จากนายพลเขมรแดงสู่คีย์บอร์ดแมน: โพสต์ที่ทำให้ 'ฮุนเซน' ดูเล็กลง

จากผู้นำเผด็จการผู้เคยสั่งการทั้งประเทศ ฮุนเซนวันนี้ใช้เฟซบุ๊กเป็นปืนกลคำพูด กราดยิงทั้งจริงทั้งเท็จ ปลุกชาตินิยมในกัมพูชา และปั่นไทยให้เดือด แต่ยิ่งเล่นใหญ่จากเรื่องเล็ก ภาพลักษณ์กลับถูกย่อเหลือเพียงชายแก่ติดโซเชียล ติดอยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมที่โลกพร้อมจะเลื่อนผ่านเหมือนคอนเทนต์ไร้ค่า

หลังเหตุปะทะชายแดนไทย–กัมพูชาล่าสุด ฮุนเซน ไม่ปล่อยให้กระแสจางแม้แต่นาทีเดียว เฟซบุ๊กส่วนตัวถูกใช้เป็นปืนกลคำพูด ยิงโพสต์ถี่ยิบทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งข้อมูลจริง ข้อมูลบิดเบือน ไปจนถึงการปั่นประเด็นเพื่อโจมตีไทยโดยตรง

สไตล์การโพสต์ไม่มีการคัดกรองหรือเว้นจังหวะ แต่ใช้วิธี ท่วมฟีดด้วยข้อความและภาพ จนสื่อทั้งในและนอกกัมพูชาต้องหยิบไปเล่นต่อ ไม่ว่าจะเป็นการขู่ไทยอย่างโจ่งแจ้ง การจิกกัดผ่านถ้อยคำเหน็บ หรือการขุดเรื่องเก่ามาใช้ซ้ำเพื่อปลุกอารมณ์ชาตินิยม

เพื่อเข้าใจปรากฏการณ์นี้ ต้องย้อนมองว่าเขาไม่ใช่แค่นักการเมืองธรรมดา แต่เคยเป็น อดีตนายพลเขมรแดง ที่ผ่านสมรภูมิมาแล้วจริง ก่อนจะแตกหักกับพรรคเก่า ลี้ภัยไปเวียดนาม และกลับมากุมอำนาจในพนมเปญได้ตั้งแต่อายุเพียง 30 กว่าปี เส้นทางแบบนี้ทำให้เขาเคยถูกมองว่าเป็นผู้นำเหล็ก แต่สิ่งที่เกิดบนโซเชียลวันนี้ กลับสะท้อนอีกภาพที่ต่างไกล

ความถี่และน้ำเสียงในโพสต์ไม่ต่างจากคนติดโซเชียลที่ต้องการให้ชื่อของตัวเองติดอยู่ในกระแสตลอดเวลา ผลคือภาพที่ออกมาไม่ได้ทำให้ดูน่าเกรงขาม แต่กลับสะท้อนถึง ความร้อนรนกลัวถูกลืม และยึดติดกับการอยู่กลางข่าว

ในบรรดาหลายสิบโพสต์ มีภาพหนึ่งที่ถูกใช้เป็น “เครื่องเคียง” คือ ทหารไทยใช้หนังสติ๊ก ภาพนี้ถูกใส่คำบรรยายให้ดูเป็นหลักฐานยั่วยุ แต่ในความจริงก็อาจเป็นเพียงการถ่ายเล่น เรื่องเล็ก ๆ เช่นนี้ถูกยกมาขยายเป็นข่าว ก็ยิ่งตอกย้ำว่าโซเชียลถูกใช้เพื่อปั่นกระแส มากกว่าบอกข้อเท็จจริง

หลายภาพที่เขาโพสต์ยังรวมถึง ภาพตัวเองนั่งบัญชาการในคฤหาสน์ ท่ามกลางบอดี้การ์ดและอุปกรณ์สื่อสารรอบตัว สื่อสารให้ชาวกัมพูชาเห็นว่าเขายัง “สำคัญ” แต่สำหรับสายตาคนไทยและนานาชาติ ภาพเหล่านี้กลับเหมือน ลุงแก่ที่พยายามจัดฉากให้ดูยิ่งใหญ่ มากกว่าจะสะท้อนพลังผู้นำ

การยิงโพสต์แบบมาราธอนทำให้บรรยากาศชายแดนตึงต่อเนื่อง แม้เสียงปืนจะเงียบไปแล้ว แต่เสียงในเฟซบุ๊กของฮุนเซนกลับดังขึ้นเรื่อย ๆ ทุกสถานการณ์ถูกตีความให้เป็นภัยจากไทย ไม่ว่ามีหลักฐานหรือไม่ การสร้างภาพว่ากัมพูชายังถูกคุกคามคือหัวใจของกลยุทธ์

ในแต่ละโพสต์ มักมีการใช้คำแรงที่ไม่เหลือพื้นที่ให้ตีความอื่น เช่น การเปรียบเปรยไทยเป็นฝ่ายรุกราน การใช้ถ้อยคำเหมือนกำลังต่อสู้ในสงครามจริง แม้ข้อเท็จจริงในพื้นที่อาจไม่ร้อนแรงเท่าที่เล่า วิธีนี้ทำให้ผู้ติดตามรู้สึกว่าผู้นำเก่ายังอยู่แถวหน้า ทั้งที่บทบาทจริงเหลือเพียงในโลกออนไลน์

การยัดเยียดสารซ้ำ ๆ ไม่ได้ต่างจากการโฆษณาชวนเชื่อเวอร์ชันโซเชียลที่คอยย้ำให้ผู้คนเชื่อในสิ่งที่เห็น มากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ภาพลักษณ์ผู้นำเผด็จการจึงไม่ได้ถูกลบ แต่ถูกย้อมสีใหม่ให้ดูเป็น นักรบคีย์บอร์ด ที่ไม่ยอมลงจากเวที

ปรากฏการณ์นี้ชัดเจนว่าฮุนเซนกำลังใช้โซเชียลเป็น สนามแทนสมรภูมิจริง การโพสต์กลายเป็นอาวุธหลัก แทนที่การสั่งการทางการทหารหรือการทูต ทุกข้อความมีเป้าหมายชัด กดดันไทย สร้างความฮึกเหิมในกัมพูชา และดึงสายตาสื่อ

แม้จะครองตำแหน่ง “ผู้นำเบื้องหลัง” หลังส่งเก้าอี้ให้ลูกชาย แต่การปรากฏตัวรายวันบนเฟซบุ๊ก คือการตอกย้ำว่าการเมืองกัมพูชายังอยู่ในกำมือ การไม่ปล่อยให้สื่อเงียบ คือวิธีบอกโลกว่า คนที่ควบคุมเกมยังไม่ไปไหน

แต่การพยายามครอบงำสื่อผ่านเฟซบุ๊กก็มีด้านกลับ เมื่อเนื้อหาที่ปล่อยออกมาถูกจับผิดได้ง่าย ภาพความน่าเกรงขามก็พังทลายเร็วกว่าเดิม หลายโพสต์ที่ขาดหลักฐานหรือบิดเบือนข้อเท็จจริง กลับกลายเป็น หลักฐานชิ้นใหม่ของความตลกการเมือง

ในช่วงหลังการเจราหยุดยิง มีวันใดบ้างที่ฮุนเซนไม่โพสต์? คำตอบคือแทบไม่มี การทิ้งระยะเพียงไม่กี่ชั่วโมงก่อนโพสต์ถัดไป สะท้อนถึงความหมกมุ่นที่จะ ไม่ปล่อยให้ชื่อหลุดจากกระแส ราวกับกลัวว่าความเงียบจะเท่ากับความตายทางการเมือง

เนื้อหาที่ปล่อยออกมาไม่ใช่เพียงการรายงานสถานการณ์ แต่เต็มไปด้วยการตั้งข้อกล่าวหาโจ่งแจ้ง การบิดเบือนภาพเหตุการณ์ และการใช้คำขู่ที่ฟังแล้วไม่ต่างจากสคริปต์การโฆษณาชวนเชื่อในยุคสงครามเย็น เพียงแต่คราวนี้เกิดบนหน้าฟีดเฟซบุ๊ก

การเลือกโจมตีไทยอย่างต่อเนื่อง แม้ในวันที่สถานการณ์สงบลงแล้ว แสดงให้เห็นว่าเป้าหมายหลักไม่ใช่การแก้ปัญหาชายแดน แต่คือการรักษา บทบาทพระเอกในหนังที่ตัวเองสร้างขึ้น และบังคับให้ผู้ชมต้องดูจนจบเรื่อง

ในแต่ละโพสต์ มักจะมีส่วนผสมของ ความจริงบางส่วนกับการแต่งเติม เพื่อให้เกิดอารมณ์ร่วมสูงสุด นี่คือสูตรสำเร็จที่ใช้ซ้ำมาหลายครั้ง แต่บนแพลตฟอร์มโซเชียล ผลลัพธ์กลับเร็วและแรงกว่ามาก เพราะผู้ติดตามสามารถกดไลก์ แชร์ และต่อคอมเมนต์ได้ทันที

การโต้ตอบในช่องคอมเมนต์ทำหน้าที่เป็นกระจกสะท้อนว่าใครยังเชื่อ และใครเริ่มหัวเราะเยาะ การพยายามเก็บทุกบทสนทนาให้อยู่ในกรอบที่ตัวเองชี้นำ เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า การควบคุมภาพลักษณ์ยังสำคัญกว่าเนื้อหาจริง

ยิ่งกว่านั้น การยิงโพสต์อย่างต่อเนื่องในเวลาที่สังคมไทยกำลังเฝ้าดู ทำให้ภาพลักษณ์ผู้นำเผด็จการในสายตาคนไทยดูยิ่งเล็กลง ไม่ใช่เพราะไทยโจมตีได้สำเร็จ แต่เพราะเจ้าตัวเลือก ประจานตัวเอง ผ่านการกระทำที่โลกเห็นพร้อมกัน

ความถี่ของโพสต์และน้ำเสียงที่ใช้ ไม่ได้สร้างความกลัวหรือความเคารพให้เพิ่มขึ้น แต่กลับสะสมภาพลักษณ์ ผู้นำแก่ติดโซเชียล ที่เสพติดการได้รับความสนใจ การใช้เฟซบุ๊กแทนการเจรจาทางการทูตหรือการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง เป็นเหมือนการยอมรับโดยไม่พูดออกมาว่า อำนาจจริงกำลังร่อยหรอ

เกมชายแดนเวอร์ชันโซเชียลอาจทำให้แฟนคลับในกัมพูชายังยกย่อง แต่สำหรับสายตาภายนอก มันคือบทละครที่ผู้กำกับและพระเอกเป็นคนเดียวกัน ใช้ฉากเดิม เนื้อเรื่องซ้ำ และบทพูดที่คาดเดาได้ทุกบรรทัด

ฮุนเซนอาจเคยเป็นนายพลที่ครองอำนาจยาวนาน แต่บนเวทีโซเชียลในวันนี้ ทุกโพสต์กำลังบอกว่า ภาพตำนานกำลังหดเหลือเพียงคีย์บอร์ดแมนที่พยายามไม่ให้คนลืมชื่อ.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

‘วัน’ อัดโพลปั่นไวจัง! การเมืองยุคนี้แข่งปั่นโซเชียลมากกว่าผลงาน

นายวัน อยู่บำรุง ว่าที่ผู้สมัคร สส.เขตบางบอน พรรคพลังประชารัฐ โพสต์เฟซบุ๊กต่อกรณีกราฟิกข่าวของเพจการเมืองสำนัก

ทรงพลัง! สื่อกัมพูชาทำโพลล์ ‘คนเขมร’ สนับสนุนคว่ำบาตรสินค้าไทยอย่างล้มหลาม

เปืดผลสำรวจของ Khmer Times สื่อภาษาอังกฤษ ภายใต้การกับของรัฐบาลกัมพูชา แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างล้นหลามต่อการคว่ำบาตรสินค้าไทย หลังจากเหตุการณ์รุ

เปิดรายงาน AOT ชี้ชัดเขมรซุกทุ่นระเบิดใหม่ ทำทหารไทยขาขาดรายที่ 7

กองทัพไทยเปิดรายงาน ผลตรวจสอบของ AOT ยันทุ่นระเบิด PMN-2 ห้วยตามาเรีย- ภูมะเขือ ทำทหารขาขาดรายที่ 7 ถูกฝังใหม่ ไม่ใช่ทุ่นระเบิดเก่าตามที่กองทัพกัมพูชาอ้าง