ธาตุแท้ของพรรคเพื่อไทยถูกประจานต่อหน้าสังคม เมื่อเร่งรีบทูลเกล้าฯถวายคำแนะนำยุบสภา ทั้งที่สภายังทำงานได้ เพียงเพื่อสกัดไม่ให้ “อนุทิน ชาญวีรกูล” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี การเคลื่อนไหวนี้มิได้สะท้อนความจำเป็นของประเทศชาติ แต่คือการใช้กติกาเป็น “อาวุธสกปรก” ปิดทางคู่แข่ง และที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือการทำให้สิ่งที่ควรอยู่เหนือความขัดแย้ง ถูกดึงลงมาอยู่ในเกมการเมืองอย่างไม่สมควร
การเมืองไทยไม่เคยหยุดผลิตรอยแผลใหม่ ทุกครั้งที่สังคมคิดว่ากำลังก้าวข้าม เรากลับถูกดึงย้อนกลับไปสู่ความจริงอันโหดร้ายว่า อำนาจมักถูกใช้เพื่อปิดทาง มากกว่าที่จะเปิดทาง ประวัติศาสตร์จึงเต็มไปด้วยการตัดตอน มากกว่าการปล่อยให้กติกาได้ทำงานจนสุดทาง
หลักฐานเพิ่งปรากฏชัด พรรคเพื่อไทย โดย ภูมิธรรม เวชยชัย ในฐานะ รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ ทูลเกล้าฯถวายคำแนะนำยุบสภาไปแล้วเมื่อวันที่ 2 กันยายน ทั้งที่สภายังทำงานต่อได้ และเมื่อมติของ พรรคประชาชน ประกาศสนับสนุน อนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีในวันถัดมา ยิ่งตอกย้ำว่าการยุบสภาครั้งนั้นมิใช่เพราะประเทศถึงทางตัน แต่คือการปิดทางไม่ให้คู่แข่งก้าวขึ้นมา
นี่ไม่ใช่การหาทางออก แต่คือการสร้างทางตัน กติกายังเดินต่อได้ กระบวนการสภายังทำงานได้ แต่เพื่อไทยกลับเลือกจะหยุดทุกอย่าง ด้วยการหยิบ การยุบสภา ซึ่งควรเป็นมาตรการสุดท้ายของระบบ มาใช้เป็น อาวุธเฉพาะหน้า
หากการตัดสินใจครั้งนี้ถูกบันทึก มันจะไม่ใช่เพียงการสะดุดของรัฐบาล แต่คือ ความชั่วร้ายครั้งใหม่ของการเมืองไทย ที่ทำให้ทั้งระบบสั่นคลอน และทิ้งตราบาปให้พรรคเพื่อไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การยุบสภา เป็น พระราชอำนาจ แต่กระบวนการเริ่มขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมี การทูลเกล้าฯ ถวายคำแนะนำจากนายกรัฐมนตรี และในกรณีนี้ ผู้ทำหน้าที่คือ ภูมิธรรม เวชยชัย ในนามรักษาการนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าจะมี พระบรมราชวินิจฉัย เช่นไร ความรับผิดชอบย่อมตกอยู่ที่ พรรคเพื่อไทยโดยตรง เนื่องจากเป็นผู้เลือกเดินหมากนี้ ทั้งที่สภายังสามารถทำงานต่อได้
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ว่า “ยุบได้หรือไม่” แต่คือ “ยุบด้วยเหตุผลใด” หากเหตุผลไม่สะอาดเพียงพอ การถวายคำแนะนำก็เท่ากับเป็น การบิดเบือนการยุบสภา ซึ่งควรเป็นทางออกสุดท้ายของระบอบ ให้กลายเป็นเครื่องมือการเมืองของพรรค มากกว่าการตัดสินใจเพื่อประเทศชาติ
ความย้อนแย้งของ พรรคเพื่อไทย ปรากฏชัด พรรคที่เคยอ้างประชาธิปไตยเพื่อสร้างความชอบธรรม วันนี้กลับเป็นผู้ทำลายมันด้วยมือตนเอง
การเลือก ทูลเกล้าฯถวายคำแนะนำยุบสภา ทั้งที่เสียงข้างมากกำลังจะปรากฏในสภา คือหลักฐานว่าเพื่อไทยไม่ยอมรับผลลัพธ์ที่ไม่เข้าทาง และพร้อมใช้ทุกวิถีทางเพื่อปิดประตูใส่คู่แข่ง
นี่จึงไม่ใช่เพียงความย้อนแย้ง แต่คือ การหักหลังต่อกติกาที่ตัวเองเคยหยิบมาเป็นเกราะบังหน้า และเมื่อหน้ากากถูกฉีกออก สิ่งที่เหลือให้สังคมเห็นคือ พรรคเพื่อไทยไม่ได้ยืนข้างประชาชน หากแต่ยืนข้างเกมอำนาจของตัวเอง
ข้อแก้ต่างที่ พรรคเพื่อไทย ยกขึ้นคือ “การยุบสภาเป็นสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ” แต่ต้องย้ำชัดว่า สิทธิ์กับความชอบธรรมไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
กฎหมายอาจเปิดทางให้ทำได้ แต่ถ้าเจตนาเบื้องหลังไม่สะอาด การใช้สิทธินั้นก็กลายเป็น การฉวยกฎหมายมาบิดเบือน เพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าของพรรค ไม่ใช่การตัดสินใจเพื่อประเทศชาติ
