ในวันที่ประชาธิปัตย์เผชิญความตกต่ำชื่อของ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีว” ถูกหยิบขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง กระแสที่ผลักดันให้เขา “คัมแบ็ก” อาจไม่ใช่เพียงการโหยหาอดีต แต่สะท้อนโจทย์ใหญ่กว่านั้นว่า พรรคเก่าแก่จะปรับตัวอย่างไรท่ามกลาง “โลกใหม่” ที่การเมืองไม่ได้แข่งขันเพียงตัวบุคคล หากแต่แบ่งกันด้วยอุดมการณ์ ความเร็ว และวิธีสื่อสารที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
การเมืองไทยในห้วงเวลาที่ผันผวน มักพาคนย้อนกลับไปมองพรรคการเมืองที่เคยเป็น สัญลักษณ์ของความต่อเนื่องทางการเมือง อย่าง ประชาธิปัตย์ พรรคที่แม้จำนวนที่นั่งในสภาจะลดต่ำลงทุกครั้ง แต่ชื่อยังคงอยู่ในบทสนทนาของสังคม
เดือนที่ผ่านมา การลาออกของหัวหน้าพรรค เฉลิมชัย ศรีอ่อน ได้จุดประกายคำถามใหม่ ใครจะเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งในช่วงที่พรรคกำลังเผชิญภาวะตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ท่ามกลางความคลุมเครือนั้น ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับปรากฏเด่นขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งจากเสียงแฟนคลับ และการเคลื่อนไหวของอดีตสมาชิกที่หวนกลับคืนพรรค เพื่อหนุนให้เขากลับมารับบทนำ แม้กระบวนการเลือกหัวหน้าพรรคใหม่ยังไม่เกิดขึ้นจริง
การเคลื่อนไหวนี้สะท้อนความหวัง พร้อมกันนั้นยังทำให้เกิดคำถามว่า การที่สังคมเรียกร้องให้อภิสิทธิ์คืนสู่สมรภูมิ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้น หรือเป็นเพียงการทบทวนความทรงจำของพรรคเก่าแก่ที่เคยรุ่งเรือง ท่ามกลางโลกใหม่ทางการเมืองที่เปลี่ยนเร็วกว่าเดิม
ชื่อของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ได้กลับมาเพราะความบังเอิญ หากเป็นผลจากเส้นทางยาวนานที่ดำเนินอยู่ในพรรคประชาธิปัตย์เกือบทั้งชีวิตทางการเมือง
จากวันแรกที่ก้าวเข้าสภาในฐานะ สส. รุ่นหนุ่ม อภิสิทธิ์ถูกมองว่าเป็น “ความหวังใหม่” ของพรรค ภาพลักษณ์สุภาพ การศึกษาระดับนานาชาติ และความสามารถด้านภาษาอังกฤษ ทำให้สื่อเคยยกให้เป็นนักการเมืองที่สะท้อนความเป็นสากลของประเทศ
ตลอดเส้นทางในพรรค ค่อยๆไต่ระดับขึ้นจนก้าวสู่ตำแหน่งหัวหน้าพรรค และในที่สุดได้เป็น นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ของไทย แม้การขึ้นสู่อำนาจจะเกิดจาก การเปลี่ยนขั้วเสียงในสภาในปี 2551 ไม่ใช่ผลลัพธ์จากชัยชนะการเลือกตั้งใหญ่ แต่ก็ทำให้ประชาธิปัตย์ได้สัมผัสตำแหน่งสูงสุดของฝ่ายบริหาร
