เส้นบางๆ ระหว่างอารมณ์ชาติกับเหตุผลของรัฐ บนพรมแดนไทย-กัมพูชาที่จบไม่ลง

ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ไม่ใช่เพียงข้อพิพาทระหว่างสองประเทศ หากสะท้อนการเดินบนเส้นบางๆ ที่ต้องประคอง “หัวใจที่ร้อนของผู้คน” กับ “สมองที่เย็นของผู้มีอำนาจ” ให้ไปด้วยกัน โดยไม่ทำให้ชาติเสียศักดิ์ศรีหรือหลงอารมณ์จนเสียทิศทางบางเรื่องของบ้านเมืองก็เหมือนเส้นด้ายที่พันอยู่ในมือ ยิ่งดึงแรงเท่าไร ยิ่งแน่นขึ้นเท่านั้น ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชา เป็นเส้นด้ายนั้น ทุกครั้งที่ลมการเมืองพัด เงื่อนเก่าก็กลับมารัดแน่นอีกครั้ง

เรื่องนี้ไม่ใช่แค่เขตแดน หากคือการประคองสองแรงที่เดินคนละจังหวะ คือ พลังจากสังคมที่ห่วงแผ่นดิน กับ กรอบความรับผิดชอบของรัฐ เป้าหมายเดียวกันคือการรักษาประเทศ แต่หนทางไม่เหมือนกัน

เมื่อมีข่าวรุกล้ำ เสียงคุ้นหูจึงดังขึ้นทันที “อย่ายอม-ยกเลิก MOU-ปกป้องศักดิ์ศรีชาติ” นั่นคือเสียงของผู้เฝ้าดินแดนที่ต้องการท่าทีชัดเจน ขณะเดียวกัน รัฐบาลต้องคำนึงถึงรายละเอียดที่มองไม่เห็นง่ายนัก ตั้งแต่พันธกรณีระหว่างประเทศ ไปจนถึงแรงสะเทือนต่อความสัมพันธ์รอบตัวประเทศ

คำตอบที่ผู้คนอยากฟัง กับคำตอบที่ประเทศพูดได้จริง มักไม่ใช่คำเดียวกัน คำหนึ่งอุ่นด้วยความผูกพันต่อแผ่นดิน อีกคำหนึ่งหนักด้วยความรับผิดชอบระยะยาว

สองฝั่งจึงไม่ได้เป็นศัตรูกันโดยธรรมชาติ แท้จริงคือ สองชุดเหตุผลที่ต่างกรอบ ฝ่ายสังคมตั้งอยู่บน ศักดิ์ศรี ความปลอดภัย และความรู้สึกเป็นเจ้าของประเทศ ฝ่ายรัฐตั้งอยู่บน กฎหมาย การทูต ความมั่นคง และเสถียรภาพ ทั้งในภูมิภาคและเวทีนานาชาติ

ระหว่างสองมุมนี้คือพื้นที่ที่ต้องยืนให้มั่น งานของรัฐคือแปรพลังห่วงแผ่นดินให้เป็นแนวทางที่ ปกป้องผลประโยชน์ของประเทศอย่างยั่งยืน โดยไม่ให้ฝ่ายใดรู้สึกถูกทิ้ง และไม่ให้ประเทศต้องจ่ายราคาเกินจำเป็น

ในพื้นที่แคบนี้เอง คำมั่นทางการเมือง มักโผล่ขึ้นเป็นตัวแปรซ้ำๆ คำมั่นเหล่านั้นเอง ที่มักกลายเป็นเส้นแบ่งระหว่างอุดมการณ์กับความจริงทางอำนาจ

“คำมั่นของผู้แสวงหาอำนาจ” มักสวนทางกับ “ข้อจำกัดของผู้ครองอำนาจ” เพราะในวันที่ยังไม่มีอำนาจ คำพูดมักถูกใช้เพื่อปลุกศรัทธาและเรียกเสียงสนับสนุน แต่เมื่อได้อำนาจจริง ทุกถ้อยคำกลับกลายเป็นภาระที่ต้องชั่งกับความจริง

