10 ตุลาคม คือวันแห่งความชัดเจนระหว่าง สันติภาพที่แท้จริง กับ สันติภาพที่ถูกเร่ขายให้โลกเชื่อ ขณะที่ทรัมป์เดินหน้าใช้คำว่าสงบเป็นสินค้าที่แต่งหรูด้วยผลประโยชน์ แล้วเสนอขายต่อสายตาโลก ไทยกลับต้องยืนอยู่บนความจริงที่ไม่มีใครแต่งเติมได้ สามหมู่บ้านในสระแก้วไม่ใช่เพียงพื้นที่ชายขอบ แต่คือผืนแผ่นดินแห่งอธิปไตย ที่ประเทศนี้จะรักษาไว้ด้วยศักดิ์ศรีและความจริง
สายฝนต้นตุลายังโปรยบางเบาเหนือแนวรั้วชายแดนไทย-กัมพูชา ดินชื้นจนทิ้งรอยเท้าไว้ทุกย่าง เจ้าหน้าที่ในชุดสนามเดินตรวจตราแนวชายแดนด้วยสีหน้าเคร่ง สายตาทุกคู่มองข้ามรั้วไปอีกฟากที่เพียงไม่กี่ก้าวก็เปลี่ยนจากแผ่นดินไทยเป็นกัมพูชา
ใต้ม่านฝนที่ตกต่อเนื่องมาหลายวัน พื้นดินชายขอบยังเปียกชื้นเหมือนใจคนที่รู้ว่ากำลังจะถึง “วันเส้นตาย” บ้านหนองจาน บ้านหนองหญ้าแก้ว และบ้านตาพระยา สามหมู่บ้านชายแดนในจังหวัดสระแก้ว ตั้งอยู่บนแนวพื้นที่ต่อแดนที่สะท้อนเส้นแบ่งระหว่างความช่วยเหลือในอดีตกับข้อขัดแย้งในปัจจุบัน
พื้นที่เหล่านี้อยู่ในเขตประเทศไทยอย่างถูกต้องตามเอกสารราชการและพิกัดแผนที่ แต่กลับกลายเป็นจุดหม่นในความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ
หลายสิบปีก่อน ไทยเคยเปิดพื้นที่ให้ผู้ลี้ภัยจากสงครามกัมพูชาเข้ามาอาศัยชั่วคราว แต่เมื่อสงครามจบ หลายครอบครัวกลับไม่ยอมกลับประเทศพวกเขาปักหลัก สร้างบ้าน ทำกิน และใช้ชีวิตราวกับเป็นเจ้าของพื้นที่ในแผ่นดินไทย
กาลเวลาทำให้เพิงพักชั่วคราวกลายเป็นชุมชน จากกระท่อมไม่กี่หลัง กลายเป็นหมู่บ้านที่มีร่องรอยถาวร บางครอบครัวขยายพื้นที่ทำกินเข้ามาลึกกว่าเดิม บางแห่งเริ่มใช้ สัญลักษณ์ของรัฐกัมพูชา ในเขตไทย
สิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่พักพิง จึงค่อยๆ แปรรูปเป็นการรุกล้ำ จากเส้นชั่วคราวกลายเป็นเส้นถาวร และจากความช่วยเหลือ กลายเป็นข้อท้าทายต่ออธิปไตย
ในที่สุด รัฐบาลและกองทัพไทย ต้องกำหนด เส้นตายวันที่ 10 ตุลาคม ให้ผู้บุกรุกถอนออกจากพื้นที่ทั้งสามหมู่บ้าน คืนผืนแผ่นดินให้รัฐไทย ก่อนที่คำว่า “สันติภาพ” จะถูกใช้บังความจริงเรื่องการรุกแดน และก่อนที่ สันติภาพจอมปลอม จะถูกนำไปขายต่อในเวทีโลกด้วยภาพลักษณ์ที่หลอกตา
วันที่ชายแดนยังตั้งแถวรอคำสั่ง อีกซีกโลกหนึ่งกลับเริ่มต้นวันด้วยการประกาศของชายชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
