แป๊ะสั่งเยียวยาตำรวจเลย เรียกผู้การฉาวสอบ4มิ.ย.


เพิ่มเพื่อน    

    ตำรวจเลยเหยื่อกองทุนรวมหนี้บุกร้อง ผบ.ตร. "บิ๊กแป๊ะ" สั่งภาค 4 เยียวยา เร่งดำเนินคดีเอาผิดทั้งวินัย-อาญา คกก.สอบฯ เรียกอดีตผู้การเลยให้ปากคำ 4 มิ.ย. พร้อมปลด ผจก.สหกรณ์ออมทรัพย์แล้ว ป.ป.ท.เผย "อปท." แชมป์ร้องเรียนทุจริตปี 60 
    ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ต.ท.บรรจง เปรมอยู่ สารวัตรอำนวยการ สภ.โพนทอง จ.เลย พร้อมข้าราชการตำรวจประมาณ 30 นาย เข้ายื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กรณีการทุจริตโครงการกู้รวมหนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์ กองบังคับการภูธรจังหวัดเลย สูญเงินกว่า 200 ล้านบาท ทำให้ข้าราชการตำรวจ 192 นาย ได้รับความเดือดร้อนอย่างหนัก
     ภายหลังการยื่นหนังสือ พล.ต.อ.จักรทิพย์ได้ซักถามรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับโครงการดังกล่าว และสั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 4 ไปหารือกับธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้รับความเสียหาย ในส่วนของการตรวจสอบข้อเท็จจริง ให้ดำเนินไปด้วยความรวดเร็ว โปร่งใส ยืนยันจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และหากพบการกระทำความผิด จะกำชับให้ดำเนินคดีให้ถึงที่สุด ทั้งทางวินัยและอาญาอย่างเคร่งครัด โดยต้องรอผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากทางตำรวจภูธรภาค 4 ให้เเล้วเสร็จก่อน นอกจากนี้ได้ให้คำมั่นว่าต้องมีทางออกให้กับข้าราชการตำรวจที่ได้รับความเดือดร้อน เพราะเป็นเรื่องของปากท้องของตำรวจชั้นผู้น้อยที่มีนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง พร้อมให้กำลังใจให้กับทุกคนในการปฏิบัติหน้าที่ต่อไป
    ที่กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 (บช.ภ.4) จ.ขอนแก่น พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ ฤทธิเดชไพบูลย์ รอง ผบช.ภ.4 ในฐานะหัวหน้าชุดพนักงานสืบสวนสอบสวนการทุจริตโครงการรวมหนี้และโครงการบริหารจัดการหนี้ของสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจภูธรจังหวัดเลย เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงตามที่ได้รับการมอบหมายจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติและ บช.ภ.4 โดยได้ทำการสอบปากคำตำรวจที่ได้รับผลกระทบแล้วรวม 30 ราย จากข้าราชการที่เข้าร่วมโครงการบริหารหนี้ 193 ราย 
    ขณะเดียวกัน ยังคงมีการสอบสวนพยานปากสำคัญที่เป็นคณะทำงานของ พล.ต.ต.สุทิพย์ ผลิตกุศลธัช รองผู้บัญชาการสำนักงานกำลังพล อดีต ผบก.ภ.จว.เลย ในช่วงของการดำรงตำแหน่งประธานสหกรณ์ออมทรัพย์ ภ.จว.เลย ประกอบด้วย พ.ต.อ.อุดร ชูก้าน ผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ ภ.จว.เลย และ พ.ต.อ.เฉลิมพล ยอดประทุม คณะทำงาน โดยทั้งหมดต่างให้การที่เป็นประโยชน์ โดยยืนยันถึงการโอนเงินจำนวน 229 ล้านบาท ให้กับ พล.ต.ต.สุทิพย์ แต่การบริหารจัดการต่างๆ นั้น พล.ต.ต.สุทิพย์เป็นคนดำเนินการเพียงคนเดียว โดยที่คณะทำงานนั้นไม่รู้
