กรมพระศรีสวางควัฒนฯ ทรงเปิดกองทุน 'หทัยทิพย์' พระราชทานเงิน 1 ล้าน ทุนตั้งต้นสร้างกำแพงชายแดนไทย-กัมพูชา

กรมพระศรีสวางควัฒนฯ ทรงเปิดกองทุน“หทัยทิพย์” พระราชทานเงิน 1 ล้านเป็นทุนตั้งต้น สร้างกำแพง-บังเกอร์ชายแดนไทย-กัมพูชา พระสังฆราชประทาน 1 แสนช่วยสมทบ

24 กันยายน 2568 - เวลา 13.58น. ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จไปทรงเปิดโครงการ “กองทุนหทัยทิพย์” ภายใต้มูลนิธิจุฬาภรณ์ ณ ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ เขตหลักสี่ กรุงเทพมหานคร

การนี้ พระราชทานพระวโรกาสให้ รองศาสตราจารย์ ดร.ชูศักดิ์ ลิ่มสกุล รองประธานสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ ฝ่ายบริหารและอาคารสถานที่ กราบทูลรายงานวัตถุประสงค์การจัดตั้ง กองทุนหทัยทิพย์ ซึ่งศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี มีพระดำริให้จัดตั้งขึ้น พร้อมทรงรับเป็นประธานกรรมการบริหารกองทุน ด้วยทรงยึดมั่นในพระปณิธานในการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของประชาชนชาวไทยให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยที่ยั่งยืนแก่ประเทศชาติและประชาชนในทุกสถานการณ์ ทั้งนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบันมีความน่าเป็นห่วงอย่างยิ่งในความปลอดภัยในกำลังพลแนวหน้า และประชาชนที่อยู่บริเวณชายแดน จึงเห็นควรสนับสนุนการสร้างกำแพงและบังเกอร์ชายแดนไทย-กัมพูชา เป็นอันดับต้น โดยพิจารณาจากจุดที่มีความเป็นไปได้และมีความจำเป็นเร่งด่วน เพื่อความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชน โดยจะดำเนินการร่วมกับหน่วยงานเกี่ยวข้องเพื่อดำเนินการโดยเร็วที่สุด

โอกาสนี้ มีพระดำรัสเปิดกองทุนหทัยทิพย์ ความว่า “ ข้าพเจ้ามีความยินดีอย่างยิ่ง ที่ได้มาทำพิธีเปิด ” กองทุนหทัยทิพย์" ในวันนี้ การจัดตั้ง "กองทุนหทัยทิพย์" เป็นความตั้งใจของข้าพเจ้า ที่จะให้การสนับสนุนการดำเนินงานของภาครัฐและเอกชนในการป้องกันและแก้ไขปัญหาวิกฤตความมั่นคงและความปลอดภัยของประชาชนและประเทศชาติ อันเกิดจากปัญหาความไม่สงบ หรือเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดภยันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สิน และอธิปไตยของชาติ และยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น

"กองทุนหทัยทิพย์" จึงถือกำเนิดขึ้นจากความตั้งใจของข้าพเจ้าที่จะรวมพลังของทุกฝ่ายให้การบรรเทาทุกข์และสร้างความสงบสุขแก่ปวงชนชาวไทย ข้าพเจ้าขอมอบเงินส่วนตัวจำนวน 1,000,000 บาท สมทบ "กองทุนหทัยทิพย์" เพื่อเป็นเงินทุนตั้งต้นในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในกิจกรรม หรือโครงการสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ ตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุนฯ สร้างความปลอดภัยและบรรเทาผลกระทบต่อประชาชน และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานให้สามารถดำรงชีวิตต่อไปอย่างปกติสุข

ส่วนตัวของข้าพเจ้าจะพยายามแสวงหาเงินมาสมทบทุนกองทุนนี้เพิ่มเติมอีกจำนวน 20 ล้านบาท ในอนาคตอันใกล้ เพื่อให้กองทุนสามารถเริ่มดำเนินกิจการต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าหวังว่า จะได้รับความร่วมมือร่วมใจจากพวกเราชาวไทยทุกคนช่วยให้“กองทุนหทัยทิพย์”สามารถดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ต่อไปด้วยความเรียบร้อย สร้างความั่นคง และเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย โดยเฉพาะในบริเวณชายแดนสืบไป”

การนี้ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารีพระราชทานเงินเพื่อเป็นทุนตั้งต้นกองทุนในการขับเคลื่อนการดำเนินงานในกิจกรรมและโครงการสาธารณประโยชน์ ด้านต่าง ๆ ภายใต้การบริหารจัดการของคณะกรรมการบริหารกองทุนฯ โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญ คือ เพื่อให้การสนับสนุนภาครัฐ เอกชน และประชาชนในการป้องกัน และแก้ไขปัญหาอันเกิดจากสถานการณ์ความไม่สงบ ความขัดแย้ง ภัยพิบัติต่าง ๆ หรือเหตุการณ์ที่ก่อให้เกิดภยันตรายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนชาวไทย

จากนั้น พระราชทานพระวโรกาสให้คณะผู้บริหาร และเจ้าหน้าที่จากสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ สถาบันบัณฑิตศึกษาจุฬาภรณ์ ราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ คณะกรรมการมูลนิธิจุฬาภรณ์ คณะกรรมการบริหารกองทุนหทัยทิพย์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และผู้แทนจากหน่วยงานต่าง ๆ ร่วมเข้าเฝ้าทูลเกล้าฯ ถวายเงินโดยเสด็จพระกุศลสมทบทุน “กองทุนหทัยทิพย์”

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สมเด็จพระสังฆราช ประทานทรัพย์จำนวน 100,000 บาท สมทบกองทุน และสมเด็จพระมหาวีรวงศ์ สมทบเงิน 100,000 บาท สมทบกองทุนด้วยเช่นกัน

“กองทุนหทัยทิพย์” ภายใต้มูลนิธิจุฬาภรณ์ จึงถือกำเนิดขึ้นจากพระกรุณาธิคุณและพระปณิธานอันแน่วแน่ของศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ในฐานะประธานกรรมการบริหารกองทุน ที่ทรงมุ่งหวังสร้างความเจริญมั่นคง และความผาสุกร่มเย็นมาสู่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทย แม้ในห้วงเวลาที่ประเทศกำลังประสบปัญหาวิกฤตชายแดน พระองค์ยังทรงทุ่มเทอุทิศกำลังพระวรกายและพระสติปัญญาอย่างเต็มที่ เพื่อทรงแสวงหาแนวทางในการพระราชทานความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนและเป็นรูปธรรม ดังพระประสงค์ในการจัดตั้ง “กองทุนหทัยทิพย์” ที่จะเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนภาครัฐ เพื่อบรรเทาความทุกข์ยาก และความเดือดร้อนของเหล่าทหารที่ปฏิบัติภารกิจป้องกันชายแดน รวมถึงประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ให้สามารถดำเนินชีวิตและก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปได้อย่างปลอดภัยในเร็ววัน

คณะกรรมการบริหารกองทุนหทัยทิพย์ ขอเชิญพี่น้องประชาชนจากทุกภาคส่วนร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการแสดงพลังปกป้องอธิปไตยของชาติ เพื่อการบรรเทาทุกข์และสร้างประโยชน์สุขสู่ประชาชนในพื้นที่ชายแดนอย่างยั่งยืน โดยบริจาคเงินสมทบ “กองทุนหทัยทิพย์” ได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ สาขาหลักสี่พลาซ่า ชื่อบัญชี "เงินกองทุนหทัยทิพย์" เลขที่ 229-4-29977-7 หรือ สอบถามเพิ่มเติม ได้ที่ สำนักงานกองทุนหทัยทิพย์ โทรศัพท์ 0-2553-8618-19 ในวันและเวลาราชการ

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ปิดด่าน 5 เดือน การค้าชายแดนคลองใหญ่เสียหาย 5 พันล้าน สินค้าเถื่อนทะลัก วอนรัฐบาลเยียวยา

เศรษฐกิจการค้าชายแดนคลองใหญ่ทรุดหนัก เสียหาย 5 พันล้าน ท่องเที่ยววูบปิดท่าเรือหนี ผู้ประกอบการจี้รัฐเยียวยา หลังปิดด่าน 5 เดือน ขณะสินค้าเถื่อนทะลักเข้า-ออก

นายกฯ ลั่นหากเกิดเหตุชายแดนหลังยุบสภา รัฐบาลรักษาการยังมีอำนาจสนับสนุนเต็มที่

นายกฯ ย้ำไม่มีปัจจัยบอกเหตุ ก็ต้องมีแผนป้องกัน โดยเฉพาะตามแนวชายแดน มั่นใจผู้ว่าฯ ดูแลได้ หากอยู่ในช่วงยุบสภา ปฎิเสธข่าวการเจรจาที่ออตตาวาไม่เป็นผล

กรมพระศรีสวางควัฒนฯ พระราชทานเงิน 121 ล้าน สร้างรั้วชายแดน บังเกอร์ หลุมหลบภัย ถนนตรวจการณ์

ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี เสด็จออก ณ ห้องประชุม ชั้น 11 อาคารอัครราชกุมารี โรงพยาบาลจุฬาภรณ์ พระราชทานพระวโรกาสให้ คุณหญิง

นายกฯ สั่งผู้ว่าฯ 7 จว.ชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องมีความพร้อมเต็มที่ ดูแล-อพยพประชาชน

นายกฯ มอบนโยบายชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน สั่งผู้ว่าฯ 7 จังหวัดเตรียมแผนดูแลประชาชน เผย ยืมสตาร์ลิงค์ทหารไว้สื่อสารแล้วเปรียบ ”ชรบ.“ เป็นกำแพงมหึมาดูแลแนวหลังให้ปลอดภัย - สร้างความสบายใจให้ทหารไม่ต้องพะวงหลังห่วงครอบครัว ชี้ ใครคิดรบกับไทยคงประสาทไม่ดี

โถ! ทภ.2 เรียกร้องกัมพูชาหยุดวางทุ่นระเบิด ย้ำธำรงความสัมพันธ์ฉันมิตรเพื่อนบ้าน

รายงานข่าวจากกองทัพภาคที่ 2 เปิดเผยว่า จากการรวบรวมหลักฐานเชิงประจักษ์ในพื้นที่ชายแดนไทย–กัมพูชา ที่พื้นที่เกิดเหตุเมื่อปี พ.ศ. 2568