สิ่งที่ทำให้อภิสิทธิ์ต่างจากนักการเมืองหลายคน คือความใส่ใจใน ภาพลักษณ์ความสุจริต และท่าทีที่พยายามยืนอยู่บน หลักการ
เมื่อพูดถึงจุดแข็งของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ภาพลักษณ์ความสุภาพสะอาดคือสิ่งที่ถูกหยิบขึ้นมาก่อนเสมอ ในสายตาคนจำนวนไม่น้อย นี่คือผู้นำที่ยากจะเชื่อมโยงกับ คอร์รัปชัน หรือผลประโยชน์แอบแฝง
อีกด้านคือวิธีการสื่อสาร อภิสิทธิ์เลือก อธิบายมากกว่าปลุกเร้า การเมืองที่ดูซับซ้อนถูกทำให้ง่ายขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เรียบและมีเหตุผล จุดนี้สร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้สนับสนุนว่าพรรคยังมีผู้นำที่ยืนอยู่บน หลักการ
แต่ข้อจำกัดก็ปรากฏชัด พรรคที่มีอภิสิทธิ์นำไม่สามารถสร้าง พลังมวลชน ได้มากพอ ขาดแรงสั่นสะเทือนในสนามเลือกตั้ง และไม่เคยชนะการเลือกตั้งใหญ่ด้วยเสียงข้างมาก ทำให้ถูกวิจารณ์ว่าไร้ฐานเสียงมหาชนรองรับ
นี่คือภาพซ้อนในสายตาสังคม ผู้นำที่ โปร่งใสและมีเหตุผล แต่ยังไม่เคยพาพรรคก้าวข้ามความตกต่ำได้จริง
การเมืองไทยวันนี้ไม่ได้ยืนอยู่บนเงื่อนไขแบบเดิมอีกต่อไป ฐานเสียงไม่ได้วัดกันเพียงจากภาพผู้นำ หากสะท้อนถึงพลังของผู้คนที่มีวิธีคิดและการสื่อสารเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกันในทุกช่วงวัย นี่คือบริบทของ “โลกใหม่” ที่ทุกเจเนอเรชันต้องเรียนรู้ร่วมกัน
ปรากฏการณ์ โหวตเตอร์ยุคใหม่ จึงไม่ได้หมายถึงอายุเท่านั้น แต่ยังรวมถึง วิธีคิดและภาษาการเมือง ที่แตกต่างจากเดิม พรรคใดไม่สามารถเชื่อมโยงกับความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ก็จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ไม่ว่าผู้นำจะมีประสบการณ์มากเพียงใดก็ตาม
นี่คือโจทย์ใหญ่ของประชาธิปัตย์ หากการถูกผลักชื่ออภิสิทธิ์ขึ้นมาอีกครั้งจะมีความหมายจริง พรรคต้องอธิบายให้ได้ว่าจะ ก้าวทันสังคมในโลกใหม่ ที่ทุกเจเนอเรชันต้องอยู่ร่วมกันอย่างไร เพราะสิ่งที่รออยู่ไม่ใช่เพียงการเลือกหัวหน้าพรรค แต่คือการหาคำตอบว่าพรรคประชาธิปัตย์จะ ปรับตัว ได้หรือไม่ในโลกการเมืองยุคใหม่ที่เต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงร่วมกัน
และเหนือสิ่งอื่นใด พรรคยังต้องเผชิญหน้ากับสนามจริงที่คู่แข่งรายล้อมอยู่รอบด้าน แต่ละพรรคต่างมีเส้นทางและวิธีเล่นเกมการเมืองในแบบของตนเอง รอทดสอบว่าประชาธิปัตย์พร้อมแค่ไหนที่จะยืนหยัดในสมรภูมิที่ เปลี่ยนไปแล้วโดยสิ้นเชิง
เมื่อมองไปยังคู่แข่งรอบด้าน จะเห็นว่าทุกพรรคต่างเร่งขยับตัวในแบบของตนเอง