ทรัมป์แจ้งต่อสื่อว่า ต้องการเป็นประธานพิธีลงนาม “ข้อตกลงสันติภาพไทย-กัมพูชา” ในการประชุมสุดยอดอาเซียนปลายเดือนตุลาคมที่กรุง กัวลาลัมเปอร์และพูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจว่า “ผมสร้างสันติภาพได้มากกว่าคนที่เคยได้รางวัลโนเบลเสียอีก”
แต่เบื้องหลังของคำว่า สันติภาพ นั้น เต็มไปด้วยเงื่อนไข เพราะ สหรัฐฯ ขู่ว่าจะชะลอการเจรจาภาษีนำเข้ากับอาเซียน หากไม่บรรลุข้อตกลงตามแนวทางที่วอชิงตันต้องการ
ที่น่าสนใจคือ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เคยประกาศตั้งใจเสนอชื่อทรัมป์เข้าชิง รางวัลโนเบลสันติภาพ โดยอ้างว่าเขามีบทบาทสำคัญในการกดดันให้เกิดการหยุดยิงชายแดนไทย-กัมพูชาเมื่อเดือนสิงหาคม
และยิ่งน่าสนใจขึ้นไปอีก เมื่อ คณะกรรมการโนเบลเตรียมประกาศผลรางวัลประจำปี 2025 ในวันที่ 10 ตุลาคมนี้ ซึ่งเป็นวันเดียวกับเส้นตายที่ไทยกำหนดให้ผลักดันชาวกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทย
การเคลื่อนไหวนี้สร้างคำถามไปทั่วภูมิภาคว่า สันติภาพที่เกิดจากแรงกดดันทางเศรษฐกิจ ควรถูกยกย่องเป็นคุณความดีได้จริงหรือไม่
ภาพสันติภาพบางภาพถูกออกแบบมาเพื่อ การประชาสัมพันธ์โลก ทรัมป์จึงไม่ได้เสนอแค่วิถีทางยุติความรุนแรง แต่เสนอ “ผลิตภัณฑ์สันติภาพ” ที่พร้อมให้โลกซื้อภาพลักษณ์
สันติภาพฉบับทรัมป์ จึงไม่เกี่ยวกับความสงบ หากแต่คือการใช้ เศรษฐกิจเป็นอาวุธ ภาษีเป็นกระสุน และข้อตกลงการค้าเป็นเครื่องมือควบคุม
สันติภาพของมหาอำนาจ ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจ แต่เกิดจาก ความกลัว กลัวว่าระเบียบโลกที่สร้างไว้จะสั่นคลอน กลัวว่าประเทศเล็กจะคิดเอง ทำเอง และอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา
สหรัฐฯ ผูกคำว่า สันติภาพ เข้ากับ ผลประโยชน์ของตนเอง ใครร่วมมือ คือพันธมิตร ใครขัดใจ คือภัยต่อเสถียรภาพโลก
ในยุคของ ทรัมป์ สงครามไม่ได้อยู่ในสนามรบอีกต่อไป แต่มันเคลื่อนไปอยู่ใน ตลาดการค้าและระบบภาษี มาตรการเศรษฐกิจถูกใช้เป็นกลไกบีบประเทศกว่า 40 แห่งทั่วโลก โดยอ้างว่าเพื่อรักษา “สมดุลของเศรษฐกิจโลก” แต่แท้จริงแล้วคือการคงไว้ซึ่งอำนาจนำของสหรัฐฯ
สันติภาพฉบับทรัมป์ ไม่ใช่การเจรจาเพื่อยุติความรุนแรง แต่คือ การวางระบบควบคุม ให้ประเทศต่างๆ ยอมอยู่ในวงอิทธิพลของอเมริกาโดยสมัครใจ
ในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ คำว่า “สันติภาพ” เคยถูกใช้เป็นเหตุผลในการทำสงครามนับครั้งไม่ถ้วน
