รีแบรนด์แต่ไม่รีเซต เพื่อไทยในยุคจุลพันธ์ พรรคใหญ่ที่เดินยากในยุคใหม่

คำว่า “ยกเครื่องพรรค” ของพรรคเพื่อไทยในปี 2568 ฟังดูเหมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนยุค แต่ในความจริง นี่คือการจัดวางกลุ่มเดิมให้อยู่ในตำแหน่งเดิม ภายใต้ภาพลักษณ์ใหม่เท่านั้น

การประชุมใหญ่วิสามัญเมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พรรคเลือก นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ เป็นหัวหน้าพรรค และ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง กลับมาดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคอีกครั้ง ทั้งสองคนอยู่ในระบบของพรรคมาเกินสองทศวรรษ ผ่านยุคไทยรักไทย พลังประชาชน จนถึงเพื่อไทยปัจจุบัน

กรรมการบริหารชุดใหม่ที่ประกาศว่า “พร้อมสู่อนาคต” กลับเต็มไปด้วยรายชื่อเก่าที่สังคมคุ้นตา รองหัวหน้าพรรค 13 คน ล้วนอยู่ในกลุ่มเดิมของพรรค ตั้งแต่ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ จเด็ศ จันทรา เลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล มนพร เจริญศรี สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล สรวงศ์ เทียนทอง ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ก่อแก้ว พิกุลทอง ชูศักดิ์ ศิรินิล พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ เผ่าภูมิ โรจนสกุล ศรัณย์ ทิมสุวรรณ และจักรพงษ์ แสงมณี

ทุกชื่อสะท้อนความต่อเนื่องของเครือข่าย ไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลง

คณะกรรมการบริหารพรรคยังมี ดนุพร ปุณณกันต์ อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ วรสิทธิ์ กัลป์ตินันท์ วรวงศ์ วรปัญญา และ วิพุธ ศรีวะอุไร ส่วนคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครจำนวน 17 คน ก็เป็นบุคคลที่อยู่ในสายเดียวกันกับกลุ่มบริหารพรรค

ไม่มีใครใหม่จริงในโครงสร้างนี้ เพราะ “ใหม่” ของพรรคเพื่อไทย หมายถึงคนที่เคยอยู่ในระบบเดิม เพียงแต่เปลี่ยนตำแหน่งเท่านั้น

หลังการเลือกกรรมการบริหารชุดใหม่ภายในพรรคเสร็จสิ้น น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เดินทางมามอบช่อดอกไม้แสดงความยินดีกับหัวหน้าพรรคและเลขาธิการพรรค ภาพนั้นไม่ได้เป็นเพียงการแสดงความยินดีธรรมดา แต่มันคือสัญลักษณ์ที่ชัดเจนว่าพรรคยังอยู่ภายใต้ร่มเงาของตระกูลชินวัตร

คำว่า “ยกเครื่อง” ที่พรรคพูดจึงแปลได้สั้น ๆ ว่า “จัดของเก่าให้ดูใหม่”

หากย้อนดูเส้นทางของพรรคนี้ จะพบว่าพรรคเพื่อไทยไม่เคยเกิดขึ้นด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองแบบพรรคประชาธิปไตยสมัยใหม่ แต่มันเริ่มต้นจาก โครงสร้างของอำนาจทางธุรกิจที่ขยายเข้าสู่การเมือง

ตั้งแต่ยุคไทยรักไทยในปี 2544 ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้สร้างพรรคเพื่อเป็นเวทีของความคิด แต่สร้างเพื่อเป็นเครื่องมือในการบริหารอำนาจระบบที่เขาวางไว้คือการรวบรวมกลุ่มทุน นักการเมืองท้องถิ่น และข้าราชการเข้ามาอยู่ในโครงสร้างเดียวกัน เป็นระบบที่มีประสิทธิภาพในทางบริหาร แต่ไม่เปิดพื้นที่ให้คนภายนอกมีส่วนร่วมในเชิงความคิด

เมื่อพรรคไทยรักไทยถูกยุบ โครงสร้างนั้นไม่ได้หายไป แต่มันเพียงเปลี่ยนชื่อเป็นพลังประชาชน แล้วต่อมาคือเพื่อไทย ทุกอย่างคงเดิม ยกเว้นชื่อและป้ายที่ติดหน้าอาคาร

แต่โลกการเมืองหลังปี 2566 ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สนามนี้ไม่ใช่ยุคของการพูดฝ่ายเดียว หรืออาศัยชื่อคนเดียวอีกแล้ว

โครงสร้างของพรรคเพื่อไทยจึงไม่ใช่แบบพรรคการเมืองร่วมสมัยที่เปิดกว้างแต่เป็นระบบแนวดิ่งที่เชื่อมโยงกันด้วยสายสัมพันธ์ส่วนตัวและผลประโยชน์ทางการเมือง

ทุกการตัดสินใจสำคัญยังคงขึ้นอยู่กับ “ศูนย์กลางเดียว” ที่ไม่ได้ถือตำแหน่งบริหารพรรค นั่นคือสิ่งที่คนในพรรคเองก็รู้ แต่ไม่มีใครพูด

