เกมท้องถิ่น 'ลดอายุ-ไร้วาระ' สัญญาณร่วมทางภูมิใจไทยกับพรรคส้ม?

เมื่อกติกาท้องถิ่นถูกขยับจากอายุถึงวาระ การเมืองไทยจึงเผยให้เห็นรอยต่อที่ไม่ธรรมดา ระหว่างความหวังของคนรุ่นใหม่กับเครือข่ายบ้านใหญ่เก่าแก่ และการที่ “ภูมิใจไทย” ขยับเคียงกับ “พรรคส้ม” ก็กลายเป็น “สัญญาณร่วมทาง” บางอย่างที่ทำให้เกมเล็กในสภา อาจส่งแรงสะเทือนสู่สมการใหญ่ของอนาคตการเมืองไทยการเมืองไทยคล้ายการเดินบน สะพานแคบ ที่ทอดข้ามเหว ทุกก้าวเต็มไปด้วยทั้งโอกาสและความเสี่ยง พรรคภูมิใจไทย เมื่อขึ้นเป็นแกนนำรัฐบาล จึงเลือกใช้จังหวะอำนาจแรกเริ่มเพื่อขยับกติกาที่ฐานรากของการเมืองท้องถิ่น

กฎหมายที่ถูกเสนอมี สามฉบับ ครอบคลุม อบจ. อบต. และเทศบาล ซึ่งแม้จะดูเป็นเรื่องระดับท้องถิ่น แต่แท้จริงคือเส้นเลือดใหญ่ของการเมืองระดับชาติ การผ่านวาระแรกเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2568 จึงไม่ใช่แค่การลงมติธรรมดา หากแต่เป็นการส่งสัญญาณทางการเมืองถึงอนาคต

แก่นการแก้ไขมีเพียง สองข้อ แต่แรงสะเทือนครอบคลุมทั้งโครงสร้าง คือการลดอายุผู้บริหารจาก 35 เหลือ 25 ปี และการเปิดให้ดำรงตำแหน่งได้โดย ไม่จำกัดวาระ การปรับเพียงไม่กี่บรรทัดนี้กลับหมายถึงการเปลี่ยนสมการอำนาจในระดับรากหญ้าที่ส่งแรงถึงการเมืองส่วนกลาง

การลดอายุเหลือ 25 ปี ถูกอธิบายว่าเป็นการเปิดทางให้คนรุ่นใหม่มีพื้นที่ทางการเมือง การเมืองควรเป็นเวทีที่เปิดกว้างและไม่ผูกติดกับตัวเลข แต่เมื่อมองลงไปในสภาพจริงของสังคมไทย ข้อเสนอนี้ไม่ได้เรียบง่ายเช่นนั้น

คนหนุ่มสาวที่ไม่มีทั้งทุน เครือข่าย และสายสัมพันธ์ แทบไม่สามารถก้าวถึงตำแหน่งระดับนายก อบต. หรือ อบจ. ได้ ผู้ที่จะได้ประโยชน์จากการลดอายุคือ ทายาทบ้านใหญ่ ที่สืบสายการเมืองอยู่แล้ว สนามการเมืองท้องถิ่นที่ควรเป็นเวทีฝึกคนรุ่นใหม่จึงเสี่ยงกลายเป็นลู่ทางลัดของการสืบทอดทางครอบครัว

นี่คือ ดาบสองคม ด้านหนึ่งอาจสร้างโอกาสใหม่ แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับเร่งให้การผูกขาดหยั่งรากลึกกว่าเดิม

อีกประเด็นที่แรงไม่แพ้กันคือการยกเลิกเพดานวาระ เดิมกำหนดให้ผู้นำท้องถิ่นดำรงตำแหน่งได้ไม่เกินสองวาระติดต่อกัน แต่กฎหมายใหม่เปิดให้ดำรงตำแหน่งต่อไปได้โดย ไม่จำกัด พร้อมเหตุผลว่าเป็นการคืนสิทธิให้ประชาชน หากประชาชนยังเลือกซ้ำก็ถือเป็นความชอบธรรม

ในทางทฤษฎีอาจฟังดูใกล้เคียงประชาธิปไตย แต่ในความจริงเครือข่าย บ้านใหญ่ และระบบอุปถัมภ์ทำให้สนามแข่งขันไม่เสมอภาค การไร้เพดานวาระจึงไม่ต่างอะไรกับการสร้าง เก้าอี้ถาวร ให้ผู้นำท้องถิ่น ครอบครัวการเมืองสามารถยึดเก้าอี้ไว้ได้ยาวนานและส่งต่อไปยังรุ่นถัดไป

ประชาธิปไตยท้องถิ่นที่ถูกโฆษณาว่า “ปกครองตนเอง-คืนอำนาจให้ประชาชน” จึงอาจกลายเป็นเพียง ภาพลวงตา ที่ทำให้บ้านใหญ่มั่นคงกว่าเดิม

สิ่งที่น่าจับตาไม่ได้อยู่แค่เนื้อหากฎหมาย หากแต่อยู่ที่การจัดเรียงตัวทางการเมืองในสภา เพราะครั้งนี้ไม่ใช่เพียงภูมิใจไทยที่ยื่น หากยังมี พรรคประชาชน ร่วมเสนอด้วย

เหตุผลของพรรคประชาชนสอดคล้องกับภาพลักษณ์ที่สร้างไว้คือการ ผลักดันคนรุ่นใหม่ หากยังคงกำหนดอายุขั้นต่ำ 35 ปี ก็เท่ากับขัดกับแนวทางที่ยึดถือ พรรคนี้จึงเลือกที่จะเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกับภูมิใจไทย แม้จะอยู่ในบทบาทฝ่ายค้านก็ตาม

การเคลื่อนไหวเช่นนี้จึงไม่ใช่เพียงการสนับสนุนในรายละเอียด แต่คือ สัญญาณร่วมทาง ที่ทำให้ตั้งข้อสังเกตได้ว่า อนาคตอาจมีการเชื่อมมือที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น

เมื่อมองย้อนกลับไป พรรคประชาชนเคยโหวตสนับสนุนให้นาย อนุทิน ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และในครั้งนี้ก็ยังร่วมกับภูมิใจไทยในการเสนอร่างกฎหมายเดียวกัน ความต่อเนื่องเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

การเคลื่อนไหวนี้แสดงให้เห็นว่าทั้งสองฝ่ายต่างมี จุดร่วม ที่สามารถนำไปใช้เป็นประโยชน์ได้ ภูมิใจไทยได้เครดิตจากการขยับกติกา ส่วนพรรคประชาชนก็ยืนยันบทบาทของตนในฐานะ พรรคคนรุ่นใหม่ ที่ไม่ขัดแย้งกับแนวทางของตนเอง

ปรากฏการณ์นี้จึงเป็น สมการใหม่ของการเมืองไทย ที่ทำให้เกิดคำถามว่า หลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ทั้งสองพรรคอาจไม่ได้หยุดเพียงการเสนอร่วมในสภา แต่อาจก้าวไปถึงการจับมือจัดตั้งรัฐบาลร่วมกัน

แต่เมื่อหันกลับมาที่แก่นของกฎหมาย คำถามก็ยังไม่คลาย การลดอายุเหลือ 25 ปี อาจสอดคล้องกับเกณฑ์ของ สส. ทว่าเก้าอี้นายก อบจ. หรือ นายกเทศบาล และนายกอบต. ไม่ใช่เวทีปราศรัยเหมือนในสภา หากคือพื้นที่บริหารจริง ที่ต้องจัดการงบประมาณ จัดทำโครงการและประสานงานกับราชการในระดับพื้นที่

สังคมไทยยังคงคาดหวังให้ผู้นำท้องถิ่นเป็น ผู้ใหญ่บ้านเมือง ผู้ที่มีวุฒิภาวะและประสบการณ์ การลดอายุจึงเสี่ยงถูกมองว่าเป็นการ ลดมาตรฐาน มากกว่าการเปิดโอกาส เพราะสวนทางกับภาพลักษณ์ผู้นำที่ประชาชนจำนวนมากคุ้นเคย

หากมองคู่ขนานกับ การปกครองท้องที่ อย่าง กำนัน และ ผู้ใหญ่บ้าน ภาพจะยิ่งชัดเจน ตำแหน่งเหล่านี้สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่อายุ 25 ปี แต่เมื่อก้าวเข้าแล้วกลับอยู่ยาวไปจนถึง 60 ปี รวมเวลากว่า 30–35 ปีโดยแทบไม่มีการเปลี่ยนมือ

แม้กฎหมายจะเปิดช่องให้ร้องเรียนหรือถอดถอน แต่ในความจริงชาวบ้านจำนวนมากมัก ปล่อยเลยตามเลย ไม่มีทั้งเวลาและแรงที่จะต่อสู้กับผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ตำแหน่งกำนันและผู้ใหญ่บ้านจึงกลายเป็น เก้าอี้ที่หยั่งรากลึก และแทบแตะต้องไม่ได้