พรรคประชาชน เติบโตอย่างรวดเร็วใน เมืองใหญ่ ด้วยการสื่อสารที่ตรงกับคนรุ่นทำงานและวัยรุ่น ใช้ภาษาและประเด็นที่เข้าถึง ชีวิตจริง จนกลายเป็นพรรคที่ยึดพื้นที่เชิงภาพลักษณ์ได้มากขึ้นเรื่อยๆ และสร้าง แรงดึงดูดทางการเมืองแบบใหม่ ที่คู่แข่งไม่อาจมองข้าม
พรรคภูมิใจไทย ในฐานะแกนนำรัฐบาลปัจจุบัน กำลัง ขยายอิทธิพลเชิงพื้นที่และการเมือง นักการเมืองจากพรรคอื่นจำนวนไม่น้อยเริ่มมองว่าที่นี่คือพรรคที่ มั่นใจและปลอดภัยกว่า การไหลเข้าของ สส. และหัวคะแนนเช่นนี้ทำให้ภูมิใจไทยดูพร้อมจะรักษาความได้เปรียบในเกมอำนาจต่อไป
ขณะเดียวกัน พรรคเพื่อไทย อดีตคู่แข่งสำคัญของประชาธิปัตย์ กำลังเผชิญ การเสื่อมศรัทธา จากประชาชน พรรคที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็น ความหวังใหญ่ กำลังทรุดหนักลงต่อเนื่อง ภาพลักษณ์ไม่สามารถสร้าง แรงเชื่อมั่น ได้เหมือนในอดีตอีกต่อไป
ท่ามกลางสมการที่คู่แข่งต่างขยับตัวเช่นนี้ การหยิบชื่อ อภิสิทธิ์ ขึ้นมาอีกครั้ง จึงอาจถูกมองว่าเป็น “หน้าต่างแห่งโอกาส” หากวันหนึ่งเขาเลือกคืนสู่สนามและสามารถทำให้ประชาธิปัตย์กลับมาเป็น ทางเลือกที่น่าเชื่อถือ ท่ามกลางความเหนื่อยล้าของประชาชนจากการเมืองแบบแบ่งขั้ว ในโลกใหม่ที่เน้นความเร็วและความชัดเจน
แต่เส้นทางของการกลับมาไม่ได้ราบรื่นอย่างที่หลายคนคาดหวัง พรรคประชาธิปัตย์ไม่เหลือ ฐานเสียงดั้งเดิม ที่แข็งแรงเหมือนในอดีต ภาคใต้ซึ่งเคยเป็นพื้นที่หลักถูกแบ่งปันไปแล้วโดยพรรคอื่น เมืองใหญ่ที่เคยมีอิทธิพลก็ถูกแย่งชิงเกือบหมด ขณะที่คนรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อยแทบไม่รู้สึกผูกพันกับชื่อพรรคอีกต่อไป
สิ่งที่ยังคงเป็นแต้มต่อคือ ภาพลักษณ์ความโปร่งใส และ ความน่าเชื่อถือเชิงนโยบาย อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไม่ถูกมองว่าผูกโยงกับทุนการเมืองใหญ่ และยังมีเครดิตในสายตาของประชาชนบางกลุ่มที่เบื่อหน่ายการเมืองแบบแข็งกร้าวหรือ การขายฝันเกินจริง
ดังนั้นโอกาสของเขาจึงไม่ได้อยู่ที่การยึดฐานเก่า แต่คือการสร้าง “พื้นที่ใหม่” สำหรับผู้ที่กำลังมองหาทางเลือกการเมืองที่ พอดี ไม่สุดโต่ง และไม่อิงกับเกมอำนาจที่แข็งทื่อเหมือนเดิม
สิ่งสำคัญในตอนนี้จึงไม่ใช่การวัดว่า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะกลับมาเด่นดังเพียงใด แต่คือการที่พรรคประชาธิปัตย์จะใช้ “กระแสเรียกร้องให้เขากลับมา” ให้เกิดประโยชน์ได้อย่างไร
