเป็นสัญลักษณ์ของฝ่ายที่ตั้งคำถามต่ออำนาจทักษิณ ปรากฏตัวในงานเลี้ยงพรรคร่วมรัฐบาล ใต้คำขวัญ “ปกป้องอธิปไตย” โดยมีทักษิณนั่งอยู่กลางโต๊ะ ภาพนั้นย้อนแย้งในตัวเอง โดยไม่จำเป็นต้องมีคำบรรยายใดๆ

หากเขาคือชายผู้เคยยืนตรงข้ามกับระบอบทักษิณ หากเขาคือผู้นำที่เคยนิยามการเมืองผ่านคำว่า “หลักการ” และ “ความเหมาะสม” การนั่งร่วมโต๊ะในงานที่เจ้าภาพคือพรรคของทักษิณ และศูนย์กลางของโต๊ะคือชายผู้เคยถูกเขาตั้งคำถามในนามอุดมการณ์ คือ ภาพที่ไม่อาจอธิบายได้ด้วยเพียงคำว่า “มารยาททางการเมือง”

บทบาทของ พีระพันธุ์ จึงไม่อาจอธิบายได้ว่าเป็นเพียง “มาร่วมในฐานะพรรคร่วมรัฐบาล” เพราะเมื่อคลิปเสียงของแพทองธาร ซึ่งถูกปล่อยโดยฮุน เซน กลายเป็นชนวนของความขัดแย้งระหว่างประเทศ ผู้ที่นั่งร่วมโต๊ะในงานเลี้ยงซึ่งใช้คำว่า “ปกป้องอธิปไตย” เป็นฉากหลัง ย่อม ไม่ใช่แขกธรรมดาอีกต่อไป หากคือ ผู้ร่วมสมาทานแนวคิดที่ลดอธิปไตยไทยลงเหลือแค่คำเชิญร่วมดื่ม

พีระพันธุ์ไม่ใช่เพียงนักกฎหมายอนุรักษนิยม เขาคือหนึ่งในสัญลักษณ์ของความหวังสำหรับผู้ที่เคยเชื่อว่า ประเทศไทยยังมีคนไม่ยอมศิโรราบ ต่อโครงสร้างอำนาจที่เคยถูกวิจารณ์ว่าแทรกแซงระบบยุติธรรม

เขาไม่ได้เติบโตจากการปลุกกระแส ไม่ได้โดดเด่นจากวาทกรรมเสียดสี แต่ได้มาซึ่ง ความเชื่อมั่นด้วยท่าทีมั่นคง สงบนิ่ง และไม่ประนีประนอมกับอำนาจที่ปราศจากความชอบธรรม

เมื่อบุคคลที่ยืนหยัดด้วยความแน่วแน่ กลับนั่งร่วมโต๊ะกับทักษิณโดยไร้ถ้อยคำหรือท่าทีต้านทาน จึงไม่ใช่ภาพธรรมดา หากคือ การสลายความหมายเดิมของเขาลงอย่างหมดสิ้น แม้คลิปเสียงของแพทองธารจะยังอื้ออึงอยู่ในสังคม แม้การชี้แจงจะยังคง คลุมเครือและไร้คำอธิบายที่เพียงพอ

การร่วมโต๊ะในค่ำคืนที่ผ่านมา ไม่ใช่เพียงการ “ทำตามบทบาทพรรคร่วมรัฐบาล” หากคือ การยกแก้วไวน์แดงให้กับจำเลยในคดี 112 และผู้ที่ยังอยู่ระหว่างการไต่สวนการบังคับโทษ เป็น การยอมรับโครงสร้างอำนาจใหม่ ที่วางทักษิณไว้เหนือทุกกลไกปกติของระบอบ

แม้คลิปเสียง “แพทองธาร–ฮุน เซน” จะถูกฝ่ายรัฐบาลนำมาชี้แจงในภายหลัง การชี้แจงนั้นกลับ ไม่อาจลบภาพความอ่อนน้อมต่ออดีตผู้นำกัมพูชา ไม่สามารถตอบคำถามของสังคมได้อย่างครบถ้วน และ ไม่แสดงจุดยืนที่ชัดเจนว่า รัฐบาลไทยมีสถานะใดต่อบุคคลที่ยังมีอิทธิพลสูงในประเทศเพื่อนบ้าน

เมื่อคำพูดในคลิปขัดแย้งต่อหลักการอธิปไตยอย่างชัดเจน กระทั่งศาลรัฐธรรมนูญต้องมีคำสั่งให้ แพทองธาร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีชั่วคราว เพื่อรอวินิจฉัยคำร้องเรื่องจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง สิ่งที่เกิดขึ้นจึงยืนยันอย่างแน่ชัดว่า คลิปนั้น มิใช่เรื่องส่วนตัว และไม่ใช่สิ่งที่จบลงบนโพเดียมของพรรคเพื่อไทย

ท่ามกลางแรงกระเพื่อมเช่นนี้ การที่ พีระพันธุ์ เลือกนั่งโต๊ะร่วมกับพรรคที่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับบุคคลในคลิป และกับผู้ที่อยู่ในระหว่างคดีอาญาสำคัญ โดย ไม่มีคำชี้แจง ไม่มีท่าทีทัดทาน และไม่มีความห่างเหินแม้แต่น้อย ย่อมขัดแย้งกับคำว่า “ปกป้องอธิปไตย” อย่างสิ้นเชิง