หากผู้นำท้องถิ่นในระบบใหม่สามารถเริ่มได้ตั้งแต่อายุ 25 ปีและไม่มีเพดานวาระ ภาพที่เกิดขึ้นก็อาจไม่ต่างอะไรกับกำนันผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งอยู่ในตำแหน่งจนแข็งตัวและไม่เปิดพื้นที่ให้ความเปลี่ยนแปลง

ประเด็นเรื่องวาระดำรงตำแหน่งจึงมีน้ำหนักมากกว่าเดิม เพราะมันไม่ใช่เพียงการจัดการตำแหน่ง แต่คือการวาง ฐานอำนาจระยะยาว พรรคที่สามารถเชื่อมกับผู้นำท้องถิ่นเหล่านี้ได้ จะครอบครอง คลังคะแนนถาวร ที่พร้อมส่งต่อไปยังการเมืองระดับชาติทุกครั้งที่มีการเลือกตั้ง

สำหรับภูมิใจไทย นี่คือการลงทุนที่คุ้มค่าอย่างยิ่ง ขณะที่พรรคอื่น โดยเฉพาะ เพื่อไทย ย่อมรู้สึกถึงแรงกดดัน เพราะฐานบ้านใหญ่ที่เคยเป็นของตนอาจถูกดูดไปอยู่ในเครือข่ายใหม่ที่มั่นคงกว่า และเมื่อพรรคประชาชนเลือกเดินเคียงกันในครั้งนี้ ภาพความเป็นไปได้ของการร่วมทางในอนาคตจึงชัดเจนมากขึ้น

แรงสะท้อนจากสังคมต่อกฎหมายนี้แบ่งออกเป็นสองขั้ว ขั้วหนึ่งมองว่าการลดอายุคือการ เปิดทางให้คนรุ่นใหม่ ได้มีเวทีสร้างสรรค์ อีกขั้วกลับเห็นว่าเป็นเพียง กลไกสืบทอดอำนาจของบ้านใหญ่ ที่ปรับรูปแบบใหม่ให้ถูกต้องตามกฎหมาย

การลดอายุจึงถูกตั้งคำถามว่ามีแต่ ทายาทการเมือง ที่พร้อมใช้ประโยชน์จริง ส่วนการไม่มีเพดานวาระก็ยิ่งเพิ่มความกังวลว่าจะสร้างผู้นำท้องถิ่นที่ยึดเก้าอี้ต่อเนื่องจนการแข่งขันแทบไม่เหลืออยู่ เมื่อสองเสียงนี้ปะทะกัน กฎหมายจึงกลายเป็นพื้นที่ก้ำกึ่งระหว่าง ความหวัง กับ ความระแวง

ร่างกฎหมายท้องถิ่นทั้งสามฉบับเผยให้เห็นมากกว่าการแก้ถ้อยคำในพระราชบัญญัติ มันคือการจัดวางหมากใหม่ของพรรคการเมืองหลัก ภูมิใจไทย ใช้กติกานี้เพื่อขยายอำนาจลงสู่ฐานราก ขณะที่ พรรคประชาชน ก็เลือกผลักดันในประเด็นเดียวกันอย่างเปิดเผย การที่ทั้งสองพรรคเสนอร่วมกันจึงกลายเป็น สัญญาณร่วมทาง ที่สังคมไม่อาจมองข้าม

สิ่งที่ถูกเปิดขึ้นมาคือเกมท้องถิ่น “ลดอายุ-ไร้วาระ” ที่เผยให้เห็นจังหวะร่วมทางระหว่างภูมิใจไทยกับพรรคส้ม และนี่อาจเป็น จิ๊กซอว์ชิ้นใหม่ ของการเมืองไทย ที่จะบอกได้ว่าเส้นทางข้างหน้าคือการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ หรือการสืบทอดอำนาจในรูปแบบที่เปลี่ยนเพียงเครื่องแต่งกาย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'กัณวีร์' โร่แจงโดนปลดพ้นเลขาฯพรรคเป็นธรรม

นายกัณวีร์ สืบแสง สส.พรรคเป็นธรรม โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตามที่พรรคเป็นธรรมได้ออกแถลงการณ์เรื่องการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งภายในพรรค และมีมติปลดผมออกจากตำแหน่งเลขาธิการพรรค ผมขอเรียนชี้แจงต่อสาธารณชนและพี่น้องประชาชนดังต่อไปนี้