แคมเปญ “มีเราไม่มีเทา” ของพรรคประชาชนเปิดตัวท่ามกลางช่วงที่สังคมจับตาปัญหาทุนเทา สแกมเมอร์ และเครือข่ายเงินผิดกฎหมายที่กระจายข้ามพรมแดน จังหวะแบบนี้ทำให้พรรคเข้ากับอารมณ์ของประชาชนจำนวนมากที่รู้สึกว่าปัญหาเหล่านี้ถูกปล่อยทิ้งไว้นานเกินไป
พรรคตระกูลส้มตลอดหลายปีใช้ภาพความสะอาดเป็นฐานสำคัญ วางตัวว่าต่างจากการเมืองแบบเดิม และเลือกภาษาแบบที่คนรุ่นใหม่รู้สึกว่า “ใช่” สิ่งเหล่านี้ทำให้พรรคเข้าถึงคนเมืองและคนทำงานรุ่นใหม่ได้มากกว่าหลายพรรคในยุคเดียวกัน
เลือกตั้งปี 2566 พรรคก้าวไกลเคยสร้างแรงกระเพื่อมด้วยวลี “มีเราไม่มีลุง” คำสั้น ๆ แต่โดน เพราะตรงกับความเบื่อหน่ายสะสมของสังคม พรรคประชาชนในวันนี้เดินต่อจากแนวทางนั้น แต่ย้ายคู่ตรงข้ามจากตัวบุคคลไปเป็นกลุ่มที่ถูกมองว่าพัวพันทุนเทา
แต่เมื่อพรรคประกาศตัวเองว่า “สะอาดกว่า” ความคาดหวังจากสังคมก็สูงขึ้นตาม และเมื่อย้อนดูประวัติของพรรคตระกูลส้มตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ ก้าวไกล จนถึงพรรคประชาชน หลายคำถามที่สังคมตั้งไว้ก็ยังไม่ได้คำตอบชัดเจน
ทั้งหมดนี้ทำให้แคมเปญ “มีเราไม่มีเทา” ไม่ได้เป็นเครื่องมือโจมตีคู่แข่งฝ่ายเดียว แต่กลายเป็นกรอบที่ประชาชนใช้มองย้อนกลับมาหาพรรคนี้เองด้วย
ตั้งแต่วันแรกที่เปิดแคมเปญ พรรคประชาชนมุ่งไปที่พรรคกล้าธรรมของ ร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า อย่างเข้มข้น โดยเฉพาะกรณี สส.ถูกอายัดทรัพย์กว่า 100 ล้านบาท การตรวจสอบเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามธรรมชาติของการเมืองที่ต้องมีความรับผิดชอบ
แต่พรรคประชาชนไม่ได้หยุดแค่การเรียกร้องให้ตรวจสอบ แต่ยังเรียกร้องให้ลาออกทันที ทั้งที่กระบวนการยุติธรรมยังเดินไม่ถึงครึ่ง น้ำเสียงแบบนี้จึงทำให้หลายคนมองว่า พรรคเร่งสรุปผลเกินไป และพร้อมใช้ข้อกล่าวหาเป็นเครื่องมือทางการเมืองมากกว่ารอข้อเท็จจริงครบถ้วน
ขณะเดียวกัน เมื่อสังคมหันกลับมามองพรรคตระกูลส้ม ภาพที่เห็นก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก เพราะมี สส.อย่างน้อยสองรายถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุก รวมถึงหลายกรณีที่ถูกตั้งคำถามเรื่องความสัมพันธ์กับบุคคลในวงการเว็บพนันผิดกฎหมาย แต่พรรคไม่เคยใช้มาตรฐานเข้มแบบเดียวกับที่ใช้โจมตีพรรคกล้าธรรม
การตรวจสอบพรรคอื่นจึงไม่ผิด แต่ความสม่ำเสมอในมาตรฐานต่างหากที่เป็นปัญหาหลัก และนี่คือจุดที่คำถามเริ่มพุ่งกลับมาหาพรรคประชาชนมากขึ้นเรื่อย ๆ