วัฒนธรรมแบบนี้ทำให้พรรคแข็งแรงทางการจัดการ แต่ขาดพลังทางความคิด ไม่มีพื้นที่สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายเก่า แม้จะประกาศเปิดรับคนรุ่นใหม่ แต่ในความเป็นจริง คนที่ได้ขึ้นมามีบทบาทส่วนใหญ่คือบุตรหลานของนักการเมืองเดิม

ยุคใหม่ของการเมืองไทยเต็มไปด้วยคนที่เติบโตจากโลกดิจิทัล แต่พรรคเพื่อไทยยังขยับด้วยระบบคิดของยุคก่อน พรรคจึงไม่ใช่พื้นที่ของแนวคิดใหม่ แต่เป็นเวทีของการจัดวางคนเดิมในรูปแบบใหม่เท่านั้น

คำว่า “ยกเครื่อง” ที่พรรคใช้ถูกมองว่าเป็นเพียงคำสร้างภาพ เพราะเครื่องที่ขับเคลื่อนอยู่ ยังเป็นคนเดิม แนวคิดทางการเมืองก็ยังอยู่ในกรอบเดิมของยุคทักษิณ

พรรคพยายามใช้สื่อออนไลน์และคำพูดเรื่อง “คนรุ่นใหม่” เป็นเครื่องมือสื่อสาร แต่ในความจริง ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายหรือโครงสร้างที่สะท้อนความใหม่อย่างแท้จริง ผู้ที่อยู่เบื้องหลังยังเป็นกลุ่มเดิมที่คุมทั้งทิศทางและกลยุทธ์ทางการเมือง

ในยุคที่การสื่อสารรวดเร็วและคนรุ่นใหม่มีทางเลือกมากกว่าเดิม ความจริงข้อนี้ยิ่งชัดว่า พรรคยังพูดภาษาการเมืองแบบเก่า ในสายตาของคนรุ่นใหม่ พรรคเพื่อไทยไม่ได้เป็นตัวแทนของความก้าวหน้า แต่คือภาพจำของพรรคที่ “พูดเรื่องใหม่ด้วยคนเดิม”

ฐานเสียงเดิมของพรรคยังคงอยู่ในภาคเหนือและอีสาน ผู้คนในพื้นที่เหล่านี้ผูกพันกับชื่อของทักษิณมากกว่าตัวพรรคเอง ความนิยมที่ยังหลงเหลืออยู่ไม่ได้มาจากอุดมการณ์ แต่มาจากความเชื่อในตัวบุคคลที่เคยสร้างประโยชน์ให้กับชุมชน

นี่คือสิ่งที่ทำให้พรรคเพื่อไทยยังพอรักษาพื้นที่ทางการเมืองได้ ไม่ใช่เพราะพรรคมีพลังความคิดใหม่ แต่เพราะพรรคยังเป็น “เครือข่ายของความผูกพัน” ที่เชื่อมโยงผู้คนกับอดีต มากกว่าจะเชื่อมโยงกับอนาคต

ในขณะเดียวกัน พรรคกลับไม่สามารถสร้างฐานใหม่ในเมืองใหญ่ได้จริง คนรุ่นใหม่ไม่รู้สึกว่าพรรคนี้ตอบโจทย์ยุคสมัย และมองว่าพรรคนี้คือโครงสร้างเก่าที่แค่เปลี่ยนฉลาก

เมื่อดูจากรายชื่อและวิธีจัดแถวในพรรค คำว่ายกเครื่องจบลงที่การเปลี่ยนตำแหน่งในวงเดิม คนที่ขึ้นมาถือบทบาทส่วนใหญ่คือเครือข่ายที่อยู่กับพรรคมาตั้งแต่ยุคไทยรักไทยและพลังประชาชน ส่วนคนที่ถูกเรียกว่าใหม่ มักเป็นลูกหลานหรือคนใกล้ชิดของนักการเมืองรุ่นก่อน

พรรคเร่งทำงานกับสื่อออนไลน์ จัดทีมสื่อสารใหม่ พยายามพูดกับคนรุ่นใหม่มากขึ้น แต่เมื่อเปิดรายชื่อทีมงานและคนที่คุมเกมจริง ภาพก็วนกลับมาที่กลุ่มเดิม จุดติดที่แท้จริงจึงไม่ได้อยู่ที่วิธีสื่อสาร แต่อยู่ที่โครงสร้างและแนวคิดที่ยังไม่เปลี่ยน

ในสนามจริง คนรุ่นใหม่ไม่ได้ติดว่าพรรคเก่าหรือใหม่ แต่เขามองว่าพรรคยอมเปิดพื้นที่ให้คนภายนอกจริงหรือไม่ ถ้าคนหน้าใหม่ที่ถูกดันขึ้นมาคือคนในเครือข่ายเดิม ความรู้สึกว่าพรรคเปลี่ยนก็ไม่เกิด