และเมื่อพอมติของ พรรคประชาชน ถูกประกาศในวันถัดมา ยิ่งเปิดโปงว่าการยุบสภาที่ทำไปล่วงหน้าเมื่อวันที่ 2 กันยายน ไม่ใช่ “ความจำเป็นของชาติ” แต่เป็นเพียง แผนเอาตัวรอดของพรรคที่กลัวเสียอำนาจ
สิ่งที่อันตรายกว่านั้นคือ หากเหตุผลในการยุบสภาไม่สะอาดพอ การทูลเกล้าฯถวายคำแนะนำย่อมถูกมองว่าเป็น การดึงสถาบันซึ่งควรอยู่เหนือความขัดแย้ง เข้ามาอยู่ในเกมโดยไม่จำเป็น
ภาพนี้ไม่เพียงทำให้ พรรคเพื่อไทย สูญเสียศรัทธา แต่ยังบั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบโดยรวม เพราะทำให้เกิดความรู้สึกว่า สิ่งที่ควรเป็นที่พึ่งสุดท้ายของประเทศ ถูกบดบังด้วยเกมอำนาจของพรรคหนึ่ง
นี่คือบาดแผลที่ใหญ่เกินกว่าพรรคเพื่อไทยจะรับผิดชอบลำพัง เพราะความเสียหายไม่ได้หยุดที่ตัวพรรค แต่สะเทือนไปถึง ความเชื่อมั่นในระบอบประชาธิปไตยทั้งหมด
เมื่อภาพทั้งหมดถูกต่อเรียงกัน ไม่มีสิ่งใดให้ พรรคเพื่อไทย อ้างได้อีก การตัดสินใจ ทูลเกล้าฯถวายคำแนะนำยุบสภา ทั้งที่สภายังทำงานได้ ไม่ใช่การหาทางออก แต่คือการหยุดกระบวนการเพียงเพื่อปิดทางไม่ให้คู่แข่งก้าวขึ้นมา
นี่คือการเมืองที่เปลือยตัวเองจนหมด พรรคเพื่อไทยที่เคยอ้างประชาธิปไตยเพียงเพื่อสร้างความชอบธรรม สุดท้ายกลับฉีกมันด้วยมือตัวเอง และที่ร้ายแรงยิ่งกว่าคือพร้อมจะ ดึงสถาบันที่ควรอยู่เหนือความขัดแย้งลงมาในเกม เพื่อตอบสนองผลประโยชน์เฉพาะหน้า
ทั้งหมดนี้คือ ความชั่วร้ายครั้งใหม่ของการเมืองไทย ความชั่วร้ายที่ไม่ได้เกิดจากการต่อสู้ตามครรลอง แต่จากการเลือกทางที่ทำลายศรัทธาของประชาชน และตราบาปนี้จะติดตามพรรคเพื่อไทยไปอีกนาน แม้วันหนึ่งจะพยายามกลับมาอ้างคำสวยหรูเรื่องประชาธิปไตยก็ตาม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ดร.สติธร ประเมินเลือกตั้ง “น้ำเงิน-ส้ม” สู้กันเดือด ก่อน ภูมิใจไทย โกย 150 ที่นั่ง นั่งแกนนำตั้งรัฐบาล สดใส
ดร.สติธร ธนานิธิโชติ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประเมินภาพรวมสนามเลือกตั้งครั้งใหม่ว่า แม้จะเห็นภาพ 3 สี 3 ขั้ว แต่ในทางปฏิบัติ คู่ชิงตัวจริงมีเพียง 2 พรรค คือ พรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย
มาถูกทาง! 'หมอสุภัทร' เปิดใจลงสมัคร สส. ในนามพรรคประชาชน
"หมอสุภัทร" เผยตัดสินใจสวมเสื้อพรรคส้ม ถึงเวลาที่ต้องก้าวออกจากเซฟโซน ลาออกราชการรับใช้บ้านเกิด มั่นใจหาดใหญ่ต้องดีกว่านี้
'วิโรจน์ ลักขณาอดิศร' วางมือ ตัดสินใจไม่ลงสมัครเลือกตั้ง 69
"วิโรจน์" ตัดสินใจ ไม่ลงสมัคร สส. อีก 1 ราย ต่อจาก "เท่าพิภพ" ด้าน "โตโต้" ที่ประกาศไม่ลงเขต ล่าสุดลงสมัคร สส.ปาร์ตี้ลิสต์แทน
เพื่อไทยไม่หยุดประชานิยม พร้อมสานต่อดิจิทัลวอลเล็ต ยังค้างประชาชนอีก 20 ล้านคน
นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุมเพื่อวางแผนยุทธศาสตร์ในการเตรียมความพร้อมเลือกตั้ง ว่า เรามีการประชุมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการหารือเกี่ยวกับเรื่องการเลือกตั้ง รวมถึงมีการประเมินกระแสหลังจากที่มีการเปิดตัวแคนดิเดตนายกฯ ของพรรคทั้ง 3 คนแล้วว่าเป็นอย่างไร
🛑LIVE วันนี้...เพื่อไทย ในวังวน 'ชินวัตร' | ห้องข่าวไทยโพสต์
ห้องข่าวไทยโพสต์ : วันพุธที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2568
นับหนึ่งสนามเลือกตั้ง 69 สำรวจบ้านเล็ก-บ้านใหญ่ บนแผนที่ภูมิใจไทย
หลังคณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกำหนดวันเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2569 การเมืองไทยเข้าสู่ช่วงเตรียมพร้อมอย่างเป็นทางการ