กรณี พรรคภูมิใจไทย สะท้อนชัด เมื่อเป็นฝ่ายค้าน แกนนำยืนยันว่าจะ ยกเลิก MOU 43 และ 44 เพื่อยืนหยัดศักดิ์ศรีชาติ แต่เมื่อเข้ามาบริหารจริง ภาพที่เห็นไม่ง่ายเหมือนตอนพูด อำนาจรัฐไม่ใช่พื้นที่ของวาทศิลป์ หากคือสนามของความรับผิดชอบที่ทุกก้าวมีราคาต้องจ่าย

จึงมีการเสนอ ทำประชามติ แทนการยกเลิกทันที แนวคิดนี้มีความเป็นประชาธิปไตยอยู่ในตัว แต่ก็โยนคำถามว่า ผู้มีสิทธิส่วนใหญ่เข้าใจสาระของเอกสารเพียงพอหรือไม่ และรัฐพร้อมรับผลตามนั้นอย่างไร ทั้งหมดนี้ชี้บทเรียนว่า การพูดเพื่อเอาชนะใจคน กับการตัดสินใจเพื่อรักษาประเทศ ไม่ใช่เรื่องเดียวกัน...

สิ่งที่ทำให้ความอดทนของผู้คนตึงขึ้น ไม่ได้อยู่แค่ตัวอักษรของ MOU แต่อยู่ที่พฤติกรรมของอีกฝั่งที่หลายครั้งไม่รักษาสิ่งที่ตกลงกันไว้ หลายจุดชายแดนจึงกลายเป็นรอยช้ำซ้ำซาก ฝ่ายไทยอดทน อีกฝ่ายแข็งกร้าว

ความสุภาพของรัฐไทยจึงถูกบางส่วนตีความว่าเป็นความอ่อน หลายคนจึงเรียกร้องให้ยกเลิกกรอบที่มีอยู่ เพราะเชื่อว่า “การเจรจาไม่ก่อผล” หากรัฐจะยืนด้วยเหตุผล ก็ต้องทำให้สังคมเห็นพร้อมกันว่า การไม่ใช้อารมณ์ ไม่ได้แปลว่าไม่ปกป้องชาติ และ ความอดทน ไม่ได้เท่ากับยอมให้ถูกข้ามเส้น

ภารกิจของรัฐบาลอนุทินเวลานี้ ไม่ใช่เพียงบริหารปัญหาเขตแดน แต่คือการบริหาร แรงจากสังคม ให้เดินไปพร้อมกับ ข้อจำกัดของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

เสียงเรียกร้องให้ ยกเลิก MOU คือเสียงห่วงอธิปไตย ส่วนเสียงที่ขอให้รอบคอบคือเสียงแห่ง ความรับผิดชอบ ทั้งสองจำเป็นพอๆ กัน สิ่งที่รัฐต้องทำจึงไม่ใช่เลือกข้าง แต่คือ แสดงท่าทีให้ชัดว่าไทยจะไม่เป็นฝ่ายเสียเปรียบ พร้อมเดินหน้าอย่างมีข้อมูลและศักดิ์ศรี

เมื่อความอดทนเริ่มบาง สิ่งที่ผู้คนอยากเห็นไม่ใช่ถ้อยคำสวยงาม แต่คือ การกระทำที่มีน้ำหนัก ไม่ต้องประกาศว่าแข็ง แต่ให้คนทั้งประเทศรู้สึกว่าแข็งแกร่ง ความเชื่อมั่นไม่ได้สร้างจากคำพูด และมักพังลงเมื่อคำพูดไม่สอดคล้องกับการกระทำ

สิ่งที่รัฐบาลอนุทินต้องเผชิญในเวลานี้ ไม่ใช่แรงกดดันให้ ยกเลิก MOU 43 และ 44 เพียงอย่างเดียว แต่คือ แรงท้าทายที่จะต้องรักษาสมดุลระหว่างเสียงเรียกร้องของผู้คนกับเหตุผลของรัฐ ให้ประเทศยังคงเดินอย่างมีศักดิ์ศรี โดยไม่ถูกมองว่าอ่อนข้อหรือแข็งกร้าวเกินไป

ความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา จึงไม่ใช่เพียงข้อพิพาทบนแผนที่ แต่คือ บททดสอบของผู้นำทางการเมือง ว่าในวันที่ได้อำนาจจริง จะสามารถแปรเสียงจากสังคมให้กลายเป็นพลังสร้างสรรค์ได้เพียงใด

