ตำรวจบราซิลบุกจู่โจมจับแก๊งค้ายาเสพติดในสลัมแห่งหนึ่งของนครรีโอเดจาโนเรเมื่อวันพฤหัสบดี เกิดการปะทะกันสนั่นหวั่นไหวส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 25 คน ในจำนวนนี้เป็นตำรวจ 1 นาย ด้านสำนักงานสิทธิยูเอ็นไม่สบายใจอย่างยิ่งกับการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ

อาวุธที่ตำรวจบราซิลนำมาแสดงภายหลังปฏิบัติการสงครามต่อต้านยาเสพติด ที่ชุมชนแออัดจากาเรซินโญในนครรีโอเดจาเนโรเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 (Photo by Fabio Teixeira/NurPhoto via Getty Images)

    ตำรวจบราซิลปฏิบัติการบุกจู่โจมจับแก๊งค้ายาเสพติดในสลัมแห่งหนึ่งที่เขตจากาเรซินโญทางเหนือของนครรีโอเดจาเนโร เมื่อเช้าวันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม ตามเวลาท้องถิ่น ประชาชนที่อาศัยอยู่ในสลัมแห่งนี้ถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงระเบิด, เสียงปืนและเฮลิคอปเตอร์หลายลำบินอยู่เหนือศีรษะ

    ตำรวจรีโอเดจาเนโรแถลงว่าปฏิบัติการบุกจับแก๊งค้ายาเสพติดครั้งนี้มีผู้เสียชีวิต 25 ราย ในจำนวนนั้นเป็นตำรวจ 1 นายโดนยิงที่ศีรษะ ผู้เสียชีวิตที่เหลือเป็นผู้ต้องสงสัย

    โรนัลโด โอลิเวดา ผู้บังคับการตำรวจรีโอเดจาเนโร กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า การบุกจู่โจมสลัมในวันพฤหัสบดี เป็นปฏิบัติการตำรวจในรีโอที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตมากที่สุด

    เว็บไซต์ข่าวจี 1 รายงานว่า ระหว่างตำรวจยิงต่อสู้กับแก๊งค้ายา ผู้โดยสารบนรถไฟใต้ดินโดนลูกหลงได้รับบาดเจ็บ 2 คน แต่อาการไม่สาหัส

    ชาวบ้านในสลัมแห่งนี้รายงานว่า เห็นร่างผู้เสียชีวิตหลายศพนอนอยู่บนทางเดินท่ามกลางกองเลือด ผู้นำชุมชนในสลัมแห่งนี้เผยกับเอเอฟพีว่า ตำรวจนำศพจำนวนมากขนขึ้นรถหุ้มเกราะออกจากสลัม

    ตำรวจแถลงว่า ปฏิบัติการบุกสลัมครั้งนี้เป้าหมายคือต้องการจับแก๊งค้ายาเสพติดที่คัดเลือกเด็กและวัยรุ่นมาเป็นสมาชิกแก๊งเพื่อค้ายาเสพติด, ปล้นทรัพย์, ทำร้ายร่างกาย, ลักพาตัวและฆาตกรรม

    ด้านกลุ่มสิทธิมนุษยชนหลายกลุ่มของบราซิลประณามการกระทำเกินกว่าเหตุของตำรวจ

    ซิลเวีย โฮมอส หัวหน้าสถาบันสังเกตการณ์ความมั่นคงแห่งมหาวิทยาลัยกันจิโดเมนเจส ระบุว่า ผู้ที่เสียชีวิตในการจู่โจมสลัมครั้งนี้ก็คือชายวัยรุ่นผิวดำ วัยรุ่นผิวดำทุกคนที่อยู่ในสลัมเป็นผู้ต้องสงสัยในสายตาตำรวจ ตำรวจนำศพมากองแล้วบอกว่าพวกนี้ทั้งหมดเป็นอาชญากร

    ในวันศุกร์ รูเพิร์ต โคลวิลล์ โฆษกสำนักงานข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (โอเอชซีเอชอาร์) กล่าวที่นครเจนีวาแสดงความไม่สบายใจอย่างยิ่งกับการฆ่ากันที่บราซิล

    "เราขอเตือนทางการบราซิลว่า การใช้กำลังควรใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ และพวกเขาควรเคารพหลักแห่งความชอบด้วยกฎหมาย, การระวังไว้ก่อน, ความจำเป็น และความได้สัดส่วน อยู่เสมอ" เขากล่าว "การใช้กำลังร้ายแรงควรใช้เป็นหนทางสุดท้าย และใช้ในกรณีที่มีภัยคุกคามจวนตัวต่อชีวิตหรือการบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น"