สงครามเวียดนามเริ่มจากการอ้าง “เพื่อรักษาสันติในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”สงครามอิรักเกิดจากข้ออ้าง “เพื่อสร้างสันติภาพโลกที่ปลอดอาวุธทำลายล้าง” และทุกครั้งที่อเมริกาอ้างคำนี้ สิ่งที่ตามมาคือ ซากปรักหักพังและผู้ลี้ภัยนับล้าน
แม้แต่ในประเทศของตนเอง รัฐบาลทรัมป์ยังสั่งรื้อ White House Peace Vigil เวทีประท้วงสันติภาพที่ดำรงอยู่หน้าทำเนียบขาวมากว่า 40 ปี เพื่อเรียกร้องให้ยุติสงครามและลดอาวุธนิวเคลียร์ เพียงเพราะมัน “รบกวนทัศนียภาพของเมืองหลวง”
ความย้อนแย้งของสันติภาพฉบับทรัมป์ ปรากฏอยู่ในทุกมิติ ภายในประเทศยังไม่อาจอดทนต่อเสียงเรียกร้องของประชาชน แต่กลับประกาศตัวเป็นผู้รักษาความสงบของโลก
สหรัฐฯ พูดเรื่อง สิทธิมนุษยชน ในเวทีโลก แต่เพิกเฉยต่อเสียงร้องของผู้บริสุทธิ์ใน กาซา พูดเรื่อง ประชาธิปไตย แต่แทรกแซงการเมืองประเทศอื่น และทุกครั้งที่ทำ จะมีคำว่า “สันติภาพ” ปิดท้ายเสมอ
คำนี้จึงกลายเป็น โล่กำบังของมหาอำนาจ ที่ใช้ปิดบังผลประโยชน์และความรุนแรงใน นามของคุณธรรมที่พวกเขากำหนดเอง
เมื่อ ทรัมป์ ขอเป็นประธานพิธีลงนาม “สันติภาพไทย-กัมพูชา” สิ่งที่เขาต้องการอาจไม่ใช่ ความสงบ แต่คือ เครดิตทางการเมือง
เวทีอาเซียนปลายเดือนตุลาคมจึงอาจกลายเป็น เวทีถ่ายภาพของมหาอำนาจ ในขณะที่พื้นที่ไทยจริงๆ ต้องเผชิญความจริงอยู่หน้างาน
นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่า อัตราภาษี 40 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐฯ ที่ใช้กับสินค้าอาเซียน จะทำให้มูลค่าการส่งออกของภูมิภาคหดตัวกว่าร้อยละ 15 และนั่นไม่ต่างจากการ ยิงขีปนาวุธใส่เศรษฐกิจ ของประเทศกำลังพัฒนา
เบื้องหลังตัวเลขเหล่านั้น คือชีวิตนับล้านที่ต้องเปลี่ยนไป โรงงานปิด คนตกงาน เด็กหลุดจากระบบการศึกษา ราคาข้าวของพุ่งขึ้นในวันที่รายได้ลดลง เมืองเล็กที่เคยส่งออกผลผลิตกลับกลายเป็นหมู่บ้านร้าง และเสียงเครื่องจักรที่เคยดัง กลับถูกแทนด้วย ความว่างเปล่าของความหิว
สงครามเศรษฐกิจ แบบนี้ไม่มีควันปืน แต่ทิ้งซากชีวิตไว้มากกว่าสงครามจริงในหลายสมรภูมิ มันฆ่าช้า และไม่ต้องมีข่าวหน้าแรก เพราะไม่มีภาพศพ มีเพียง กราฟเศรษฐกิจที่ตกลงทุกเดือน
แล้วสันติภาพแบบนี้จะยังเรียกว่าสันติภาพได้อย่างไร เมื่อคนตายไม่ใช่จากกระสุน แต่จาก นโยบายเศรษฐกิจที่ออกแบบมาให้ประเทศเล็กแพ้ตั้งแต่ต้น
สำหรับประเทศไทย แม้จะถูกล้อมด้วยเสียงจากเวทีโลก แต่ยังมีภารกิจสำคัญกว่าการรับคำยกย่องจากใคร คือการรักษา อธิปไตยและเกียรติภูมิของผืนดิน
