เอาแล้ว 'รพ.มงกุฎวัฒนะ' ประกาศ หยุดให้บริการรับส่งต่อผู้ป่วยนอก เหตุสปสช.ค้างจ่าย 50 ล้าน

13 ธ.ค.2567- นพ.พล.ต.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า

ด่วนที่สุด! ได้โปรดแชร์ถึงผู้ป่วยบัตรทองจากคลินิกต่างๆที่ส่งต่อมายัง รพ.มงกุฎวัฒนะ ว่า รพ.มงกุฎวัฒนะมีความจำเป็นต้องหยุดให้บริการรับส่งต่อผู้ป่วยนอก กรณี OP-REFER จากทุกคลินิกที่ส่งต่อ รพ.มงกุฎวัฒนะ ไม่ว่าจะมีใบส่งตัวหรือไม่มีใบส่งตัวตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้ วันศุกร์ที่ 13 ธ.ค.67 เป็นต้นไป

การหยุดให้บริการรับส่งต่อผู้ป่วยนอก กรณี OP-REFER นี้เป็นไปตามที่ผมได้ประกาศให้ทราบทั่วกันตั้งแต่ ต.ค.67 แล้ว และ สปสช.โดยคณะทำงานได้ยืนยันว่าจะจ่ายหนี้ค้างจ่ายกรณี OP REFER ที่คลินิกคู่สัญญาของ สปสช ส่งต่อผู้ป่วยมายัง รพ.มงกุฎวัฒนะ ภายในสิ้นเดือน พ.ย.67
แต่ สปสช ไม่สามารถหาเงินมาจ่ายหนี้ค้างจ่ายกรณี OP REFER ที่คลินิกคู่สัญญาของ สปสช ส่งต่อผู้ป่วยมายัง รพ.มงกุฎวัฒนะ จำนวนเกือบ 14 ล้านบาทได้ ทั้งนี้ยังไม่นับรวมจากการที่ สปสช ไม่ยอมจ่ายค่าแพทย์ในการตรวจรักษาผู้ป่วยกรณี OP REFER ตั้งแต่ 1 มี.ค.67 จนถึงปัจจุบันอีกเป็นจำนวนมากกว่า 30 ล้านบาท รวมจำนวนหนี้ค้างชำระกรณี OP REFER ที่คลินิกคู่สัญญาของ สปสช ส่งต่อผู้ป่วยมายัง รพ.มงกุฎวัฒนะ มากกว่า 44 ล้านบาท (ประมาณ 50 ล้านบาท ณ ปัจจุบัน)

หาก รพ.มงกุฎวัฒนะยังปล่อยให้บริการรับส่งต่อผู้ป่วยนอก กรณี OP-REFER นี้ต่อไป รพ.มงกุฎวัฒนะจะไม่สามารถอยู่รอดได้ เนื่องจาก รพ.มงกุฎวัฒนะเคยประสบปัญหาในลักษณะนี้ จำนวนหนี้ 13.2 ล้านบาทเศษ เมื่อ ปี พ.ศ.2563 จนต้องฟ้องศาลปกครอง แต่ศาลปกครองก็หาได้มีความคืบหน้าให้ความเป็นธรรมแก่ รพ.มงกุฎวัฒนะ

ดังนั้นตั้งแต่เช้าวันพรุ่งนี้ วันศุกร์ที่ 13 ธ.ค.67 เป็นต้นไป ผู้ป่วยบัตรทองจากคลินิกต่างๆที่ส่งตัวมารักษากับ รพ.มงกุฎวัฒนะ จะต้องจ่ายเงินเองจนกว่า สปสช.จะเคลียร์หนี้สินทุกรายการจากกรณี OP REFER ตามที่ สปสช โดยคณะทำงานตกลงกับ รพ.มงกุฎวัฒนะ เมื่อต้นเดือน พ.ย.67 ที่ผ่านมา

จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและประชาสัมพันธ์ถึงผู้ป่วยบัตรทองจากคลินิกส่งต่อ รพ.มงกุฎวัฒนะ ทราบทั่วกันด้วย

พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ
12 ธ.ค.67 เวลา 21.12 น.
หมายเหตุ ยกเว้นกรณีผู้ป่วยโรคมะเร็ง , โรคไตวายเรื้อรัง และโรคเอดส์ ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะจะยังคงให้บริการตรวจรักษา เนื่องจากเป็นกรณีโรคร้ายแรงที่มีมูลนิธิ มวรร เข้าให้การช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษ

พลตรี เหรียญทอง โพสต์อีกว่า

ประกาศยกเลิกโครงการขยายเพดานปฐมภูมิผู้ป่วยบัตรทอง 250,000 คนขึ้นตรงกับ รพ.มงกุฎวัฒนะเพื่อแก้ปัญหาผู้ป่วยบัตรทองส่งต่อจากคลินิกต่างๆ และยกเลิกการขึ้นทะเบียนปฐมภูมิผู้ป่วยบัตรทอง 50,000 คนที่ขึ้นตรงอยู่แล้วกับ รพ.มงกุฎวัฒนะในวันที่ 1 ต.ค.68 ปีหน้า...พูดง่ายๆชัดๆว่า รพ.มงกุฎวัฒนะประกาศถอนตัวจากการเป็นคู่สัญญาปฐมภูมิ

แต่ รพ.มงกุฎวัฒนะจะยังคงเป็น รพ.รับการส่งต่อผู้ป่วยบัตรทองที่มีอาการหนัก ประสบอุบัติเหตุ หรือป่วยด้วยโรคร้ายแรงจาก รพ.รัฐที่ประสบปัญหาเตียงเต็ม หรือยังคงเป็นคู่สัญญาทุติยภูมิ และตติยภูมิเฉพาะโรคต่างๆ เพื่อรักษาผู้ป่วยที่ต้องนอนรักษาตัวใน รพ.

สำหรับผู้ป่วยบัตรทองที่ช่วยเหลือตนเองได้สามารถจ่ายค่ารักษาเองได้ แต่ต้องการราคาค่าบริการใกล้เคียงกับที่ สปสช จ่าย รพ.มงกุฎวัฒนะจัดโครงการ 'จ่ายเงินเอง ราคาบัตรทอง' ใน ม.ค.68 ปีหน้านี้เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยบัตรทองที่จ่ายค่ารักษาเองได้แต่ต้องการจ่ายในราคาใกล้เคียงกับ สปสช.
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและประชาสัมพันธ์ให้ทราบทั่วกันด้วยครับ
พลตรี เหรียญทอง แน่นหนา
ผอ.รพ.มงกุฎวัฒนะ
13 ธ.ค.67 เวลา 10.15 น.

เพิ่มเพื่อน

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

เอาแล้ว 'หมอเหรียญทอง' ปลุกบุคลากรทางการแพทย์ต่อต้าน องค์กรแอบอ้างปชช.บ่อนทำลายระบบบัตรทอง

พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ว่า ขอเชิญชวน รพ.-หน่วยบริการ-บุคลากรทางการแพทย์ทุกสาขาวิชาชีพทั่วราชอาณาจักรในระบบบัตรทอง

หมอเหรียญทอง แจงชัดๆ โครงการ 3 พันบาท ผ่าตัดทุกโรค แห่ใช้บริการอื้อ รับสายโทรแทบไหม้

นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ได้โปรดแชร์ให้ทราบทั่วกันว่า เนื่องจากมีผู้ติดต่อสอบถามเกี่ยวกับการใช้บริการ "โครงการ 3,000 บาทผ่าตัดทุกโรค-500 บาทแอดมิตทุกโรค-บัตรทองแพลตตินั่ม จ่ายเงินเอง ราคา รพ.รัฐ...ไม่ต้องใช้ใบส่งตัว ทุกเขต ทุกจังหวัด ทั่วราชอาณาจักรตรงมาได้ที่ รพ.มงกุฎวัฒนะ"

BDI ผนึก สปสช. รุกขยายเครือข่าย Health Link สู่ภาคเหนือ หนุนระบบสาธารณสุขไร้รอยต่อ พร้อมชูกลยุทธ์ 3 Healths ขับเคลื่อนสุขภาพดิจิทัล

สถาบันข้อมูลขนาดใหญ่ (องค์การมหาชน) หรือ BDI ผนึกกำลัง สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เดินหน้าขยายเครือข่ายโครงการ Health Link ต่อเนื่อง เพื่อยกระดับศักยภาพการเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างสถานพยาบาลทั่วประเทศ สามารถเชื่อมโยงหน่วยบริการสุขภาพได้แล้วกว่า 2,237 แห่ง