คดี 112 ทักษิณ และภาษีชินคอร์ป ความเชื่อแซงหน้ากระบวนการยุติธรรม

กลางเดือนพฤศจิกายน 2568 ชื่อของ “ทักษิณ ชินวัตร” กลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งจากสองคดีสำคัญที่มีผลออกมาในช่วงใกล้กัน ทั้งคำสั่งอุทธรณ์คดี 112 ของอัยการสูงสุด และคำพิพากษาศาลฎีกาให้ชำระภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปกว่า 1.76 หมื่นล้านบาท

หลังข่าวเผยแพร่ไม่นาน กระแสฝ่ายสนับสนุนทักษิณก็ขยายตัวรวดเร็ว กล่าวหาว่าการอุทธรณ์คดี 112 เป็น “แผนสกัดไม่ให้ออกจากเรือนจำก่อนการเลือกตั้ง” เพราะเชื่อว่าหากทักษิณได้รับพักโทษและออกมา เขาอาจช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงในช่วงเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง

ในวันเดียวกัน พินทองทา ชินวัตร ให้สัมภาษณ์หลังเยี่ยมพ่อว่า ทักษิณ “เสียใจและเจ็บใจ” กับการยื่นอุทธรณ์ ขณะที่พานทองแท้บอกว่าบรรยากาศในครอบครัว “จิตตก” จากเหตุการณ์นี้ ด้านก่อแก้ว พิกุลทอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย โพสต์ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับทักษิณ “เกินจะรับ”

เสียงสะท้อนเหล่านี้ผลักให้ข้อกล่าวหาทางการเมืองดังขึ้น ทั้งที่ขั้นตอนจริงของคดีอุทธรณ์ไม่ได้ต่างจากคดีอื่นที่ศาลชั้นต้นยกฟ้อง อัยการมีอำนาจส่งให้ศาลอุทธรณ์ตรวจสอบซ้ำ เป็นขั้นตอนที่พบได้ทั่วไปในคดีลักษณะคล้ายกัน

เมื่อดูตามหลักคดี ถ้าศาลชั้นต้นตัดสินกลับกัน คือเห็นว่าทักษิณมีความผิด คำถามคือฝ่ายทักษิณจะทำอย่างไร คำตอบก็เหมือนกันทุกคดีคือ “ต้องอุทธรณ์” เหมือนกัน เพราะไม่มีใครยอมรับคำพิพากษาชั้นต้นโดยไม่ใช้สิทธิของตัวเอง กระบวนการอุทธรณ์จึงเป็นส่วนหนึ่งของระบบ ไม่ใช่ความผิดปกติของคดีนี้แต่อย่างใด

ดังนั้นไม่ว่าทักษิณชนะหรือแพ้ในชั้นต้น ขั้นตอนอุทธรณ์ย่อมเกิดขึ้นอยู่ดี การตีความว่าการอุทธรณ์ครั้งนี้เป็นแผนการทางการเมือง จึงไม่สอดคล้องกับวิธีที่คดีอาญาเดินจริงในศาล ซึ่งเปิดทางให้ทั้งสองฝ่ายใช้สิทธิเต็มที่ก่อนที่คดีจะถึงที่สุด

สิ่งที่เป็นเพียงขั้นตอนตามกฎหมาย กลับถูกโยงเป็นเรื่องการเมืองจนใหญ่เกินตัว เพราะความเชื่อเดินนำหน้าข้อเท็จจริง

คดีอุทธรณ์ 112 ถูกจับโยงเข้าการเมืองตั้งแต่วันแรกที่มีข่าว ทั้งที่โครงสร้างในอัยการมีหลายชั้นมติที่เห็นว่าไม่ควรอุทธรณ์ไม่ใช่คำตัดสินสุดท้าย เพราะดุลพินิจอยู่ที่อัยการสูงสุดผู้ต้องประเมินกรอบทั้งหมดก่อนลงนาม

คดีที่สังคมติดตามมักถูกส่งให้ศาลชั้นบนตรวจซ้ำ เพื่อให้คำวินิจฉัยมีความรอบด้าน ดังนั้นช่วงเวลาที่อัยการสูงสุดลงนาม ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลว่ามีการเมืองแทรกได้อย่างที่ถูกกล่าวอ้าง

ส่วนข้อกล่าวหาว่าต้องการ “ขังให้ครบหนึ่งปี” ตั้งอยู่บนความเข้าใจผิดเกี่ยวกับหลักเกณฑ์พักโทษ เพราะการพักโทษอยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการ ที่ดูข้อมูลจำเพาะของนักโทษเป็นรายกรณี ไม่ใช่กระบวนการที่ผูกกับอารมณ์ของฝ่ายการเมืองหรือเจตนาของอัยการ