ในขณะที่มหาอำนาจพูดถึง “สันติภาพ” บนเวทีโลก รัฐบาลไทยเลือกจะพูดถึง อธิปไตยบนผืนดินจริง
อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ระบุชัดว่า ประเทศไทยคือฝ่ายที่ ถูกรุกรานก่อน หากจะมีการเจรจาใดๆ ต้องเริ่มจากการปฏิบัติตามข้อตกลงที่ทำไว้ ทั้งการถอนกำลัง อาวุธ และบุคคลที่รุกล้ำออกจากพื้นที่ไทย รวมถึงการเก็บกู้สิ่งที่เป็นอันตรายให้หมดสิ้น
เขาย้ำว่า ประเทศไทยสนใจเพียง ผลประโยชน์ของชาติ ไม่ว่ามหาอำนาจจะได้รางวัลอะไร หรือได้ภาพลักษณ์แค่ไหนสิ่งที่สำคัญคือการรักษา เกียรติภูมิของแผ่นดิน ให้มั่นคง
ต่อกรณีพื้นที่สระแก้วที่ยังตึงเครียด รัฐบาลเตรียมแผนพร้อมทุกขั้นตอน และยืนยันว่า ประเทศไทยไม่มีวันยอมให้ใครละเมิดอธิปไตย ไม่ว่าวันใดก็ตาม
จุดยืนของรัฐบาลไทยจึงชัดเจน เปิดประตูให้สันติภาพได้เสมอ หากอีกฝ่ายเคารพขอบเขตของเรา เพราะ สันติภาพที่แท้จริง ไม่ได้วัดจากคำประกาศของใคร แต่จากการที่แผ่นดินยังยืนอยู่ในสิทธิของตนเอง
ก่อนถึงวันเส้นตาย 10 ตุลาคม ฝ่ายไทยยังคงยึดแนวทาง “เตรียมพร้อมรอบด้านแต่ไม่ยั่วยุ” ทุกหน่วยงานในระดับ ความมั่นคง กฎหมาย และการทูต ถูกจัดวางให้ทำงานสอดประสานกันอย่างรอบคอบ
ในภาคสนาม มีการติดตามความเคลื่อนไหวตลอดแนวชายแดน ไม่เพียงเพื่อป้องกันการรุกล้ำ แต่เพื่อป้องกัน “การจัดฉาก” เพราะฝ่ายไทยประเมินว่า การเคลื่อนไหวจากอีกฝั่ง อาจไม่ได้มาในรูปแบบการปะทะโดยตรง หากแต่เป็น “การสร้างภาพผู้ถูกกระทำ” เพื่อให้ไทยกลายเป็นฝ่ายผิด
ฝ่ายความมั่นคงจึงย้ำให้เจ้าหน้าที่ทุกระดับ ปฏิบัติภายใต้กรอบกฎหมายอย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงการใช้กำลังเกินจำเป็น และเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะอย่างโปร่งใส เพื่อไม่ให้เล่ห์เหลี่ยมใดๆ มีช่องให้ขยายผลบนเวทีระหว่างประเทศ
ไทยต้องระวัง กลยุทธ์แฝงตัวของฝ่ายตรงข้าม ที่อาจมาในคราบของพระสงฆ์หรือชาวบ้าน พร้อมสร้างสถานการณ์ให้ดูเหมือนตนเป็นฝ่ายถูกกระทำ เพื่อใช้เป็นข้ออ้างในการบิดเบือนและสร้างภาพต่อชาวโลก ให้เข้าใจผิดถึงบทบาทของไทยในพื้นที่
เพราะฉะนั้น ในวันเส้นตายที่จะมาถึง สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่การแสดงอำนาจ แต่คือ “การยืนหยัดด้วยสติ” ไม่ตกหลุมพรางของเล่ห์เหลี่ยมใดๆ ที่อาจแปรเปลี่ยนความชอบธรรมให้กลายเป็นข้อกล่าวหา
