เมื่อไฟชายแดนลุกโชน ประชาชนไม่ได้โอบกอดรัฐบาลพลเรือนหรือพรรคการเมือง หากแต่ทอดสายตาไปยังกองทัพ ความเชื่อมั่นที่เพิ่มขึ้นท่ามกลางการร่วงโรยของศรัทธาทางการเมือง ฝ่ายก้าวหน้าอาจเย้ยว่าเป็น “ลัทธิทหารนิยม” หากในความจริง มันสะท้อนเพียงคำถามที่ยังไร้คำตอบ ใครกันแน่ที่จะพาประเทศให้พ้นคลื่นวิกฤติ?
เสียงปืนที่ชายแดนกัมพูชาเพิ่งจางหายไป แต่เสียงสะท้อนในสังคมไทยกลับดังยิ่งกว่าคือ ประชาชนจำนวนมากหันกลับมาเชื่อมั่นในกองทัพ ขณะที่รัฐบาลแพทองธารและพรรคการเมืองใหญ่กลับเผชิญกระแสนิยมตกต่ำอย่างน่าใจหาย
ผลสำรวจ นิด้าโพล ยิ่งตอกย้ำภาพนี้ กองทัพถูกมองว่าเป็น “หลักประกัน” ของความมั่นคง ในขณะที่รัฐบาลถูกตั้งคำถามเรื่องศักยภาพและความน่าเชื่อถือ
ทว่าในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายปัญญาชนสายก้าวหน้ากลับไม่รอช้า พวกเขาหยิบคำพูดเก่าๆ ขึ้นมาแขวะสังคมทันที “ทหารมีไว้ป้องกันประเทศ ไม่ได้มีไว้ปกครองประเทศ”
คำพูดที่ดูสวยหรู แต่ไม่เคยอธิบายได้ว่าทำไม เมื่อใดที่การเมืองเดินไม่ได้ ประชาชนยังคงหันกลับไปหาทหารอยู่เสมอ
ความจริงที่ถูกปฏิเสธก็คือ… รัฐประหารในไทยไม่เคยเกิดขึ้นเพียงเพราะกองทัพอยากปกครอง แต่มันเกิดเพราะรัฐบาลพลเรือนเองที่ล้มเหลว ปล่อยให้ความแตกแยกบานปลาย จนบ้านเมืองไร้ทางออก
ดังนั้น หากจะถามว่า “ทหารควรปกครองประเทศหรือไม่” คำถามที่แท้จริงอาจต้องพลิกกลับเป็น “ใครจะรับผิดชอบ เมื่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า?”
คำว่า “ทหารมีไว้ป้องกันประเทศ ไม่ได้มีไว้ปกครองประเทศ” มักถูกยกมาเป็นประโยคตัดสินง่าย ๆ ของฝ่ายก้าวหน้า พวกเขามองว่าการที่กองทัพเข้าไปเกี่ยวพันกับการเมืองคือ “ต้นตอของปัญหา” ของสังคมไทยทั้งหมด
แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม เพราะกองทัพไม่เคยก้าวเข้ามาเองโดยลำพัง หากแต่ถูกผลักเข้ามาโดยความล้มเหลวของรัฐบาลพลเรือน
เมื่อรัฐบาลทุจริตอย่างโจ่งแจ้ง เมื่อผู้นำสร้างความแตกแยกจนคนไทยไม่อาจอยู่ร่วมกันได้ เมื่อกลไกประชาธิปไตยไร้ความน่าเชื่อถือ สิ่งเหล่านี้ต่างหากที่เป็นเงื่อนไขผลักดันกองทัพเข้าสู่เวทีการเมือง
ทุกครั้งที่เกิดรัฐประหารในประวัติศาสตร์ไทย เรามักพบ “ต้นเหตุ” เดียวกัน—รัฐบาลไม่สามารถรักษาศรัทธาของประชาชนไว้ได้ จนสังคมเดินต่อไปไม่ได้ และเมื่อบ้านเมืองถึงทางตัน กองทัพจึงถูกเรียกหาในฐานะ “ผู้แก้ปัญหา” แม้จะชอบหรือไม่ก็ตาม
นี่คือความจริงที่ฝ่ายก้าวหน้ามองข้ามไป พวกเขาเลือกจะโทษกองทัพ แต่ไม่เคยถามว่า อะไรทำให้กองทัพมีพื้นที่ในทางการเมืองได้ตั้งแต่แรก