ที่กระแสนี้ขยายกว้าง เพราะผู้สนับสนุนทักษิณคาดหวังว่าเขาจะกลับมามีบทบาทจึงดึงทุกเหตุการณ์เข้ามาอธิบายด้วยการเมือง แทนที่จะอ่านตามกรอบคดีจริง

คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปที่ศาลฎีกาตัดสินในวันเดียวกัน ถูกดึงเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องการเมืองทั้งที่ตัวคดีมีประวัติยาวนานมากกว่าทศวรรษ ผ่านการพิจารณาหลายชั้น และถูกตรวจเอกสารจำนวนมากตั้งแต่แรก

เนื้อคดีเกี่ยวข้องกับลักษณะรายได้และฐานภาษี ซึ่งเป็นประเด็นเชิงกฎหมายโดยตรง ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยไปทางหนึ่ง แต่ศาลฎีกาตรวจเหตุผลในตัวบทแล้วเห็นต่าง ซึ่งพบได้บ่อยในคดีภาษีที่มีพื้นที่ตีความหลายระดับ

เมื่อผลคดีไม่ตรงใจบางฝ่าย คำว่ากลั่นแกล้งจึงถูกหยิบมาใช้ทันที ทั้งที่ยังไม่มีการชี้ว่าตรงไหนในคำพิพากษาขัดกับกฎหมาย การถกเถียงจึงกลายเป็นเรื่องความรู้สึก มากกว่าการอ่านเหตุผลที่อยู่ในคำวินิจฉัยจริง

เรื่องเล่าทางการเมืองจึงวิ่งเร็วกว่าตัวคดี จนภาพที่สังคมรับไปไม่ตรงกับกรอบที่ศาลใช้พิจารณา

เมื่อวางสองคดีไว้ข้างกัน จะเห็นว่าการตีความเข้าการเมืองเกิดจากอารมณ์ของผู้ติดตามมากกว่าจากเนื้อหาของคดีเอง คดีอุทธรณ์ 112 อยู่ในกระบวนการของอัยการ คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปอยู่ในกระบวนการของศาล สองเส้นทางไม่ทับซ้อนกัน แต่ถูกนำมามัดรวมเพื่อสร้างภาพว่ามีแรงกดดันบางอย่าง

เรื่องเล่าลักษณะนี้เกิดง่าย เพราะไม่ต้องใช้ข้อมูลมาก เพียงบอกว่าเป็น “แผนสกัดทักษิณ” ก็ทำให้ผู้สนับสนุนรับต่อได้ทันที จนเนื้อคดีจริงถูกกันออกไปโดยไม่รู้ตัว

หลายจุด เรื่องเล่ายังทำหน้าที่ประคองภาพลักษณ์ของทักษิณ ในช่วงที่บทบาททางการเมืองลดลง มากกว่าจะช่วยให้สังคมเข้าใจคดีตามเหตุผลของมัน

แรงของเรื่องเล่าฝั่งสนับสนุนทักษิณ ผูกอยู่กับความเชื่อว่าเขายังสามารถช่วยพรรคเพื่อไทยได้เหมือนในอดีต แต่ข้อเท็จจริงตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่รองรับภาพนั้น

การปรากฏตัวของทักษิณไม่ได้ช่วยเพิ่มคะแนนให้พรรคอย่างที่หวัง บางพื้นที่กลับทำให้การแข่งขันยากขึ้น เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ได้มีสายสัมพันธ์กับยุคของเขา ส่วนคนรุ่นเก่าบางส่วนก็รู้สึกว่าบารมีและความน่าเชื่อถือไม่เหมือนเดิม

หากดูตามสภาพจริง ทักษิณไม่อาจขยายฐานเสียงใหม่ให้พรรคได้ ในทางที่เป็นไปได้มากที่สุดก็เพียงรักษาฐานเดิม ซึ่งยังยากด้วยซ้ำ

แต่เมื่อเขาอยู่ในเรือนจำ ความรู้สึกเห็นใจกลับเกิดง่ายกว่า ด้วยเสียงจากพินทองทาที่บอกว่าเขา “เสียใจและเจ็บใจ” เสียงจากพานทองแท้ที่บอกว่าครอบครัว “จิตตก” และโพสต์ของก่อแก้วที่ว่า “เกินจะรับ” ทั้งหมดนี้ทำให้ผู้สนับสนุนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนเป็นการซ้ำเติมทักษิณอีกชั้นหนึ่ง

จากบรรยากาศแบบนั้น จึงไม่แปลกที่ความเชื่อเรื่อง “สกัดทักษิณไม่ให้ออกมาก่อนเลือกตั้ง” จะดังขึ้น แม้ในทางเหตุผล หากเขาออกมา ก็ไม่ได้เพิ่มคะแนนให้พรรคเพื่อไทย และยังเสี่ยงต่อภาพลักษณ์มากกว่าจะช่วยอะไร ตรงกันข้ามการอยู่ในเรือนจำกลับทำให้กระแสเห็นใจเกิดขึ้นง่ายกว่า