คำถามจึงไม่ใช่ว่าเขาเปลี่ยนไปหรือไม่ แต่คือ สิ่งที่สังคมเคยเชื่อมั่นในตัวเขา ยังเหลืออะไรอยู่บ้าง ท่ามกลางภาพของ แก้วไวน์แดงที่ยกขึ้นอย่างราบรื่น และคำขวัญ ที่ไม่มีใครแม้แต่จะตั้งคำถาม

หากเขายังยึดมั่นในหลักนั้นจริง เหตุใดจึงไม่เอ่ยแม้แต่คำเดียว ต่อวลีที่นายกรัฐมนตรีไทยพูดกับอดีตผู้นำกัมพูชาว่า “อังเคิลอยากได้อะไร เดี๋ยวจัดให้” “แม่ทัพภาคที่สองอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเรา”

วลีเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนความสนิทส่วนตัว หากแต่ยัง ลดทอนความชอบธรรมของกลไกภาครัฐไทยอย่างชัดเจน โดยไม่มีการขานรับจากผู้นำร่วมรัฐบาลที่เคยอ้างตนว่าเป็นฝ่ายยืนหยัดเพื่อความมั่นคงและศักดิ์ศรีของชาติ

หากยังเชื่อว่า อธิปไตยคือหลักการสูงสุดของรัฐ เหตุใดจึงไม่มีแม้แต่ท่าที “ท้วง” หรือ “เว้นระยะ” จากการนั่งโต๊ะร่วมกับกลุ่มที่มีบุคคลซึ่งอยู่ระหว่างคดีอาญา เป็นผู้ออกแบบฉากหลังให้กับวาทกรรม “ปกป้องอธิปไตย”

สิ่งที่ทำให้ประชาชนรู้สึกสูญเสีย ไม่ใช่เพียง การเปลี่ยนจุดยืนทางการเมือง แต่คือ การสมทบกับระบอบที่พยายามแปรเปลี่ยนข้อครหาให้กลายเป็นความชอบธรรม โดยไม่ตั้งคำถามใด ๆ ต่อ ปัญหาที่กระทบต่ออำนาจต่อรองและศักดิ์ศรีของประเทศ

ในภาวะที่ประชาชนกำลังตั้งคำถามถึง แพทองธาร ชินวัตร กับ บทสนทนาอันอ่อนข้อเกินรับต่อฮุน เซน การที่ พีระพันธุ์ร่วมโต๊ะในงานเลี้ยงซึ่งมีพรรคของทักษิณเป็นเจ้าภาพ และใช้คำว่า “ปกป้องอธิปไตย” เป็นฉากหลัง ก็คือ การยอมรับอำนาจของระบอบที่เขาเคยต่อต้าน โดยไม่มีคำอธิบายแม้แต่น้อย

พีระพันธุ์ อาจมีเหตุผลในใจ แต่เมื่อไม่มีถ้อยคำใดหลุดจากปาก สิ่งที่ประชาชนได้ยินมีเพียงเสียงปรบมือร่วมโต๊ะกับชายที่เคยถูกมองว่าเป็นต้นตอของปัญหา

และหากภาพนั้นคือความจริง สิ่งที่ควรทำไม่ใช่การนิ่งเฉย หากคือการบอกให้ชัด แลกอะไรกับตำแหน่งในวันนี้ และยอมถอยจากจุดยืนเดิมไปตั้งแต่เมื่อไร

การเปลี่ยนผ่านจากชายผู้ไม่เคยศิโรราบต่ออำนาจนอกระบบ สู่ รัฐมนตรีผู้ร่วมโต๊ะกับโครงสร้างเดิมที่สังคมเคยปฏิเสธ คือ การเดินเข้าสู่อาณัติของทักษิณโดยสมัครใจ ไม่ใช่โดยความจำเป็น

ท่ามกลางคลิปเสียงที่สั่นคลอนอธิปไตย ท่ามกลางคำขวัญที่ถูกใช้กลบคำถาม ท่ามกลางชายที่ยังไม่พ้นสถานะจำเลย การนิ่งเฉยของพีระพันธุ์ จึงไม่ใช่เพียงการถอยจากหลักการ หากคือการยกธงขาวให้กับอำนาจที่เคยต่อต้านโดยปราศจากคำค้านใดๆ

ไม่ใช่การพ่ายแพ้ด้วยเสียงข้างน้อย ไม่ใช่การถูกปลดจากตำแหน่งหรือถูกกีดกันทางอำนาจ แต่คือ ความพ่ายแพ้ของชายผู้ปีนขึ้นจากร่มเงานายพล ไปสู่การยืนเคียงข้างอำนาจ ที่เขาเคยเรียกว่าปัญหา

และทั้งหมดนี้ ไม่ใช่เพราะถูกบีบบังคับ แต่เพราะเขาเอง…คือผู้ที่เลือกจะเดินเข้าไป.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา

"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย

โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ

โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ

เพื่อไทย เปิดตัว 'อดีตปลัด ก.เกษตร' ลงสนามชนบ้านใหญ่ 'ศิลปอาชา'

พท.เปิดตัว “ประยูร อินสกุล” อดีตปลัด ก.เกษตรฯ ลงสนามชนบ้านใหญ่ “ศิลปอาชา” ไม่ฟันจะปักธงเมืองสุพรรณได้หรือไม่ ชี้ขึ้นกับ ปชช. อ้อนกาเพื่อไทยทั้งคนทั้งพรรค