แม้น้ำจะลดลงเพียงไม่กี่ชั่วโมง งานฟื้นฟูและการเยียวยาก็เดินหน้าในทันที ทว่าในช่วงที่ข้อมูลจริงยังไม่ครบ กลับมีบางกลุ่มปั้นตัวเลขผู้เสียชีวิตให้สูงเกินจริงจนสังคมไขว้เขว เหตุการณ์ครั้งนี้จึงเผยให้เห็นช่องว่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในพื้นที่ กับตัวเลขที่ถูกปั่นขึ้นมาเพื่อหวังผลทางการเมือง
ปลายเดือนพฤศจิกายน 2568 ภาคใต้เจอน้ำท่วมครั้งใหญ่ น้ำแรงและไหลเร็วเกินกว่าหลายจังหวัดจะตั้งรับทัน ตั้งแต่สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง สตูล สงขลา ปัตตานี ยะลา ไปจนถึงนราธิวาส ผู้คนนับล้านต้องอพยพหนีน้ำ หลายครอบครัวต้องเร่งย้ายผู้ป่วยออกจากจุดเสี่ยงทันทีท่ามกลางน้ำเชี่ยวที่ไม่เปิดโอกาสให้ช้ากว่านาทีเดียว
ในจำนวนนี้ “หาดใหญ่” หนักที่สุด น้ำสูงจนท่วมอาคารหลายชั้น ถนนหลายสายกลายเป็นเส้นทางที่รถเข้าไม่ได้ ต้องใช้เรือเป็นหลัก ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก และผู้ป่วยถูกพาออกทีละคน ขณะที่กระแสน้ำยังคงแรงไม่ลดลงเลย
เมื่อระดับน้ำเริ่มลด สิ่งที่ปรากฏคือร่องรอยเสียหายทั่วเมือง บ้าน ร้านค้า โรงเรียน โรงงาน และวัด เต็มไปด้วยโคลน เศษไม้ และรอยน้ำสูงติดผนัง เหมือนบันทึกเหตุใหญ่ที่เพิ่งผ่านไปสด ๆ ร้อน ๆ
ด้านรัฐ หน่วยงานต่าง ๆ ขยับแทบจะพร้อมกัน การคืนไฟ เปิดประปา เคลียร์เส้นทางหลัก และการเก็บซากถูกเร่งให้เดินคู่กันเพื่อให้ประชาชนกลับพื้นที่ได้เร็วที่สุด มาตรการโอนเยียวยา 9,000 บาทต่อครัวเรือนก็ปล่อยทันทีหลังน้ำลด จนหลายพื้นที่บอกตรงกันว่าครั้งนี้รัฐทำงานเร็วกว่าเหตุใหญ่ก่อนหน้าอย่างเห็นได้ชัด
พอน้ำลดลง ทีมสำรวจลงพื้นที่เพื่อดูว่าบ้านไหนกลับอยู่ได้ ซ่อมได้ หรือพังจนไม่สามารถกลับได้ การจัดลำดับแบบนี้ช่วยให้การชดเชยตรงจุดขึ้น และลดปัญหาการตกหล่นแบบที่เคยเกิดในบางเหตุการณ์ที่ผ่านมา
หลายครอบครัวเริ่มล้างบ้าน เก็บของ และจัดการเศษซากเพื่อให้กลับมาอยู่ได้เร็วที่สุด ขณะที่บางชุมชนยังต้องพักในศูนย์อพยพเพราะบ้านเสียหายหนักจนต้องรอประเมินซ้ำ
งานฟื้นฟูเดินคู่กับการดูแลผู้คน โรงพยาบาลหลายจังหวัดเปิดรับผู้ป่วยจากจุดอพยพ ทีมแพทย์ลงพื้นที่ตรวจสุขภาพต่อเนื่อง ทหาร กู้ภัย และ อปท. เร่งเปิดเมืองให้การเดินทางกลับมาเป็นปกติให้เร็วที่สุด
ความเร็วรอบนี้สะท้อนตั้งแต่การเปิดถนน การย้ายผู้ป่วย การสำรวจบ้าน ไปจนถึงการคืนระบบสาธารณูปโภค หลายคนพูดตรงกันว่ารัฐขยับเร็วกว่าเดิมแบบจับต้องได้
แต่ในโลกออนไลน์ ภาพกลับตรงข้าม บางเพจเริ่มอ้างตัวเลขผู้เสียชีวิตแบบพุ่งขึ้นอย่างผิดสังเกต ทั้งที่ข้อมูลพิสูจน์อัตลักษณ์ยังไม่ออกมารองรับ ทำให้รัฐต้องจัดการสองเรื่องในเวลาเดียวกัน ทั้งงานช่วยคนจริง และงานแก้ข้อมูลที่ไม่ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง
วันที่น้ำสูงที่สุด วันที่เรือต้องเข้าแทนรถ และวันที่ทีมแพทย์ต้องฝ่าน้ำไปถึงผู้ป่วย ยังไม่ใช่ช่วงที่ข้อมูลผู้เสียชีวิตจะปรากฏครบ แต่กลับเป็นจังหวะที่บางกลุ่มเริ่มปล่อยคำว่า “พันศพ” ลงโซเชียลราวกับเป็นข้อมูลจริง
ตัวเลขเหล่านี้ไม่มาจากเจ้าหน้าที่ ไม่ใช่กู้ภัย ไม่ใช่โรงพยาบาล แต่เป็นตัวเลขที่ปั่นโดยบุคคลทางการเมืองฝั่งตรงข้ามรัฐบาล ใช้โซเชียลเป็นเครื่องมือปล่อยตัวเลขลอย ๆ โดยไม่ต้องมีรายชื่อรองรับแม้แต่รายเดียว
ในโลกจริง การยืนยันผู้เสียชีวิตต้องผ่านหลายขั้นตอน ตั้งแต่ค้นหา เก็บร่าง ตรวจอัตลักษณ์ ไปจนถึงบันทึกชื่อก่อนเข้าสู่ระบบชดเชยศพละสองล้านบาท ดังนั้นตัวเลขระดับ “พัน” จึงไม่สามารถโผล่ขึ้นมาได้เองโดยไม่มีเคสให้ตรวจสอบแม้แต่เคสเดียว
เมื่อรายงานจากโรงพยาบาลเริ่มทยอยเข้า ตัวเลขจริงก็ไม่เดินไปในทิศเดียวกับสิ่งที่ถูกปั่นแม้แต่นิดเดียว คำว่า ‘พันศพ’ จึงล้มลงด้วยข้อเท็จจริงในทุกชั้นตอน เพราะไม่สอดคล้องกับข้อมูลจริงที่ตรวจสอบได้เลย
เหตุการณ์ครั้งนี้สะท้อนว่า รัฐบาลอนุทินที่เพิ่งทำงานเพียงสองเดือนกว่า ต้องรับมือสถานการณ์ใหญ่ทันที และสิ่งที่เห็นชัดคือความเร็วของงานฟื้นฟูเยียวยาที่เดินต่อเนื่องและเป็นรูปธรรม
คำถามจึงเกิดขึ้นว่า หากวันนั้นเป็นรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่ผลัก “ชัยเกษม นิติสิริ” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ภาพการสั่งงานจะออกมาแบบใด เพราะวิกฤตระดับนี้ต้องการผู้นำที่สั่งได้ทันทีไม่ติดลำดับประชุม และด้วยสภาพร่างกายที่ประชาชนเห็นอยู่ ก็ย่อมทำให้เกิดข้อสงสัยว่ารับงานหนักระดับนี้ได้หรือไม่
ในอีกสมมติฐานหนึ่ง หาก “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีจริง คำถามก็ผุดขึ้นทันทีว่าจะรับมือสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่เช่นนี้ได้อย่างไร
เพราะพรรคนี้ประกาศมาตลอดว่าโครงสร้างรัฐไทย “ล้าหลังและเชื่องช้า” จนต้องรื้อใหม่ทั้งระบบ แต่เมื่อถึงเวลาน้ำท่วมจริง คนที่ต้องลุยน้ำ ลุยโคลน และลุยงานแข่งเป็นชั่วโมงกลับเป็นเจ้าหน้าที่ชุดเดิมทั้งหมดที่พรรคนี้เคยบอกว่าไม่ทันสมัย แล้วจะขอความร่วมมือแบบไหน ในเมื่อคำพูดก่อนหน้านั้นคือการบอกว่าอีกฝ่ายคือปัญหาเสียเอง
ยิ่งไปกว่านั้น ระบบใหม่ที่ประกาศว่าจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้น ยังไม่มีต้นแบบ ไม่มีคู่มือ และยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน่วยไหนจะรับผิดชอบอะไร แล้วในจังหวะที่นาทีเดียวก็มีความหมาย เจ้าหน้าที่จะเดินงานบน “โครงสร้างที่อยู่ในกระดาษ” ได้อย่างไร ขณะที่คนในพื้นที่ต้องการคำสั่งที่ลงมือได้ทันที ไม่ใช่คำอธิบายว่ากำลังจะสร้างระบบใหม่