รัฐบาลอนุทินอยู่ในจุดที่ต้องพิสูจน์ว่า การบริหารพลังจากสังคมให้เป็นความร่วมมือ สามารถทำได้โดยไม่ลดทอนศักดิ์ศรีของชาติและไม่ทำให้ประเทศเสียหลักในเวทีภายนอก

หลายทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ไทย-กัมพูชาไม่เคยเรียบง่ายมันไม่ใช่แค่เส้นพรมแดน แต่คือ ประวัติศาสตร์ ศักดิ์ศรี และการตีความต่างกัน

ฝ่ายไทยเชื่อว่าตนอดทนพอ แต่สิ่งที่เห็นคือ การรุกล้ำซ้ำ และท่าทีแข็งกร้าว จนเกิดคำถามว่าจะอดทนถึงเมื่อไร อารมณ์เช่นนี้สะสมยาวนาน และผลักให้สังคมอยากเห็นรัฐบาล พูดให้ชัด ทำให้จริง

กระนั้น เส้นทางนี้ไม่ใช่ทางตรง คำตอบที่ดูง่ายมักต้องแลกด้วย ภาระซับซ้อนกว่าเสมอ งานของรัฐคือ ยืนยันต่อโลกว่าไทยยึดมั่นในศักดิ์ศรี โดยไม่ต้องใช้ความรุนแรงพิสูจน์ และรักษาความสงบไว้เป็นเกราะคุ้มครองผลประโยชน์ระยะยาว

นี่ไม่ใช่ปัญหาของรัฐบาลใดรัฐบาลหนึ่ง แต่คือโจทย์ที่ผู้นำไทยทุกยุคต้องเผชิญ ระหว่าง พลังความคาดหวังของประชาชน กับ กรอบความรับผิดชอบของรัฐ รัฐบาลไม่อาจเลือกข้างแบบเบ็ดเสร็จ เพราะทั้งสองคือ รากของพลังเดียวกัน

พลังจากสังคม คือ แรงผลัก กรอบของรัฐ คือ เครื่องนำทาง

การบริหารปัญหาชายแดนจึงไม่ใช่การชนะหรือแพ้เชิงพื้นที่ แต่คือ การรักษาภาพลักษณ์ของประเทศ ให้ไม่ตกเป็นฝ่ายเสียศักดิ์ศรี โดยไม่เปิดช่องให้ความขัดแย้งรอบใหม่ก่อตัว

ขณะเดียวกัน ความนิ่งนานเกินไปย่อมทำให้ ศรัทธาสึกหรอ ความมั่นคงไม่ได้อยู่แค่แนวพรมแดน แต่อยู่ใน ความเชื่อมั่นว่ารัฐยังปกป้องผู้คนอยู่

รัฐบาลอนุทินมีเวลาเพียงสี่เดือนก่อนยุบสภา ช่วงเวลาสั้นๆ อาจไม่พอสำหรับคำตอบสุดท้ายแต่พอสำหรับ การกำหนดท่าทีของชาติ

ในช่วงเปลี่ยนผ่าน สิ่งที่โลกและสังคมไทยจับตาไม่ใช่เพียงนโยบาย หากคือ ท่าทีว่าจะยืนตรงไหน ระหว่างแรงจากสังคมและกรอบของรัฐ แม้เวลาไม่มากพอจะเปลี่ยนเกม แต่ยังพอพิสูจน์ได้ว่า การรักษาศักดิ์ศรีของชาติ ไม่จำเป็นต้องอาศัยเวลาอันยาวนาน หรืออำนาจเกินจำเป็น

ขอเพียง สื่อสารให้สังคมเข้าใจ ว่าสิ่งที่ทำไปไม่ใช่การถ่วงเวลา แต่คือ การป้องกันความเสี่ยงที่แพงกว่าในวันหน้า สำหรับรัฐบาลใดก็ตาม การเมืองไม่ได้วัดกันที่ระยะเวลา หากวัดกันที่ ร่องรอยของท่าทีเมื่อเวลาหมดลง