แม้เขาอาจไม่ใช่แม่เหล็กที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ทั้งหมด แต่ยังสามารถทำหน้าที่เป็น ใบหน้าที่สร้างความเชื่อมั่น ให้กับผู้เลือกตั้งที่กำลังลังเล และผู้ที่เบื่อหน่ายกับการเมืองที่แบ่งเป็น สองขั้วสุดโต่ง ในปัจจุบัน
หากพรรคสามารถใช้ชื่อของอภิสิทธิ์เป็น หลักประกันความน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้สร้าง ภาษาการเมืองและแนวทางของตนเอง ก็อาจเกิดการผสมผสานระหว่าง สองโลก ที่ต่างกัน แต่เกื้อหนุนซึ่งกันและกันได้จริง
การหยิบชื่อขึ้นมาอีกครั้งจึงไม่ได้หมายถึงการชุบชีวิตอดีต หากแต่เป็นการใช้ชื่อเดิมที่ยังมีน้ำหนัก เพื่อเปิดทางให้พรรคก้าวเดินต่อ ในอนาคตของโลกใหม่
การเมืองไทยปัจจุบันไม่ได้แข่งขันกันเพียงตัวบุคคลหรือพรรค แต่ถูกเล่าผ่านกรอบใหญ่ของ สองอุดมการณ์ ที่สังคมพูดถึงเสมอมา คือ เสรีนิยม กับ อนุรักษนิยม
ฝ่ายหนึ่งเชื่อใน สิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียม และการปฏิรูปเชิงโครงสร้างทางสังคม ขณะที่อีกฝ่ายยึดโยงกับ ความต่อเนื่องทางวัฒนธรรม ความสัมพันธ์กับ สถาบันหลัก และ ความมั่นคงทางสังคม
ปัญหาของประชาธิปัตย์คือยังไม่สามารถบอกกับสังคมได้ชัดว่า ตัวเองจะ ยืนตรงไหน ระหว่างเส้นแบ่งนี้ หากเพียงเป็นพรรคกลางเก่ากลางใหม่โดยไม่ประกาศ อุดมการณ์ ก็เสี่ยงจะกลายเป็น “พรรคที่ไร้ตัวตน” ในสนามที่ถูกแบ่งอย่างชัดเจน
ตรงนี้เองทำให้โจทย์ของประชาธิปัตย์ไม่ใช่เพียงการฟื้นโครงสร้างพรรค แต่คือการ นิยามอุดมการณ์ใหม่ หากจะยืนหยัดได้ พรรคอาจต้องเลือกเส้นทาง “อนุรักษนิยมก้าวหน้า” ที่ผสมผสานการยึด หลักประชาธิปไตย กับการรักษา รากฐานสังคมไทย ซึ่งรวมทั้ง สถาบัน วัฒนธรรม และคุณค่าที่ผู้คนจำนวนมากยังผูกพันอยู่ เพื่อให้สอดคล้องกับ โลกใหม่ที่แสวงหาความชัดเจนทางความคิด
แต่ การประกาศอุดมการณ์ เพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ หากปราศจาก การถ่ายทอดสู่การปฏิบัติจริง
สิ่งที่ประชาธิปัตย์ต้องทำ คือทำให้อุดมการณ์ดังกล่าว แปลงเป็นนโยบายและท่าทีทางการเมืองที่จับต้องได้ เช่น เสนอ การปฏิรูปการศึกษา ให้ทันสมัยโดยไม่ทิ้งรากฐานทางวัฒนธรรมไทย ผลักดัน มาตรการลดความเหลื่อมล้ำ ที่ไม่ใช่เพียงประชานิยม แต่เป็น การสร้างโอกาสระยะยาว และยืนหยัดกับการเมืองที่ เคารพกติกาประชาธิปไตย โดยไม่หวั่นไหวกับเกมต่อรอง
หากทำได้ การที่ชื่อของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกผลักขึ้นมาในห้วงเวลานี้ จะไม่ใช่เพียงการคืนความทรงจำ แต่จะทำให้ประชาธิปัตย์มี จุดยืนทางความคิดที่ชัดเจน ท่ามกลางสังคมที่กำลังแสวงหาทางเลือกใหม่ระหว่างสองอุดมการณ์ใหญ่ในโลกใหม่