ภาพมันจึงย้อนกลับมาชัดว่า หากผู้นำยังไม่เคยผ่านสนามบริหารประเทศ การประสานงานระหว่างส่วนกลางกับท้องถิ่นจะวิ่งไปทางไหนกันแน่ เพราะภัยพิบัติไม่เคยรอให้แผนปฏิรูปเสร็จก่อน น้ำไม่ถามว่าการดีไซน์ประเทศเดินไปถึงไหนแล้ว มันแค่ไหลเข้าเมือง และไหลเข้าเร็วมาก ทุกอย่างต้องสั่งในนาทีเดียว ไม่ใช่จัดแผนรื้อประเทศกลางวิกฤต
เหนือสิ่งอื่นใด เหตุการณ์แบบนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในไทย เมืองใหญ่ทั่วโลก ตั้งแต่เอเชีย อเมริกา จนถึงยุโรป ล้วนเคยจมน้ำหลายวัน ทั้งที่มีเครื่องมือ งบประมาณ และระบบพร้อมกว่าไทยมาก การใช้เหตุนี้มาโจมตีรัฐบาลว่า “ล้มเหลว” จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริง เพราะถ้าคิดแบบนั้น ก็ต้องบอกว่ารัฐบาลประเทศเหล่านั้น “ล้มเหลวเหมือนกันทั้งหมด” ซึ่งไม่ตรงกับความจริงเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเมืองเริ่มตั้งหลักจากเหตุใหญ่ บางฝ่ายกลับใช้จังหวะนี้ขยายสถานการณ์ให้ดูหนักขึ้น ด้วยการปั้นตัวเลขลอย ๆ พร้อมข้อความแรง จนคนจำนวนหนึ่งเริ่มสงสัยว่าเหตุการณ์จริงตรงกับสิ่งที่เห็นบนออนไลน์หรือไม่
กระบวนการพิสูจน์อัตลักษณ์ต้องตรวจทีละรายก่อนเข้าสู่ระบบชดเชยศพละสองล้านบาท ไม่มีทางลัด ตัวเลขที่ถูกปั้นจึงไม่อาจเกิดขึ้นจริง เพราะไม่ผ่านแม้แต่ขั้นพื้นฐานคือ “รายชื่อผู้เสียชีวิต”
สิ่งที่น่าห่วงไม่ใช่ตัวเลข แต่คือการหยิบ “ความสูญเสีย” มาใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง หากวิธีคิดนี้ฝังราก สังคมจะสับสนทุกครั้งที่เกิดภัยพิบัติ เพราะแต่ละฝ่ายสนใจว่าจะได้อะไรจากสถานการณ์ มากกว่าใครที่กำลังเดือดร้อนอยู่ตรงหน้า
เมื่อรายงานจากโรงพยาบาลแต่ละจังหวัดทยอยเข้าระบบ ตัวเลขจริงก็ไม่สัมพันธ์กับสิ่งที่ถูกปล่อยตั้งแต่ต้นเลยแม้แต่น้อย จึงไม่ควรถูกหยิบมาใช้เป็นอาวุธทางการเมืองในช่วงที่ประชาชนกำลังตั้งหลักจากเหตุใหญ่
เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เห็นว่า เมื่อรัฐถูกเร่งให้เดินเร็ว มันก็เดินได้จริง ความล่าช้าที่เคยเป็นปัญหาในอดีตลดลงแบบจับต้องได้ ทั้งการอพยพ การดูแลคน การฟื้นฟู และการโอนเงินเยียวยา ทุกหน่วยขยับพร้อมกันจนพื้นที่เห็นผลจริง
ในอีกด้านหนึ่ง เหตุการณ์นี้เผยให้เห็นว่ามีกลุ่มการเมืองบางกลุ่มพร้อมใช้ “ตัวเลขที่ไม่มีมูล” เพื่อขยายสถานการณ์ให้ใหญ่กว่าเหตุจริง ทั้งที่ผู้คนในพื้นที่กำลังตั้งหลักจากสิ่งที่เพิ่งเผชิญมา
กรณี ‘พันศพ’ คือภาพที่ชัดที่สุด เพราะถูกปล่อยตั้งแต่วันที่ข้อมูลจริงยังไม่ออกมา และเมื่อรายชื่อผ่านการยืนยันจากโรงพยาบาล ตัวเลขจริงก็ไม่เข้าใกล้สิ่งที่บางคนคาดหวังแม้แต่น้อย นี่คือความต่างระหว่างข้อมูลที่ตรวจสอบได้ กับตัวเลขที่ถูกสร้างเพื่อตอบสนองเป้าหมายทางการเมืองของฝ่ายที่ต้องการโจมตีรัฐบาลให้หนักที่สุด