เสียงวิจารณ์ต่อพรรคประชาชนไม่ได้เริ่มจากเรื่องผู้ช่วย สส.แต่เริ่มจากเหตุการณ์ก่อนหน้านั้นหลายกรณี เช่น ภาพของสส.บางคนถ่ายรูปกับบุคคลที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับเว็บพนันผิดกฎหมาย
รวมทั้งคดีที่ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกสมาชิกพรรคตระกูลส้มจริงสองราย สิ่งเหล่านี้ทำให้ภาพความสะอาดของพรรคเริ่มถูกตั้งคำถามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ระหว่างที่สังคมกำลังจับตาทุนเทา-สแกมเมอร์ ก็เกิดกรณี แต่งตั้งเด็ก ม.4 เป็นผู้ช่วย สส. ขึ้นมาพร้อมกัน กรณีนี้ผิดระเบียบและขัดคุณสมบัติตำแหน่งอย่างชัดเจน
เมื่อถูกวิจารณ์ พรรคประชาชนอธิบายว่า “ไม่ใช่นโยบายพรรค”
ประโยคนี้กลายเป็นปมทันที เพราะเป็นเหตุผลที่พรรคไม่เคยยอมรับเมื่อวิจารณ์พรรคอื่น โดยเฉพาะเวลาพรรคเรียกร้องให้ฝ่ายตรงข้าม “ต้องรับผิดชอบในนามพรรค” แม้คดียังไม่เสร็จสิ้น
ยิ่งมีข้อมูลว่า เงินเดือนผู้ช่วย สส.บางส่วนถูกนำไปใช้เป็นค่าสมัครสมาชิกพรรค และเรื่องนี้ถูกยื่นเป็นเหตุประกอบคำร้องขอยุบพรรคประชาชน สังคมก็ยิ่งตั้งคำถามมากขึ้นว่าปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องเล็กของคนคนเดียว
นอกจากนี้ ฝั่งผู้สนับสนุนพรรคเองก็ถูกตั้งข้อสังเกตเรื่องสองมาตรฐาน เพราะเมื่อกระแสในโซเชียลเป็นของฝ่ายตัวเอง ก็มักเรียกว่า “พลังบริสุทธิ์” แต่เมื่อฝ่ายตรงข้ามมีกระแสแบบเดียวกัน กลับถูกตีตราว่าเป็น IO
พฤติกรรมเช่นนี้ยิ่งตอกย้ำคำถามว่า มาตรฐานที่พรรคใช้กับตัวเองและคู่แข่งนั้นเท่ากันจริงหรือไม่
แม้กรณีผู้ช่วย สส.จะดูเล็กกว่าเรื่องทุนเทาหรือสแกมเมอร์ แต่มันกลับสะท้อนวิธีคิดของพรรคประชาชนได้ชัดเจนที่สุด เพราะเป็นพื้นที่ที่พรรคควบคุมได้โดยตรง แต่กลับใช้ท่าทีเบามือ
เมื่อเปรียบเทียบกับท่าทีแข็งกร้าวที่พรรคใช้กับพรรคกล้าธรรม ของร้อยเอกธรรมนัส พรหมเผ่า ช่องว่างของมาตรฐานจึงเห็นได้ชัด เพราะพรรคพร้อมเข้มกับคนอื่น แต่ลดท่าทีทันทีเมื่อปัญหาอยู่ในพรรคของตัวเอง
สังคมจึงต้องการเห็นว่า พรรคประชาชนจะทำได้จริงตามภาพความสะอาดที่ตัวเองย้ำมาตลอด ไม่ใช่เฉพาะเวลาที่เป็นเรื่องของพรรคอื่นเท่านั้น
พรรคตระกูลส้มค่อย ๆ สร้างฐานการเมืองจากภาพความสะอาด บอกว่าตัวเองต่างจากการเมืองแบบเก่า และพร้อมเสนอระบบที่โปร่งใสกว่า สิ่งเหล่านี้ช่วยดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางในเมืองเข้าสู่พรรคได้มากในทุกการเลือกตั้ง