ดังนั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่กองทัพจะ “อยากปกครอง” หรือไม่ แต่อยู่ที่รัฐบาลพลเรือนต่างหาก ที่เปิดทางให้กองทัพเข้ามามีบทบาท ด้วยความล้มเหลวและการใช้อำนาจเกินขอบเขตของตนเอง
ฝ่ายก้าวหน้ามักยกตรรกะสากลขึ้นมาโต้ว่า “ถ้ารัฐบาลล้มเหลว ก็กลับไปเลือกตั้งสิ ทำไมต้องให้ทหารเข้ามายุ่ง?” คำพูดนี้ฟังดูถูกต้องตามตำรา แต่ในโลกความจริงของสังคมไทย การเลือกตั้งไม่เคยเป็นทางออกที่เพียงพอ
หนึ่ง การเลือกตั้งไม่สามารถแก้ “วิกฤติฉับพลัน” ได้ วิกฤติทางการเมืองที่ปะทุจนประเทศเดินไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นการชุมนุมที่ขยายตัวเป็นความรุนแรง หรือปัญหาความมั่นคงชายแดน ไม่สามารถรอคอยกระบวนการเลือกตั้งที่จะใช้เวลาเป็นเดือนหรือเป็นปีได้ ในห้วงเวลาที่บ้านเมืองสั่นคลอน ประชาชนย่อมมองหากำลังที่เข้ามาคุมสถานการณ์ได้ทันที และนั่นคือกองทัพ
สอง การเลือกตั้งซ้ำซากในสังคมที่แตกแยกไม่ได้คลี่คลายปัญหา แต่ยิ่งทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น การนับหัวในคูหาไม่เคยเยียวยารอยร้าว หากแต่ตอกย้ำว่าฝ่ายหนึ่ง “ชนะ” และอีกฝ่าย “แพ้” ผลคือประเทศยิ่งแตกเป็นสองขั้วที่ไม่ยอมรับกัน และทางตันก็กลับมาใหม่
สาม ประชาชนจำนวนไม่น้อยหมดศรัทธาในนักการเมือง การบอกให้กลับไปเลือกตั้งจึงไม่ได้สร้างความมั่นใจ แต่กลับตอกย้ำความสิ้นหวัง เพราะต่อให้เลือกตั้งใหม่ ผลลัพธ์ก็ยังเป็นนักการเมืองหน้าเดิม วงจรคอร์รัปชัน วงจรการใช้อำนาจเกินขอบเขต ก็ยังคงอยู่
นี่คือความจริงที่ถูกละเลย! รัฐประหารไม่ใช่ผลผลิตของกองทัพเพียงฝ่ายเดียว แต่คือผลลัพธ์ของรัฐบาลพลเรือนที่ทำลายศรัทธาจนสังคมไม่อาจทนต่อไปได้
หากรัฐบาลไม่ทุจริต หากไม่สร้างความแตกแยก หากไม่ทำให้ประชาชนสิ้นศรัทธา กองทัพก็ย่อมไม่มีเหตุผลและไม่มีพื้นที่ที่จะก้าวเข้ามาเลย
กองทัพไทยไม่ใช่เพียงกองกำลังที่ตั้งอยู่ชายแดน หากแต่เป็นสถาบันที่มีบทบาททางอำนาจอยู่คู่การเมืองไทยมาอย่างยาวนาน ทุกครั้งที่เกิดรัฐประหาร หากพิจารณาให้ลึก จะพบว่าไม่ใช่เพราะกองทัพ “อยากแย่งอำนาจ” อย่างที่ถูกกล่าวหาเสมอไป แต่เพราะรัฐบาลพลเรือนเปิดเงื่อนไขให้กองทัพต้องก้าวเข้ามา
เมื่อรัฐบาลทุจริตจนศรัทธาสังคมพัง เมื่อผู้นำสร้างความแตกแยกจนสังคมเดินต่อไม่ได้ เมื่อกลไกประชาธิปไตยกลายเป็นเพียงเครื่องมือของกลุ่มการเมือง สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือแรงผลักให้กองทัพเข้ามามีบทบาททางการเมือง
ฝ่ายก้าวหน้าอาจชี้ว่าปัญหาคือ “กองทัพกลายเป็นสถาบันการเมือง” และเสนอปฏิรูปเพื่อตัดกองทัพออกจากสมการ แต่สิ่งที่พวกเขาไม่ยอมตอบคือ ถ้าการเมืองพลเรือนยังล้มเหลวซ้ำซาก แล้วใครจะเป็นหลักประกันให้ประเทศไม่ล่มทั้งระบบ?
