ยูโทเปียของผู้เจริญ วาทกรรมต้องเพอร์เฟกต์ 'มนุษยธรรมพรีเมียม' ฉบับก้าวหน้า

เมื่อโรงพยาบาลต้องจัดระบบเพื่อความปลอดภัยในพื้นที่ปะทะ แต่นักการเมืองบางคนกลับรีบโชว์มนุษยธรรมบนหน้าฟีด ใช้คำใหญ่คำโตเรื่องเกียรติภูมิประเทศ ราวกับความปลอดภัยคือศัตรูของอุดมคติ มนุษยธรรมในฉบับก้าวหน้า จึงไม่ใช่ผลจากความเข้าใจโลก แต่มาจากความมั่นใจล้นเกินของนักอุดมการณ์หัวหงอกก่อนวัย ที่อินกับหนังสือมากกว่าความจริงของชีวิตที่เจ็บอยู่ตรงหน้า

แม้เสียงปืนจะเงียบลงชั่วคราว แต่ชายแดนไทย–กัมพูชายังเต็มไปด้วย แรงกระเพื่อมของความไม่ไว้ใจ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไม โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จ.อุบลราชธานี จึงออกมาตรการ จำกัดการให้บริการผู้ป่วยข้ามชาติชั่วคราว ในช่วง 31 ก.ค.–10 ส.ค. ไม่ใช่ด้วยแรงเกลียดชัง แต่ด้วย สัญชาตญาณของคนที่ยืนอยู่ในพื้นที่เสี่ยง

มาตรการนี้ ไม่ใช่การตัดสัมพันธ์ หรือ ปิดประตูใส่มนุษยธรรม แต่คือการเว้นช่องหายใจให้ทีมแพทย์ได้วางแผนรับมือยุติการรับเคสใหม่ พักงานล่ามต่างชาติ ปิดคลินิกนอกเวลา เพื่อปรับขอบเขตพื้นที่ให้ชัดเจน ในช่วงที่เส้นแบ่งระหว่างผู้ป่วยกับภัยคุกคามยังพร่าเลือน

แต่แทนที่ สส.บางคนจะยืนอยู่ข้างทีมแพทย์ กลับมีโพสต์ของ รอมฎอน ปันจอร์ สส.หน้าใหม่พรรคประชาชน ที่รีบฟันธงทันทีว่าเป็น “เรื่องร้ายแรง” และ “กระทบต่อเกียรติภูมิของประเทศ” ทั้งที่เพียงไม่กี่วันก่อนหน้านั้น โรงพยาบาลชายแดนฝั่งไทยเพิ่งถูกปืนใหญ่ยิงเสียหายสามแห่ง โดยไร้แม้แต่ถ้อยคำแสดงความห่วงใยจาก สส.คนนี้

เราสามารถยึดมั่นใน มนุษยธรรม โดยไม่ต้องโค้งหัวให้กับ ความไร้เดียงสาทางภูมิรัฐศาสตร์ และเราสามารถพูดถึง “จรรยาบรรณวิชาชีพ” ได้โดยไม่ต้องแสดงตัวเป็น นักกิจกรรมหัวก้าวหน้า ที่ท่องแต่คำสวย ๆ จากห้องเรียนสากล โดยไม่รู้ว่าความจริงในสนามมันเลอะขนาดไหน

เพราะโลกจริงไม่มีคำบรรยายใต้ภาพ มีแต่คำสั่งปฏิบัติที่ต้องรับผิดชอบต่อชีวิตในพื้นที่จริง เมื่อโรงพยาบาลสรรพสิทธิฯ ประเมินแล้วว่าสถานการณ์ยังไม่น่าไว้วางใจ พวกเขาจึงจำเป็นต้อง “ลดความเสี่ยง” ก่อนจะ “เปิดน้ำใจ” นั่นคือสมดุลของมืออาชีพ ไม่ใช่การถอยหลังจากหลักมนุษยธรรม

ในทางกลับกัน การที่ รอมฎอน ปันจอร์ ออกมาโพสต์ทันที ว่าเป็น “เรื่องร้ายแรง” และ “กระทบต่อเกียรติภูมิของประเทศ” สะท้อนเพียงว่ายังไม่เข้าใจว่า เกียรติภูมิของประเทศ ไม่ใช่สิ่งที่ติดอยู่บนป้ายข้างเตียงผู้ป่วย แต่มันฝังอยู่ใน รอยร้าวของโรงพยาบาลที่เพิ่งถูกยิง และความรับผิดชอบของคนที่ยังรักษาชีวิตอยู่ภายใต้สถานการณ์ไม่แน่นอน

สิ่งที่น่ากังวล จึงไม่ใช่มาตรการของโรงพยาบาล แต่คือการที่นักการเมืองหน้าใหม่ รีบสวมเสื้อคลุมมนุษยธรรมอย่างภูมิใจ ในขณะที่คนในพื้นที่ยังต้องสวมเสื้อเกราะใต้ชุดแพทย์จริงๆ 

เรากำลังอยู่ในยุคที่ อุดมคติถูกยกขึ้นสูงกว่าความจริงในสนาม และสิ่งที่เรียกว่า “มนุษยธรรมพรีเมียม” ก็คือความเมตตาแบบเลือกหน้า เมตตาที่สงวนไว้สำหรับบางฝ่าย บางสถานการณ์ ไม่ใช่เมตตาที่เข้าใจความจริงอันซับซ้อนของพื้นที่และชีวิตผู้คนที่ต้องเผชิญความไม่แน่นอนอย่างแท้จริง

“ยูโทเปียของผู้เจริญ” ก็เช่นกัน คือโลกในฝันของนักอุดมการณ์ที่เชื่อว่า หากพูดคำอย่าง “สันติภาพ” “ความยุติธรรม” หรือ “มนุษยธรรม” ได้ลื่นไหล ก็เท่ากับตนยืนอยู่บนจุดสูงสุดของหลักการ แม้จะไม่เคยเดินบนพื้นเปียกเลือดของชายแดนแม้แต่ก้าวเดียว

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เราพบพฤติกรรมลักษณะนี้ นักการเมืองหัวก้าวหน้า มักเงียบเมื่อฝ่ายไทยบาดเจ็บ แต่ว่องไวอย่างน่าประหลาดเมื่อต้องออกแถลงการณ์ปกป้องอีกฝ่าย มนุษยธรรมของพวกเขาจึงทำงานแบบมีเงื่อนไข

จำได้ใช่ไหม พวกเขาออกมาตำหนิไทยเรื่องโรฮิงญา แสดงท่าทีแข็งกร้าวเรื่องอุยกูร์ และคัดค้านการจำกัดการรักษาผู้ป่วยข้ามชาติของรพ.สรรพสิทธิฯ แต่ในวันที่ทหารไทยขาขาด เด็กไทยตาย หรือโรงพยาบาลไทยพังยับ ไม่มีแม้แต่คำถาม หรือถ้อยคำแสดงความรับผิดชอบในฝั่งเรา

เมื่อโรงพยาบาลไทยถูกยิง พวกเขาเงียบ แต่เมื่อโรงพยาบาลไทยจำกัดบริการชั่วคราวเพื่อความปลอดภัย พวกเขากลับตีโพยตีพายเหมือนมนุษยธรรมพังทลายทั้งระบบ

นั่นแหละคือ มนุษยธรรมพรีเมียมฉบับก้าวหน้า มนุษยธรรมที่อ้าง “คนเท่าเทียมกัน” อย่างมั่นใจ แต่ไม่เคยมองว่าเลือดของคนไทยที่ไหลอยู่ชายแดน ก็ควรได้รับการเท่าเทียมในสายตาพวกเขาบ้าง