แต่ภาพความสะอาดจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อพรรคสามารถรักษามาตรฐานเดียวกันได้เสมอ เพราะยิ่งพรรคตั้งตัวเองไว้สูงเท่าไร สังคมก็ยิ่งคาดหวังมากขึ้น และความผิดพลาดเล็กน้อยก็อาจกระทบความน่าเชื่อถือได้ทันที
แคมเปญ “มีเราไม่มีเทา” จึงเป็นบททดสอบว่าพรรคประชาชนสามารถทำได้ตามที่พูดไว้หรือไม่ ไม่ใช่แค่การตรวจสอบคู่แข่ง แต่รวมถึงการจัดการกับปัญหาของตัวเองอย่างที่สังคมคาดหวังด้วย
ตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ ก้าวไกล จนถึงพรรคประชาชน พรรคตระกูลส้มวางตัวเองผ่าน “ภาพความสะอาด” แบ่งสนามการเมืองออกเป็นคนที่เชื่อว่าตัวเองขาวกว่า และคนที่ถูกจัดให้อยู่ฝั่งเทา
แนวทางนี้ไม่ผิด หากพรรคทำได้สม่ำเสมอ แต่เมื่อพรรคเข้มกับคนอื่น แต่เบากับตัวเอง ความน่าเชื่อถือก็ย่อมถูกตั้งคำถามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แคมเปญ “มีเราไม่มีเทา” จึงเป็นเหมือนคำถามสำคัญที่ย้อนกลับไปถึงพรรคเองว่า ต้องการเป็นพรรคที่สะอาดเพราะพูด หรือเป็นพรรคที่สะอาดเพราะทำให้เห็นจริงในทุกสถานการณ์
และคำตอบนี้จะเป็นตัวกำหนดอนาคตของพรรคประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
หยิกเล็บเจ็บเนื้อ! 'ภท.-พท.' โต้เดือดพัวพัน 'เบน สมิธ'
นายเทพไท เสนพงศ์ อดีต สส.นครศรีธรรมราช โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า กรณีเบน สมิธ : ภูมิใจไทย-เพื่อไทย หยิกเล็บเจ็บเนื้อ
รู้จักน้อยไปจริง! กระทุ้ง 'อนุทิน' เผยตัวตนให้มากขึ้น
นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีต สส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า หรือเรารู้จักท่านนายกรัฐมนตรีน้อยไปจริงๆ
เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา
"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ
โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ
'อนุทิน' รับรู้จัก 'เบน สมิธ' แต่ไม่สนิท ชี้ภาพเก่า 10 ปี รู้อยู่แล้วใครปล่อย
“อนุทิน” รับรู้จัก “เบนสมิท” แต่ไม่สนิท ไม่มีธุรกิจร่วมกัน ชี้ภาพที่เห็นออกเป็นรูปเก่า10ปี บอกสื่อก็รู้ว่าใครปล่อย ยันถ้าสนิททำไมไม่ได้สัญชาติ ไทย รับเป็นเหตุต้องพ้น มท. 1 โต้ “โรม” รู้จักผมน้อยไป หลังวิจารณ์ไม่ตั้งใจปราบสแกมเมอร์
เพจดังงัดภาพใหม่กว่า ตบหน้าแฟนคลับพรรคแดง ขว้างงูไม่พ้นคอ ทักษิณก็รู้จัก 'เบน สมิธ'
จากกระแสวิพากษ์วิจารณ์ หลังปรากฏภาพนายเบน สมิธ ถ่ายร่วมเฟรมกับบุคคลระดับสูงในแวดวงการเมืองไทย ได้แก่ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี, นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง


