ปตท.ลุยแผนหนุนปั๊มชาร์จรถไฟฟ้า ปรับปรุงพื้นที่ปั๊มเอ็นจีวี


เพิ่มเพื่อน    

11 พ.ค. 2564 นายวุฒิกร สติฐิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่าในปีนี้ ปตท. เตรียมเดินหน้าที่จะพัฒนาธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มพลังงานหมุนเวียน ซึ่งมีแผนจะปรับปรุงสถานีให้บริการก๊าซธรรมชาติสำหรับรถยนต์(ปั๊มเอ็นจีวี) เป็นสถานีชาร์จไฟสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า(อีวี) เพื่อการสนับสนุนการใช้งานรถอีวีในประเทศอีกทางหนึ่ง โดยจะเริ่มดำเนินในเขตพื้นที่ กทม. และปริมณฑล เพื่อให้ตอบโจทย์กับผู้ใช้บริการ โดยเฉพาะกลุ่มแท็กซี่ ที่อาจจะมีการสนับสนุนให้เปลี่ยนเป็นการใช้รถอีวีแทนในอนาคต ก่อนที่จะขยายเป็นพื้นที่ต่างจังหวัด ทั้งนี้จะรองรับหัวชาร์จทั้งระบบกระแสไฟฟ้าตรง (DC) ที่เป็นการชาร์จแบบเร็ว(ฟาส ชาร์จ) และกระแสไฟฟ้าแบบสลับ (AC)

"ปัจจุบันกำลังศึกษาทิศทางความพร้อมในหลาย ๆ ด้านเพื่อตัดสินใจว่าจะเป็นผู้ลงทุนด้วยตัวเอง หรือจะเปิดการประมูลเพื่อคัดเลือกผู้ลงทุนอื่น ๆ เข้ามาทำ ซึ่งปั๊มเอ็นจีวีของเราปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 300-400 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งก็มองว่าเป็นโอกาสที่จะใช้เป็นพื้นที่ในการต่อยอดไปยังธุรกิจใหม่ โดยปัจจุบันแนวโน้มความต้องการใช้รถอีวีมีมากขึ้น ทั้งนี้การลงทุนปั๊มชาร์จอีวีจะเป็นการเพิ่มในส่วนสเตชั่นอีวีเข้าไป ไม่ใช่การยกเลิกเอ็นจีวี โดยเงินลงทุนต่อหัวชาร์จในระบบ DC จะอยู่ที่ 1-2 ล้านบาท ขณะที่ AC จะถูกลงมากว่านั้น โดยสาขาแรกที่มองไว้ว่าจะมีการเพิ่มส่วนของอีวีเพิ่มเติมคือสาขาถนนกำแพงเพชร 2"นายวุฒิกร กล่าว

ขณะเดียวกัน ปตท. ได้เตรียมดำเนินการต่อยอดธุรกิจภายใต้แบรนด์สินค้าฮะรุมิกิ(Harumiki) ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ต่อยอดจากงานวิจัยโครงการวิจัยการใช้ประโยชน์จากพลังงานความเย็นเหลือทิ้งจากก๊าซธรรมชาติเหลวในการปลูกพืชเมืองหนาว โดยโรงแยกก๊าซธรรมชาติระยอง ซึ่งปัจจุบันสามารถนำผลไม้ อย่างเช่น สตรอเบอรี่ และผลไม้เมืองหนาวมาพัฒนาเป็นผลิตภัฑ์ต่าง ๆ ได้นอกเหนือจากการขายเป็นผลสด ทั้งน้ำผลไม้ ครีมทามือ และสเปร์ยแอลกอฮอล์ โดย ปตท. จะใช้วัตถุดิบภายใต้แบรนด์ดังกล่าวมาต่อยอดให้เป็นร้านคาเฟ่ในรูปแบบใหม่ ให้บริการเครื่องดื่มและขนมเบเกอรี่ ซึ่งจะนำร่องก่อนในพื้นที่ ปตท. สำนักงานใหญ่ ก่อนที่จะขยายสาขาในพื้นที่อื่น ๆ เพิ่มเติม

นายวุฒิกร กล่าวว่า สำหรับสถานการณ์การใช้ก๊าซธรรมชาติของไทยช่วงไตรมาสแรกของปีนี้(ม.ค.-มี.ค.) พบว่าขยายตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 7-8% อยู่ที่ประมาณ 4,600 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจที่เริ่มขยายตัว ก่อนจะประสบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา จึงต้องติดตามสถานการณ์การใช้อีกครั้ง ขณะที่ตลอดปีนี้ คาดการณ์ปริมาณการใช้จะอยู่ที่ 4,700-4,800 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน ใกล้เคียงกับปี 2562

ทั้งนี้แผนการนำเข้าแอลเอ็นจีร่วมกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการหารือกันเพื่อกำหนดปริมาณ ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ขณะที่ภาพรวมตลาดแอลเอ็นจีมีความต้องการใช้ปัจจุบันอยู่ที่ 6.5 ล้านตัน ขณะที่สัญญานำเข้าแอลเอ็นจีที่เป็นระยะยาว(ลอง เทอม) อยู่ที่ประมาณ 5.2 ล้านตัน และเป็นการซื้อจากตลาดจร(สปอต)อีก 4-5 แสนตัน ซึ่งจะเหลือความต้องการอีกประมาณ 5-8 แสนตัน โดยกรมเชื้อเพลิงและสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.) จะต้องร่วมกันกำหนดตัวเลขร่วมกันอีกที


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"