เมื่อเวลานั้นมาถึง หลายคนอาจบอกว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนชายแดนยังเดิม กัมพูชายังเดิม MOU 43 และ 44 ก็ยังอยู่เหมือนเดิม

แต่อีกด้าน สิ่งที่เปลี่ยนคือ ความเข้าใจร่วมของสังคมไทย ว่าการเมืองระหว่างประเทศไม่ได้เดินด้วยอารมณ์และไม่ได้ขยับด้วยคำสั่งเดียว

นี่คือการเดินบนพื้นที่แคบ ระหว่าง พลังจากหัวใจของผู้คนกับกรอบข้อเท็จจริงที่รัฐต้องรับผิดชอบ หัวใจที่ร้อน และสมองที่เย็น ที่ต้องเดินไปด้วยกัน

อารมณ์ของสังคมไม่ใช่สิ่งผิด กรอบของรัฐก็ไม่ใช่ความเย็นชา ทั้งสองเกิดจากความรักในผืนแผ่นดิน ต่างกันเพียง วิธีปกป้อง

ความเข้มแข็งของชาติ จึงไม่ได้วัดจากเสียงตะโกนที่ดังที่สุด แต่จากความสามารถในการรักษาสมดุลของสองสิ่งนี้ให้ยืนอยู่ด้วยกันได้

และเมื่อเวลาของรัฐบาลนี้สิ้นสุดลง สิ่งที่ควรถูกทิ้งไว้ อาจไม่ใช่นโยบายใหญ่โต แต่อาจเป็น แบบฝึกหัดร่วมของทั้งรัฐและสังคม ว่าเราปกป้องชาติได้โดยไม่ทำลายใคร และ รักษาศักดิ์ศรีได้โดยไม่สูญเสียสติ.

.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

'อนุทิน' สวน พท. ใครทำงานห่วย ยุครัฐบาลนิด-อิ๊งค์ ติดโพลอันดับ 2

'อนุทิน' สวนเพื่อไทย ถ้าทำงานห่วย คนตั้งก็แย่สิ ยุครัฐบาล 'อิ๊งค์ - เศรษฐา' ผลโพลชี้ชัดนั่งแท่นอันดับ 2 ทิ้งห่าง พท. หัวเราะให้คะแนนตัวเอง 'เดี๋ยวจะหาว่าคุย'

รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น

นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ

นายกฯ เตรียมบินบุรีรัมย์ มอบนโยบายรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน

นายกฯ เตรียมบินบุรีรัมย์ มอบนโยบายรักษาความมั่นคงตามแนวชายแดนและพิทักษ์พื้นที่ส่วนหลังแก่ ชรบ. พร้อมรับฟังรายงานสถานการณ์ -เตรียมพร้อมของฝ่ายปกครอง

มีคำตอบ! รัฐบาลอนุทินมี ‘ศุภจี‘ เป็นจุดเด่น ทำไมปล่อยให้มี ’ธรรมนัส’ เป็นจุดอ่อน

คุณศุภจีคือตัวแทนของ "ภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ" ที่ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้นักลงทุน ดึงดูดชนชั้นกลางและคนเมือง และเป็นเกราะป้องกันทางการเมือง เมื่อฝ่า

ทรงพลัง! สื่อกัมพูชาทำโพลล์ ‘คนเขมร’ สนับสนุนคว่ำบาตรสินค้าไทยอย่างล้มหลาม

เปืดผลสำรวจของ Khmer Times สื่อภาษาอังกฤษ ภายใต้การกับของรัฐบาลกัมพูชา แสดงให้เห็นถึงการสนับสนุนอย่างล้นหลามต่อการคว่ำบาตรสินค้าไทย หลังจากเหตุการณ์รุ

น้ำลด งานฟื้นฟูเยียวยาเดินเร็ว กับการเมืองปั่น 'พันศพ' ที่ไม่มีอยู่จริง

แม้น้ำจะลดลงเพียงไม่กี่ชั่วโมง งานฟื้นฟูและการเยียวยาก็เดินหน้าในทันที ทว่าในช่วงที่ข้อมูลจริงยังไม่ครบ กลับมีบางกลุ่มปั้นตัวเลขผู้เสียชีวิตให้สูงเกินจริงจนสังคมไขว้เขว เหตุ