    “เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทาง บช.ภ.4 และสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจเลย ได้สอบถามไปยัง พล.ต.ต.สุทิพย์  เพื่อสอบถามถึงเงินที่จะนำมาชำระให้กับข้าราชการตำรวจตามสัญญาการทำโครงการ ก็ยังไม่มีการโอนเงินคืนมาแต่อย่างใด ทำให้ บช.ภ.4 มีหนังสือไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ พล.ต.ต.สุทิพย์มาชี้แจงในเรื่องที่เกิดขึ้นกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของ บช.ภ.4 ในวันที่ 4 มิ.ย. เวลา 10.00 น. ที่ บช.ภ.4 จ.ขอนแก่น” พล.ต.ต.ธนาศักดิ์ระบุ
    รอง ผบช.ภ.4 กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น พบว่ามีมูลตามที่ได้มีการร้องเรียนมา ดังนั้นในวันที่ 4 มิ.ย. ผู้ที่ถูกกล่าวหาจะต้องมาชี้แจงและให้ปากคำกับคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ บช.ภ.4 ตั้งขึ้นมา ซึ่งเมื่อการให้ปากคำแล้วเสร็จ จะมีการสรุปสำนวนส่งให้กับ พล.ต.อ.จักรทิพย์ได้รับทราบ เพื่อให้เกิดกระบวนการตรวจสอบต่างๆ ในภาพรวม ขณะที่แนวทางการให้ความช่วยเหลือข้าราชการตำรวจที่ถูกอดีต ผบก.ภ.จว.เลยหลอกให้เข้าร่วมโครงการนั้น  พล.ต.ท.สุรชัย ควรเดชะคุปต์ ผบช.ภ.4 ได้เชิญผู้แทนสถาบันการเงินเข้าร่วมหารือ เพื่อให้การช่วยเหลือตำรวจทั้ง 193 นาย 
    โดยได้ข้อสรุปร่วมกันในเดือน พ.ค.นี้นั้น ตำรวจทั้ง 193 นายจะต้องจ่ายเงินหนี้ แยกเป็น ธนาคารออมสิน 1 งวด, ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 1 งวด และธนาคารกรุงไทย 3 งวด แยกตามประเภทหนี้ของแต่ละนาย และจะมีการปรับสถานะหนี้ของทุกคนให้เป็นไปตามปกติ จากนั้นในเดือน มิ.ย. จะผ่อนชำระแต่ละเดือนเป็นเวลา 12 เดือน คือ ธนาคารออมสิน เดือนละ 500 บาท บวกกับอัตราดอกเบี้ย, ธนาคารอาคารสงเคราะห์จ่ายเดือนละ 500 บาท บวกกับอัตราดอกเบี้ย และธนาคารกรุงไทย จ่ายเดือนละ 1,000 บาท บวกกับอัตราดอกเบี้ย ซึ่งตำรวจทั้ง 193 นายนั้น มียอดหนี้ที่แตกต่างกันไป และทุกคนกำลังเป็นหนี้ 2 ทาง คือยอดหนี้เดิมจากสถาบันการเงินที่กู้มาแล้ว และยอดหนี้กับสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจ ที่กู้เพิ่มในช่วงของการเข้าร่วมโครงการ
    “วันนี้ พล.ต.ต.สุดพิเศษ เอกศิริ ผบก.ภ.จว.เลย ได้มีคำสั่งปลด พ.ต.อ.อุดร ชูก้าน ออกจากตำแหน่งผู้จัดการสหกรณ์ออมทรัพย์ตำรวจเลยแล้ว เพื่อให้การสอบสวนต่างๆ นั้นแล้วเสร็จในภาพรวม และจากการตรวจสอบเสถียรภาพทางการเงินของ ภ.จว.เลยนั้น ยังคงอยู่ในเกณฑ์ปกติ ไม่มีผลกระทบใดๆ และมีงบดุลที่เป็นไปตามระเบียบของสหกรณ์กลางกำหนด อย่างไรก็ดี เพื่อเป็นการเสริมสภาพคล่องให้กับตำรวจทั้ง 193 นาย บช.ภ.4 ได้มีคำสั่งให้สหกรณ์ออมทรัพย์ฯ ประเมินศักยภาพของตำรวจที่ประสบปัญหาในการพิจารณาอนุมัติเงินกู้ฉุกเฉินรายละไม่เกิน 50,000 บาท เพื่อให้นำมาชำระหนี้ตามการปรับโครงสร้างหนี้ล่าสุด รวมทั้งการเสริมสภาพคล่องในการใช้จ่ายให้กับครอบครัวในระยะนี้อีกด้วย"  รอง ผบช.ภ.4 กล่าว 
    อย่างไรก็ตาม พยานที่เข้าให้การไม่ทราบว่า พล.ต.ต.สุทิพย์นำเงินจำนวน 229 ล้านบาทไปใช้ลงทุนประเภทใด หรือกระทำการใดๆ ประเด็นนี้จะต้องมีการตรวจสอบเส้นทางทางการเงิน รวมทั้งการดำเนินคดีทั้งอาญาและวินัย ซึ่งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่แต่งตั้งขึ้นมานั้น จะทำการสรุปข้อมูลต่างๆ ในภาพรวม ทำให้ไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าเงินทั้งหมดที่นำไปนั้นเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่ 
    วันเดียวกัน สํานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้จัดทำสรุปผลการดำเนินการเรื่องร้องเรียน ประจำปี 2560 โดยพบว่า ประเด็นการร้องเรียนทุจริตที่พบมากคือ พฤติกรรมส่อไปในทางทุจริตประพฤติมิชอบ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ 41.19%, ยักยอกทรัพย์ ฉ้อโกง เบิกเงินอันเป็นเท็จ 9.91%, ทุจริตโครงการของรัฐบาล 9.58%, ทุจริตจัดซื้อจัดจ้าง เรียกรับเงิน 9.08% และจำนำข้าว 6.85%
    หน่วยงานที่มีการร้องเรียน 5 อันดับแรก คือ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 17.35%, กระทรวงมหาดไทย 15.11%, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 9.96%, กระทรวงศึกษาธิการ 4.11% และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ 2.34% ส่วนจังหวัดที่มีการร้องเรียนมากที่สุด 5 อันดับแรก ประกอบด้วย กรุงเทพมหานคร 13.19%,  นครราชสีมา 3.19%, เชียงใหม่ 2.91%, อุบลราชธานี 2.61%, นครสวรรค์ 2.59%
    ส่วนที่มาช่องทางการรับเรื่องร้องเรียน แบ่งออกเป็น หนังสือกล่าวหา/ร้องเรียน 47.12%, พนักงานสอบสวน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ 23.49%, สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)10.90%, www.pacc.go.th 10.69% และสายด่วน 1206 6.74%  
    สำหรับผลการดำเนินการ แบ่งออกเป็นด้านการไต่สวนข้อเท็จจริง และด้านการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐาน โดยผลการไต่สวนข้อเท็จจริงที่เสนอคณะกรรมการ ป.ป.ท. และมีมติดังนี้ 1.ความผิดอาญาและวินัย 40 เรื่อง 2.ส่งคืนพนักงานสอบสวน 13 เรื่อง 3.ส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. 5 เรื่อง และ 4.ยุติเรื่องเนื่องจากไม่ปรากฏ/ระบุพฤติการณ์/ผู้ถูกกล่าวหาตาย 26 เรื่อง
    ทั้งนี้ ผลการแสวงหาข้อเท็จจริงและรวบรวมพยานหลักฐานที่เสนอต่อคณะกรรมการ ป.ป.ท. และมีมติดังนี้ 1.รับไว้ไต่สวนข้อเท็จจริง 1,175 เรื่อง 2.ส่งคืนพนักงานสอบสวน 82 เรื่อง 3.ส่งให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. 1,345 เรื่อง และ 4.ไม่รับไว้ไต่สวนข้อเท็จจริง 888 เรื่อง.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"