การบอกให้ “ปฏิรูปเพื่อตัดกองทัพออก” จึงเป็นเพียงการมองภาพครึ่งเดียว และละเลยความจริงอีกครึ่งที่เจ็บปวดกว่า ปัญหาที่แท้จริงคือความล้มเหลวของรัฐบาลพลเรือนเอง ไม่ใช่การคงอยู่ของกองทัพ
เมื่อผลสำรวจ นิด้าโพล ชี้ให้เห็นว่าความนิยมของกองทัพพุ่งสูง ขณะที่รัฐบาลแพทองธารและพรรคการเมืองตกต่ำทันทีหลังเหตุชายแดนกัมพูชา ฝ่ายก้าวหน้าก็รีบสรุปว่านี่คือ “ทหารนิยม” และประชาชนกำลังถูก “ลัทธิอำนาจนิยม” ครอบงำ
แต่การตีความเช่นนั้น คือการปัดความจริงอีกครึ่งหนึ่งทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง
ประชาชนที่หันไปมองทหาร ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาโหยหาการปกครองด้วยอำนาจปืน ประชาชนเพียงแค่ ไม่ไว้วางใจนักการเมือง ที่ล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไม่ว่าจะมาในคราบรัฐบาลเลือกตั้งกี่ชุด วงจรคอร์รัปชันและการแสวงหาผลประโยชน์ก็ไม่เคยหายไป
ในยามที่บ้านเมืองสั่นคลอน คนส่วนใหญ่ไม่ได้ถามหาว่า “ใครมาจากการเลือกตั้ง” หากแต่ถามว่า “ใครพอจะหยุดความวุ่นวายและรักษาประเทศได้”
และคำตอบในหลายครั้งก็คือกองทัพ ไม่ใช่เพราะประชาชนศรัทธาในอำนาจทหารมากกว่านักการเมือง แต่เพราะประชาชนเห็นกับตาตัวเองว่า นักการเมืองไม่สามารถเป็นที่พึ่งได้
ดังนั้น คำว่า “ทหารนิยม” จึงไม่ใช่ความหลงใหล แต่คือ การเลือกฝากความหวังไว้กับสิ่งที่ยังเหลืออยู่ในยามวิกฤติ
นี่คือสัญญาณเตือนที่นักการเมืองควรตระหนัก หากพวกเขาไม่สามารถสร้างศรัทธาและความมั่นใจได้ ประชาชนก็พร้อมจะหันไปหาทางเลือกอื่นอยู่เสมอ แม้ทางเลือกนั้นจะเป็นกองทัพก็ตาม
สิ่งที่เราเห็นตลอดหลายทศวรรษคือ วงจรซ้ำซาก รัฐบาลพลเรือนล้มเหลว ประชาชนหมดศรัทธา กองทัพถูกผลักเข้ามา และฝ่ายก้าวหน้าโต้กลับด้วยคำว่า “ทหารไม่ควรปกครองประเทศ”
แต่คำถามที่ยังไม่มีใครตอบได้คือ แล้วจะทำอย่างไรให้การเมืองไทยสามารถแก้ปัญหาของตัวเองได้ โดยไม่ต้องอาศัยกองทัพเข้ามาเป็นทางออกสุดท้าย?