การเอ่ยถึง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อย่างกว้างขวางในวันนี้ จึงไม่ใช่เรื่องของคนคนเดียว แต่คือ ช่วงเวลาชี้ชะตา ว่าพรรคประชาธิปัตย์ยังจะยืนได้ในยุคนี้หรือไม่
หากมองด้วยสายตาแห่งความหวัง เขาอาจเป็น สัญลักษณ์ของความสุภาพและความโปร่งใส ที่ทำให้ผู้คนยังมองเห็นเหตุผลที่จะเชื่อใจพรรค
แต่หากมองด้วยสายตาแห่งความจริง พรรคอาจเพียงกำลังใช้ชื่อเดิมเพื่อยืดเวลาอยู่ในเกม โดยที่โลกการเมืองหมุนไปไกลกว่าที่จะหวนกลับมาได้
ทั้งหมดนี้คือโจทย์ที่สังคมไทยกำลังเฝ้าดู ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ในโลกใหม่ จะฟื้นได้จริง หรือเหลือเพียงความทรงจำที่ยังไม่ถูกลบเลือน.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
'กรณ์' แนะ ปปง. ยึดทรัพย์สแกมเมอร์รายใหญ่ ต้องสาวให้ถึงคนไทย แฉพยายามโยกย้ายทรัพย์สิน
นายกรณ์ จาติกวณิช รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า จากการที่พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเอกสารหลักฐานชี้ให้เห็นถึงธุรกรรมที่ผิดปกติเกี่ยวโยงกับบุคคลที่ถูกกล่าวหา โดยสภาคองเกรสของสหรัฐอเมริกาว่าเกี่ยวโยงกับวงการสแกมเมอร์ และอาจจะเป็นกิจกรรมที่สะท้อนถึงความพยายามในการฟอกเงินที่ได้มาจากธุรกรรมเหล่านั้น
'อภิสิทธิ์' ลั่น ปชป.พร้อมคัดสรรบุคคลลงเลือกตั้ง
'อภิสิทธิ์' เผย 'ปชป.' พร้อมคัดสรรบุคคลลงเลือกตั้ง สั่ง 'รองหัวหน้าพรรค' เตรียมการ หลัง 'กกต.' ประกาศเขตเลือกตั้งใหม่ จนนครศรีธรรมราชหาย 1 เขต
มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน
คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า
ขนลุก! กูรูใหญ่ สาปแช่งพรรคเพื่อไทย หลังข่าวซูเอี๋ยพรรคส้ม
ความคิดที่เพื่อไทยและประชาชนจะจับมือกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งแล้วเลื่อนการอภิปรายไม่ไว้วางใจ คือท่าดีทีล้มละลายทางการเมือง
อยากได้ก็ตั้งให้! ‘นิพิฏฐ์’ แนะนำ ‘อนุทิน’ ใช้นามสกุล ‘โอษฐภัย’
นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความเรื่อง “โอษฐภัย” โดยมีรายละเอียดว่า ผมฟังท่านนายกรัฐมนตรี อ
เทพไท ไม่แปลกใจ 'อภิสิทธิ์-ปชป.' ฉุดกระแสใต้คืนชีพ ห่วง สส.เขต โดนกระสุนดินดำเอาไปกิน
เทพไท ชี้ ผลการสำรวจของนิด้าโพล อาจวัดความนิยมของพรรคการเมือง และจะบ่งบอกถึงส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ แต่สำหรับส.ส.ในระบบเขต ยังเชื่อว่าพรรคการเมืองที่มีทรัพยากรพร้อม มีกระสุนดินดำเป็นจำนวนมาก และยิงเข้าเป้า ก็จะมีโอกาสชนะการเลือกตั้ง