พรรคเพื่อไทยจึงยืนอยู่ในจุดที่เสียงเดิมยังพอรักษาได้ แต่การจะขยายฐานไปยังคนรุ่นใหม่ แทบไม่มีทางเห็นได้ชัดเจน

พรรคเพื่อไทยในวันนี้ไม่ได้ขาดความพยายามในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่แต่สิ่งที่นำเสนอออกไปยังไม่ต่างจากสิ่งเดิม คนที่ขึ้นมานำเสนอคือคนในวงเก่า วิธีคิดเดิมที่ถูกขัดเงาให้ดูทันสมัยขึ้นเท่านั้น

เป้าหมายที่เป็นจริงในสนามเลือกตั้งครั้งหน้า จึงอาจเป็นเพียงการ “รักษาฐานเดิมให้ได้มากที่สุด” เพราะการแข่งขันทางการเมืองในยุคนี้รุนแรงกว่าเดิม และผู้เล่นหน้าใหม่มีทั้งทุน ความคิด และทีมที่เข้าใจจังหวะสังคมดีกว่า

อย่างไรก็ตาม การเมืองไม่ได้วัดกันที่ความเก่าหรือความใหม่เพียงอย่างเดียว แต่วัดกันที่ “นโยบาย” และ “การทำได้จริง” ถ้าพรรคเพื่อไทยสามารถเสนอสิ่งที่จับต้องได้ และทำได้จริง ก็ยังมีโอกาสสร้างความเชื่อมั่นกับประชาชนได้อีกครั้ง

แต่ถ้ายังขายภาพใหม่ด้วยคนเดิม โดยไม่มีข้อเสนอที่แตกต่างหรือจับต้องได้จริง พรรคเพื่อไทยก็จะอยู่ในสภาพพรรคใหญ่ที่กำลังถอยช้า ๆ ฐานเสียงภาคเหนือและอีสานที่เคยมั่นคง เริ่มสั่นคลอนและถูกแบ่งพื้นที่จากพรรคคู่แข่ง เสียงสนับสนุนเดิมยังพอมี แต่ไม่แน่นพอจะรับแรงเปลี่ยนแปลงจากสังคมยุคใหม่

และนั่นคือภาพชัดของพรรคใหญ่ที่ยังยืนอยู่ได้ แต่กำลังยืนอยู่บนพื้นที่ที่เล็กลงทุกที ในยุคการเมืองที่เปลี่ยนเร็วกว่าที่พรรคจะก้าวให้ทัน.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

ภูมิใจไทยปลุกพลังผู้สมัครสส. ชูสโลแกน 'พูดแล้วทำพลัส' ตั้งเป้าเกิน 200 ที่นั่ง!

แกนนำภูมิใจไทยกำชับว่าที่ผู้สมัคร สส.เดินเกมเลือกตั้งตามกติกา กกต. ชูผลงานรัฐบาลเป็นจุดขาย พร้อมปลุกใจหากทุ่มเทเต็มที่ มีลุ้นกวาดเกิน 200 ที่นั่ง มองสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชามีแนวโน้มคลี่คลายก่อนปีใหม่

'ยศชนัน' โพสต์แนะนำตัว เชื่อคนไทยมีของ แต่โอกาส-ทุนไม่เอื้อ ขออาสาเป็นผู้นำพัฒนาคุณภาพชีวิต

นายยศชนัน วงศ์สวัสดิ์ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย โพสต์ข้อความผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ระบุว่า “สวัสดีครับ ผม “เชน” ครับ หลายคนอาจคุ้นกับผมที่เป็นอาจารย์วิศวะ หรือลูกชายนักการเมือง แต่วันนี้ผมขอแนะนำตัวในฐานะคนไทยคนหนึ่ง ที่เชื่ออย่างสุดหัวใจว่า

เพื่อไทย ชูเครือญาติ 'ชินวัตร' นั่งแคนดิเดตนายกฯ อันดับ 1

"เพื่อไทย ชู "ยศชนัน" นั่งแคนดิเดตนายกฯ เบอร์ 1 ชี้ไม่เป็นปัญหาถูกมองหนีไม่พ้นตระกูลชินวัตร ลั่นเป็นโอกาส-จุดเด่น รับเป็นหน้าใหม่การเมือง เชื่อเวลา 2 เดือน ชนะใจปชช.ได้ พร้อมยัน ไม่ถูกครอบงำจาก “เยาวภา” ด้าน “สุริยะ” ยังมั่นใจ ถึงเป้า 200 ที่นั่ง ขณะที่ “จุลพันธ์” ประกาศพร้อมฝ่าด่านอำนาจรัฐ กระสุน กระแสชาตินิยม สู่ชัยชนะด้วยนโยบาย

ปชป. ชู 3 แกนหลัก การเมืองสุจริต ความเป็นมืออาชีพ ไว้วางใจได้ไม่มีดีลลับ

ปชป. ประกาศเดินหน้าเปลี่ยนผ่านสู่ยุคใหม่ ชู 3 แกนหลัก สุจริต-มืออาชีพ-ไว้วางใจ พร้อมสะท้อนปัญหาหาดใหญ่ถึงรัฐบาล