สถานการณ์เช่นนี้ทำให้สองคดีถูกใช้ในเชิงอารมณ์ มากกว่าการเปิดดูคำวินิจฉัยหรือข้อกฎหมายที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

ภาพรวมของสองคดีนี้สะท้อนว่า เมื่อความเชื่อถูกยกขึ้นมาเป็นตัวตั้ง กระบวนการยุติธรรมถูกอ่านผิดจากความเป็นจริงได้ง่ายมาก

ข้อกล่าวหาว่ามีแผนสกัดทักษิณ อาศัยเพียงการจับจังหวะเวลามาต่อกัน ไม่ใช่เหตุผลที่มาจากตัวคดี คดีอุทธรณ์ 112 ก็มีที่มาของมัน คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปก็มีเส้นทางของมัน ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสถานการณ์ทางการเมืองรอบปัจจุบัน

เมื่อเสียงในโซเชียลกว้างกว่าเหตุผลในคำวินิจฉัย การรับรู้ของสังคมก็เบี่ยงออกจากขั้นตอนจริง เหลือเพียงการแลกเปลี่ยนตามความรู้สึกแทนที่เหตุผลของคดี

การเชื่อว่ามีใครคอยกำกับอยู่เบื้องหลัง ไม่ช่วยให้ประเด็นทางกฎหมายเข้าใจง่ายขึ้น แต่ทำให้การทำความเข้าใจคดียากกว่าเดิม เพราะทุกอย่างถูกดึงเข้าการเมืองโดยไม่ผ่านการตรวจข้อเท็จจริง

ถ้าดูตามเหตุผลและขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมอย่างที่เป็นอยู่ ทั้งคดี 112 ของทักษิณ และคดีภาษีหุ้นชินคอร์ป เดินไปตามกรอบเดิมของมันเอง ไม่ใช่สิ่งที่ขยับตามแรงคาดหวังหรือความโกรธของฝ่ายใดเลย.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เพื่อไทยกระอัก! 'อนุทิน' ย้อนเจ็บ มีภาพคู่ทักษิณเยอะ ไม่เห็นมีปัญหา

"อนุทิน" เหน็บ "สุริยะ-โฆษกเพื่อไทย" ไม่รู้เรื่องอะไรเพราะไม่ได้ร่วมวง การสนทนาสำหรับผมต้องระดับสูงขึ้นไป ย้อนเจ็บภาพถ่ายคู่ทักษิณก็มีตั้งเยอะ ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย

โฆษกภูมิใจไทย โต้เดือด โทรโข่งเพื่อไทยแกล้งตาบอด ไม่เห็นภาพทักษิณกับเบน สมิธ

โฆษกภูมิใจไทย สวนโฆษกเพื่อไทย อย่าแกล้งตาบอด ปีนี้ใครถ่ายรูปกับ "เบน สมิธ" ยัน "อนุทิน" แค่รู้จักแต่ไม่สนิท ผลงานประจักษ์ยึดทรัพย์หมื่นล้านสแกมเมอร์รายใหญ่ บีบพ้น มท.1 เหตุไม่ให้สัญชาติใครหรือไม่ เย้ย 4 เดือนใครบริหารน้ำท่วมเหลว ขณะที่ "2 เดือน" นายกฯอนุทิน" เข้ามาแก้วิกฤติ

เพื่อไทย เปิดตัว 'อดีตปลัด ก.เกษตร' ลงสนามชนบ้านใหญ่ 'ศิลปอาชา'

พท.เปิดตัว “ประยูร อินสกุล” อดีตปลัด ก.เกษตรฯ ลงสนามชนบ้านใหญ่ “ศิลปอาชา” ไม่ฟันจะปักธงเมืองสุพรรณได้หรือไม่ ชี้ขึ้นกับ ปชช. อ้อนกาเพื่อไทยทั้งคนทั้งพรรค

ลูกพรรครอเก้อ! 'ทวี' ชิ่งประชุมสรรหาผู้สมัคร สส. พบโผล่หาดใหญ่กับคณะเพื่อไทย

พรรคประชาชาติได้จัดประชุมคณะกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยที่ประชุมได้เห็นชอบส่งผู้สมัครเฉพาะใน  3 จังหวัดชายแดนภาคใต้รวม 13 เขต มี 7 ส.ส. ในนามพรรคยังคงเป็นผู้สมัครในนามพรรค และรายชื่อทั้งหมดจะนำเข้าสู่การพิจารณาของ