นี่ไม่ใช่โจทย์เล็กๆ ที่จะแก้ได้ด้วยการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่เพียงฉบับเดียว หรือการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียว เพราะปัญหาของไทยไม่ใช่แค่กติกา หากแต่เป็น ความเชื่อมั่น ประชาชนไม่เชื่อว่านักการเมืองจะทำเพื่อส่วนรวมจริงๆ
ตราบใดที่นักการเมืองยังไม่พิสูจน์ว่าตนสามารถยืนอยู่ได้ด้วยคุณธรรมและศักยภาพ ประชาชนก็จะยังมองหากองทัพในฐานะ “หลักประกัน” เสมอ และนี่คือสัจธรรมที่ฝ่ายก้าวหน้าพยายามปฏิเสธ
ดังนั้น หากต้องการให้กองทัพถอยออกจากเวทีการเมืองจริง ๆ คำตอบไม่ได้อยู่ที่การโจมตีกองทัพ แต่อยู่ที่การสร้างความศรัทธาในรัฐบาลพลเรือนให้ได้เสียก่อน
เมื่อหันกลับไปมองตลอดประวัติศาสตร์ไทย เราพบว่า กองทัพ รัฐบาล และประชาชน ไม่เคยถูกแยกออกจากกันจริงๆ หากแต่พันกันอยู่ในสมการเดียวกันอย่างซับซ้อน
ใช่...การรัฐประหารไม่ใช่คำตอบ และไม่ควรถูกใช้เป็นข้ออ้างเพื่อแก้ปัญหาทางการเมือง แต่ในขณะเดียวกัน การปฏิเสธกองทัพด้วยคำสวยหรู ก็ไม่ใช่คำตอบเช่นกัน หากนักการเมืองยังคงเดินซ้ำรอยเดิมๆ ที่ทำให้ประชาชนสิ้นศรัทธา
สิ่งที่บทเรียนบอกเราคือ ตราบใดที่รัฐบาลพลเรือนยังล้มเหลว กองทัพก็จะไม่หายไปจากเวทีการเมืองไทย ไม่ใช่เพราะกองทัพอยากครอบงำ หากแต่เพราะประชาชนเองยังไม่พบความมั่นใจจากนักการเมืองที่จะพาประเทศเดินต่อได้
ดังนั้น โจทย์ใหญ่ไม่ใช่การผลักไสกองทัพออกไปด้วยถ้อยคำสวยหรู แต่คือการสร้างรัฐบาลพลเรือนที่เข้มแข็งพอ ซื่อสัตย์พอ และมีศักยภาพพอที่จะทำให้ประชาชนเชื่อว่า พวกเขาไม่จำเป็นต้องมองหากองทัพอีกต่อไป
และนี่คือคำถามที่ยังค้างอยู่ในอากาศ นักการเมืองไทยพร้อมแล้วหรือยัง ที่จะทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่าอนาคตของประเทศไม่ต้องฝากไว้ในมือกองทัพอีกต่อไป?
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'ไอติม' เลี่ยงยื่นซักฟอก ใช้กลไกอื่นตรวจสอบรัฐบาลแทน
'พริษฐ์' ปัดตอบยื่นซักฟอกรัฐบาล ขอใช้กลไกอื่นของสภาตรวจสอบเข้มข้นแทน เชื่อถกแก้ รธน. วาระ 2 จบภายใน 3 วัน นัดประชุมวิปฝ่ายค้านวางกรอบ 9 ธ.ค.
โอนเงินเยียวยาน้ำท่วม สำเร็จแล้ว 4.9 พันล้าน 5 แสนครัวเรือน
'ภราดร' เผยยอดโอนเงินเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ช่วง 1-4 ธ.ค. โอนสำเร็จแล้ว 548,126 ครัวเรือน วงเงินรวม 4.9 พันล้านบาท
รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%
'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2
'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'
นายกฯ ประธานพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตร ถวายพระราชกุศล 'ร.9'
นายกฯ เป็นประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนต์ ทำบุญตักบาตรถวายพระราชกุศล เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ 'ในหลวง ร.9' วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ 5 ธ.ค. 2568
รัฐบาลคาดวันหยุดยาว คนไทยแห่เที่ยว เงินสะพัดหมื่นล้าน
รัฐบาลคาดช่วงหยุดยาว คนไทยแห่เที่ยว เงินสะพัดกว่าหมื่นล้าน เหตุอากาศเย็นสบาย-มาตรการรัฐหนุนท่องเที่ยวคึกคัก