ในวันที่โลกกำลังพูดถึง “สันติภาพฉบับทรัมป์” ประเทศไทยกลับต้องยืนยัน “สันติภาพฉบับความจริง”
เรารู้ดีว่าความสงบที่แท้ไม่อาจเกิดจากแรงกดดันหรือรางวัลโนเบล หากเกิดจากการเคารพใน อธิปไตยซึ่งกันและกัน และความกล้าที่จะ ปกป้องผืนดินของตนโดยไม่ละเมิดผู้อื่น
รัฐบาล กองทัพ และประชาชนไทย ต่างเข้าใจตรงกันในเจตจำนงเดียว วันที่ 10 ตุลาคมนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ภารกิจผลักดันผู้บุกรุก แต่คือ การยืนยันสิทธิ์ของชาติไทย ต่อหน้าสายตาโลก
เราจะไม่ตอบโต้ด้วยถ้อยคำแห่งความเกลียด แต่จะตอบด้วย การกระทำที่ตั้งอยู่บนกฎหมาย เราจะไม่ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง แต่จะไม่ยอมให้ใครแปรความอดทนของไทยเป็นความอ่อนแอ
เพราะ สันติภาพที่แท้จริง ไม่ใช่ของขวัญจากมหาอำนาจ แต่คือสิ่งที่ ประชาชนทุกคนต้องร่วมกันปกปักรักษา
และในวันที่เสียงจาก กัวลาลัมเปอร์ ยังพูดถึงรางวัลและเวทีโลก เสียงจากชายแดนไทยกลับพูดเพียงประโยคเดียว แผ่นดินนี้เป็นของเรา และเราจะปกป้องมัน ด้วยสติและศักดิ์ศรีของคนไทย.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
‘อนุทิน’ เซ็นคำสั่งแต่งตั้ง ข้าราชการการเมือง 1 ราย
ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่คำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ ๔๔๕/๒๕๖๘ เรื่อง แต่งตั้งข้าราชการการเมือง
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
หนูโต้ไม่ให้สัญชาติเบนสมิธเหตุพ้นมท.1
วงแตก! “อนุทิน” รับรู้จัก “เบน สมิธ” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน
โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ
โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ
ภาพเก่าถูกยกมาปั่น! เกมเบี่ยงศึกสแกมเมอร์หมื่นล้านในยุคอนุทิน
วันที่ภาพเก่าหลายเฟรมของ “เบน สมิธ” ถูกดันกลับขึ้นมาในโซเชียล คือวันเดียวกับที่ ปปง. แถลง ยึด-อายัดทรัพย์ 289 รายการ มูลค่ากว่า 10,165 ล้านบา
'เพื่อนธนาธร' โยงปมภาพหลุด 'อนุทิน-เบน สมิธ' ปล่อยจากเด็กผู้จัดการ 'สนธิ' อยู่ตรงไหนในเกมนี้!
เพื่อนธนาธร ‘ธนาพล อิ๋วสกุล’ วิเคราะห์ทิศทางข้อมูล เมื่อภาพหลุด ‘อนุทิน-เอกนิติ’ ร่วมเฟรม ‘เบน สมิธ’ โผล่ครั้งแรกจากคนของเครือผู้จัดการ ทั้งที่ ‘สนธิ’ เพิ่งปกป้องเบนสมิธหมาด ๆ ก่อนเปิดช้อยให้เลือก, ปรับจุดยืนหลัง ปปง.ยึดทรัพย์, หรืออ่านเกมว่ารัฐบาลไม่ไม่รอด-กลัวตกขบวน-หรืออาจ “ถูกทุกข้อ”


