ซิเนอดีน ซิดาน กับ เรอัล มาดริด สร้างประวัติศาสตร์ แชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก 3 ปีติดต่อกันได้สำเร็จ หลังถล่ม ลิเวอร์พูล 3-1 ในเกมนัดชิงชนะเลิศ ที่ กรุงเคียฟ ประเทศ ยูเครน เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา แกเร็ธ เบล สวมบทซูเปอร์ซับ ลงกระหน่ำ 2 ประตูในครึ่งหลัง 
    ศึกฟุตบอล ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา กลายเป็นฝันร้ายของ เดอะ ค็อปส์ นอกจากจะเสีย โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เหมือนจะเจ็บไหล่หลุดตั้งแต่กลางครึ่งแรก ลอริส คาริอุส ยังมาพลาดเองถึง 2 ลูก ที่ทำให้ เรอัล มาดริด ขึ้นนำได้ก่อน ที่ขว้างบอลติดบล็อคของ คาริม เบนเซม่า เข้าประตูไป และประตูที่สาม ที่รับลูกยิงไกลของ แกเร็ธ เบล ปลิ้นเข้าไปตุงตาข่าย
    แมทช์นี้ ลิเวอร์พูล ออกสตาร์ทเกมด้วยการเพรสซิ่งขั้นสุด จน เรอัล มาดริด บุกไม่ขึ้น จุดเปลี่ยนอาจมาอยู่ที่การเจ็บของ ซาลาห์ ที่เบียดแย่งบอลกับ แซร์โจ้ รามอส แล้วล้มไหล่กระแทกพื้นไปด้วยกัน ก่อนจะเล่นต่อไม่ไหว และถูกเปลี่ยนตัวออกในนาทีที่ 31 ซึ่ง ลิเวอร์พูล เกมเปลี่ยนทันที หลังจากนั้น
    เรอัล มาได้ประตูขึ้นนำจากจังหวะที่ไม่ได้มีอะไร และเป็นความผิดพลาดของ ลอริส คาริอุส เอง ที่จะเปิดบอลเร็ว แล้วเขวี้ยงบอลมาผ่านหน้า เบนเซม่า ที่ยืนอยู่ใกล้ ซึ่งกองหน้าชาวฝรั่งเศส เหยียดขาบล็อกกระแทกบอลเข้าประตูไป ให้ทีมแกร่งจากสเปนขึ้นนำ ในนาทีที่ 50
    แต่ เด็กหงส์เสียขวัญได้ไม่กี่อึดใจ ซาดิโอ มาเน่ ยิงตีเสมอได้ทันควัน จากการชาร์จเผาขน จากลูกโหม่งมาให้จาก เดยัน ลอฟเรน
    ซิดาน แก้เกม ส่ง แกเร็ธ เบล ลงมาเติมเกมรุก และลงสนามได้อึดใจเดียว ก็มายิงลูกมหัศจรรย์ ลังกาหลังจากนอกเขตโทษ เสียบตาข่ายในนาทีที่ 64
    หลังจากนั้น ปีกทีมชาติเวลส์ มาทำประตูที่สองให้ทีมได้อีก จากการยิงไกล แม้จะตรงตัว คาริอุส แต่ผู้รักษาประตูลิเวอร์พูล ตบบอลไม่อยู่ บอลปลิ้นเข้าประตูไป และเป็นประตูปิดท้ายให้ เรอัล มาดริด สามารถสร้างประวัติศาสตร์ ครองแชมป์ถ้วยนี้ 3 ฤดูกาลติดต่อกันเป็นทีมแรก พร้อมคว้าแชมป์รายการนี้รวมเป็นสมัยที่ 13