ในยุคที่ทุกคนถือโทรศัพท์อยู่ในมือ ข้อมูลจากพื้นที่กระจายออกแทบจะทันที ไม่ต้องรอแถลง ไม่ต้องรอรายงานแบบเดิม ภาพ คลิป และข้อความจากชาวบ้าน กู้ภัย หรือทีมแพทย์ที่อยู่หน้างานเดินทางเร็วกว่าที่ใครคิด การปิดบังตัวเลขจำนวนมากจึงแทบไม่มีช่องว่างจะเกิดขึ้นจริง
เมืองที่เจอน้ำใหญ่จะยืนได้ด้วยสองอย่าง คือ “ข้อมูลที่ตรง” และ “การลงมือทำจริง” ไม่ใช่ตัวเลขที่ถูกทำให้ดูเกินจริง การฟื้นเมืองต้องตั้งอยู่บนข้อเท็จจริง ไม่ใช่ตัวเลขที่ถูกปรุงขึ้นเพื่อตอบอารมณ์ทางการเมืองของบางกลุ่ม
นี่คือบทเรียนสำคัญที่ควรยึดไว้ในเหตุใหญ่ครั้งถัดไปของประเทศ.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
รัฐบาลยกเว้น 'ค่าไฟ' พ.ย. 420 ล้าน เยียวยาน้ำท่วมสงขลา
นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า การเยียวยาและฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย โดยเฉพาะในจังหวัดสงขลา เดินหน้าไปอย่างมาก โดยปัจจุบันสามารถนำประชาชนกลับบ้านไปได้กว่า 90%
'อนุทิน' ยันยกเลิกพ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟูหาดใหญ่ต่อ จ่อขนนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียน
'อนุทิน' ยอมรับยังกังวลน้ำท่วมหาดใหญ่ ยัน ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินแล้วยังฟื้นฟู-เยียวยาต่อ หยอด อำนาจอยู่ที่ มท.1แล้ว 'นายกฯ คงไม่ขัดอะไร' เผยขั้นตอนนำผู้ประสบภัยกลับบ้าน ทำไปแล้วกว่า 90% จ่อขนกองทัพนักวิชาการลงพื้นที่ถอดบทเรียนพรุ่งนี้
มูลนิธิคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มอบเงินให้สภากาชาดไทย ช่วยน้ำท่วมภาคใต้
รศ.นายแพทย์พินิจ กุลละวณิชย์ ประธานกรรมการมูลนิธิคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มอบเงินบริจาคจำนวน 306,000 บาท (สามแสนหกพันบาทถ้วน) ให้นายเตช บุนนาค เลขาธิการ สภากาชาดไทย รับมอบ เพื่อ “รวมน้ำใจ ช่วยภัยน้ำท่วมภาคใต้ กับสภากาชาดไทย” ช่วยเหลือ ฟื้นฟู เยียวยา พี่น้องผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมภาคใต้
#TOAไม่ทิ้งกัน รวมพลัง ‘ทีโอเอ อาสา’ เดินหน้าฟื้นฟูชาวใต้หลังน้ำลด ส่งมอบถุงยังชีพ – สิ่งของบรรเทาทุกข์ ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้เต็มสูบ
บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีความห่วงใยและเข้าใจถึงความยากลำบากของพี่น้องประชาชนชาวใต้ที่ต้องเผชิญวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่
สส.ศาสตรา สะท้อนปัญหาน้ำท่วมหาดใหญ่ จี้รัฐบาลเร่งแก้ขยะเน่าเหม็นแล้ว เงินเยียวยายังล่าช้า
สส.สงขลา เข้าสภาฯ สะท้อนปัญหาชาวหาดใหญ่ เรียกร้องรัฐบาล เร่งจ่ายเงิน 9,000 บาทให้เร็วเหมือนวันแรก จี้ เก็บขยะเน่าเสีย วอน ออกมาตรการช่วยเหลือภาคอุตสาหกรรม สร้างความเชื่อมั่นให้นักท่องเที่ยว