เมื่อมนุษยธรรมกลายเป็นตราสัญลักษณ์ของความเจริญ คนที่พูดถึงมันได้ไพเราะ มักถูกยกย่องว่า “มีอารยะ” แต่ใครก็ตามที่ วางระบบความปลอดภัยก่อนเปิดบริการตามปกติ กลับถูกมองว่าไร้เมตตาอย่างน่าประหลาด

“เกียรติภูมิของประเทศ” ที่รอมฎอน ปันจอร์พูดถึงคืออะไร? คือการเปิดประตูโรงพยาบาลโดยไม่สนใจว่าเพิ่งถูกยิงมากี่นัดใช่หรือไม่ หรือหมายถึงการให้บริการอย่างไม่มีเงื่อนไข ขณะทหารไทยยังนอนเฝ้าชายแดน?

คำว่า “เกียรติภูมิ” จึงเริ่มดูแปลกแยก ถ้ามันหมายถึงแค่ภาพลักษณ์ในสายตาคนบนโซเชียล หรือเวทีโลก เพราะเกียรติภูมิในพื้นที่จริง คือการห่วงใยคนของเราแม้จะไม่มีแฮชแท็กใดสนับสนุน

เมื่อโรงพยาบาลต้องเลือกระหว่าง ภาพที่ดูดี กับมาตรการที่ปลอดภัย พวกเขาเลือกอย่างหลัง และนั่นคือ สำนึกของคนทำงาน ไม่ใช่การละทิ้งหลักการ

ตรงกันข้าม คนที่รีบอ้าง “มนุษยธรรม” หรือ “วิชาชีพ” โดยไม่รับฟังเจตนาและเงื่อนไขของสถานการณ์จริง ก็กำลังทำลายศักดิ์ศรีของมนุษยธรรมเอง โดยเปลี่ยนมันให้กลายเป็นคำแฟนซี

เพราะมนุษยธรรมที่ถูกบังคับให้ “ดูดี” ตลอดเวลา จะกลายเป็นเครื่องมือของคนที่กลัวจะเสียหน้ามากกว่ากลัวจะเสียคน และนั่นคือ มนุษยธรรมแบบพรีเมียม  สวยไว้ก่อน จริงทีหลัง

เราไม่เคยปฏิเสธ “จรรยาบรรณวิชาชีพ” ไม่เคยลบหลู่คำว่า “มนุษยธรรม” และไม่เคยคิดว่า “สันติภาพ” คือคำต้องห้ามในสถานการณ์ตึงเครียด แต่คำถามสำคัญคือ คนที่พูดคำเหล่านี้คล่องแคล่ว เข้าใจมันจริงๆ หรือแค่รู้สึกว่าพูดแล้วดูดี?

“สงครามต้องไม่ทำลายทุกสิ่งที่เป็นเรา” รอมฎอน กล่าวเช่นนั้น แต่เขาเคยพูดถึง “เรา” ตอนไหน? ในยามที่โรงพยาบาลไทยถูกยิงพัง เด็กไทยตาย หรือทหารไทยขาขาดจากกับระเบิด เราไม่เห็นเขาเลย นอกจากในวันที่โรงพยาบาลฝั่งไทยจัดระเบียบระบบรับคนไข้ใหม่ วันนั้นเขารีบปรากฏตัว พร้อมคำว่า “ร้ายแรง” และ “กระทบเกียรติภูมิประเทศ”

ในสายตาคนบางกลุ่ม มนุษยธรรมคือคีย์เวิร์ดของคนเจริญ ยิ่งพูดคล่อง ยิ่งดูเหมือนเข้าใจโลก แต่ยิ่งฟัง ยิ่งรู้ว่าเขาเข้าใจเพียง “ทฤษฎีที่โลกอยากฟัง” ไม่ใช่ชีวิตจริงที่โลกกำลังเจ็บ

มนุษยธรรมของเราไม่ใช่ถ้อยคำลอยๆ แต่มันคือการรักษาทุกชีวิต เมื่อสามารถทำได้โดยไม่เพิ่มความเสี่ยง คือการปกป้องแพทย์ พยาบาล และบุคลากรในพื้นที่ให้ไม่ต้องกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป เพราะการตัดสินใจบนพื้นที่ปลอดภัยของคนที่ไม่เคยอยู่แนวหน้า

มนุษยธรรมของเราอยู่กับความจริง ไม่ใช่บนเวทีประกวดความดีงาม และนั่นคือความแตกต่างระหว่างคนที่ทำงาน กับคนที่ทำท่าทาง

มนุษยธรรมพรีเมียม คือมนุษยธรรมที่ต้อง สวย เป๊ะ และเพอร์เฟกต์เสมอ ไม่ใช่เพราะมันเมตตากว่าหรือเข้าใจความทุกข์มากกว่า แต่เพราะมันถูกพูดออกมาจาก หอคอยทางความคิด ที่แยกตัวจากฝุ่นดิน กลิ่นเลือด และความลำบากที่เกิดขึ้นจริง

มนุษยธรรมในแบบฉบับนี้ ไม่ใช่การแบกรับความเจ็บปวดของทุกฝ่ายอย่างเข้าใจ แต่มักเป็นเพียงการ เลือกข้าง แล้วใช้คำหรู ๆ มาเสริมภาพลักษณ์ฝ่ายตัวเองให้ดูเหนือกว่า มันจึงไม่ต่างจาก ฉลากสินค้าระดับหรู ที่ต้องมีให้ครบสูตร แม้ในสถานการณ์ที่ทุกคนควรพับแขนเสื้อและยื่นมือเข้าไปช่วย

และนี่คือสิ่งที่เราเห็นจากพรรคที่อ้างว่าตัวเองอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยพรรคที่สืบทอดแนวคิดสายเดียวกันจาก อดีตพรรคอนาคตใหม่ สู่ก้าวไกล และปัจจุบันคือพรรคประชาชน พรรคที่ยึดถือมนุษยธรรมในแบบ “เลือกจำ” และ “เลือกฉาก”

พวกเขาเคยวิจารณ์รัฐบาลไทยอย่างดุดันเรื่องโรฮิงญา เคยประณามการส่งตัวชาวอุยกูร์กลับจีน และล่าสุด ก็ไม่พลาดที่จะ ออกตัวต้านมาตรการจำกัดผู้ป่วยชาวกัมพูชาชั่วคราว แม้สถานการณ์ชายแดนยังไม่แน่นอน

แต่กลับไม่พูดถึงเลย เมื่อทหารไทยขาขาดจากกับระเบิด เมื่อเด็กไทยตายในเซเว่นจากกระสุนของเขมร หรือแม้แต่เมื่อ โรงพยาบาลชายแดนไทยถูกยิงเสียหายถึง 3 แห่ง ไม่มีแม้คำปลอบใจสั้นๆ ไม่มีแม้การประณามที่ควรเกิดขึ้น

นี่ไม่ใช่มนุษยธรรม แต่มันคือ อุดมคติที่เลือกจำ ไม่ใช่การยืนอยู่ข้างความถูกต้อง แต่มันคือการเลือกยืนในที่ที่คำพูดจะฟังดูเท่ที่สุด คือการใส่สูทคำคมขึ้นเวที แล้วทิ้งสนามจริงไว้ให้คนตัวเปื้อนลุยกันเอง

และในบรรดาคำพูดมากมายจากพวกเขา ไม่มีคำไหนเลยที่เอ่ยถึงเลือดของคนไทยที่ไหลอยู่แนวชายแดน ไม่มีคำไหนแตะต้องซากโรงพยาบาลที่เพิ่งถูกยิง พวกเขาพูด—แต่เลือกพูดเฉพาะสิ่งที่เข้ากับวาทกรรมของฝ่ายตัวเอง

และเสียงที่ดังกว่าใคร คือเสียงของ รอมฎอน ปันจอร์ ผู้ซึ่งพูดคำว่า “มนุษยธรรม” ได้คล่อง แต่ไม่เคยเดินเข้าไปดูรอยเลือดของคนในพื้นที่ พูดคำว่า “สันติภาพ” ได้ไพเราะ แต่ไม่เคยตั้งคำถามว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างไร ถ้าเราเอาแต่สร้างภาพโดยไม่แตะต้องความจริง

รอมฎอน ปันจอร์ ไม่ใช่ศัตรูของประเทศนี้ แต่เขาคือ สัญญาณเตือนภัย ว่าถ้าคนรุ่นใหม่บางคนยังหลงคิดว่า “การพูดคำใหญ่คำโต คือความเข้าใจโลก” โดยไม่สนใจเลือดจริง น้ำตาจริง เสียงระเบิดจริง ประเทศนี้อาจต้องเดินต่อในมือของ นักอุดมการณ์หัวหงอกก่อนวัย ผู้มั่นใจเกินล้นว่าเข้าใจมนุษย์ดี เพียงเพราะได้อ่านหนังสือเล่มเดียวกับที่โลกตะวันตกกำลังขายอยู่.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'ไอติม' เลี่ยงยื่นซักฟอก ใช้กลไกอื่นตรวจสอบรัฐบาลแทน

'พริษฐ์' ปัดตอบยื่นซักฟอกรัฐบาล ขอใช้กลไกอื่นของสภาตรวจสอบเข้มข้นแทน เชื่อถกแก้ รธน. วาระ 2 จบภายใน 3 วัน นัดประชุมวิปฝ่ายค้านวางกรอบ 9 ธ.ค.

สส.ปชน. เรียกร้องรัฐบาลเยียวยาน้ำท่วมภาคกลางให้มีมาตรฐานเดียวกับภาคใต้

"เต้ ทวิวงศ์​" จี้รัฐบาลอย่า 2 มาตรฐาน ช่วยน้ำท่วมใต้แล้ว หันมาช่วยน้ำท่วมภาคกลางด้วย บอก "ภราดร" ลองกลับมาถามคนอ่างทอง หากรอการเยียวยาเป็นลำดับถัดไปไหวหรือไม่ เหตุอยุธยาจมน้ำมา 4-5 เดือนแล้ว คนเสียชีวิตไปกว่า 20 ราย ชี้ ชาวบ้านต้องทำมาหากิน ควรมีมาตรการชดเชย-ช่วยเหลือเต็มรูปแบบเหมือนกัน

บก.ลายจุด อวยว่าที่นายกฯ ฝึกงานล้างบ้าน เก็บขยะ มีพัฒนาการที่ดี ลงท้ายแขวะ 'อภิสิทธิ์'

นายสมบัติ บุญงามอนงค์ หรือบก.ลายจุด โพสต์ภาพนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน กำลังล้างบ้านน้ำท่วมที่หาดใหญ่ พร้อมข้อความระบุว่า ใครทนอ่านเรื่องส้มไม่ได้ให้ข้ามไปก่อน

อึ้ง! คลิปผู้ช่วยสส.พท. สร้างจากเอไอ ยืนแช่น้ำท่วมที่หาดใหญ่ เรียกร้อง ปชน.ตรวจสอบรัฐบาล

เพจเฟซบุ๊ก Cofact โคแฟค โพสต์ข้อความ เรื่อง เนื้อหาที่ตรวจสอบ : คลิปผู้ช่วย สส. ยืนแช่น้ำท่วมที่หาดใหญ่เรียกร้องพรรคประชาชนตรวจสอบรัฐบาลอนุทิน ระบุว่า

ตาสว่างกันได้หรือยัง ’รักชนก‘ ประจานเพื่อไทยโหนเสื้อแดงหากินไปวัน ๆ

นางสาวรักชนก ศรีนอก หรือ “ไอซ์” สส.กรุงเทพฯ พรรค ประชาชน โพสต์เฟซบุ๊กว่า “ตาสว่างกันได้หรือยัง ว่าใครที่ตั้งใจอยากคืนความยุติธรรมให้คนเสื้อแดง ใครแค่

ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม

ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง