‘วิษณุ’การันตีพรก.กู้5แสนล้านทำตามรธน.เป๊ะ


เพิ่มเพื่อน    

 “เนติบริกร” ยัน พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาททำตามรัฐธรรมนูญเป๊ะ   เพราะลอกของเก่ากู้เงิน 1 ล้านล้านบาท ชี้ “ธีระชัย” ฟ้องศาลปกครองไร้ความหมาย เพราะบังคับใช้แล้วไม่ใช่มติ ครม.  “วิษณุ” ย้ำกฎหมายงบประมาณต้องเคาะให้เสร็จใน 105 วัน “ก้าวไกล-เพื่อไทย” ตีปี๊บให้จับตา มาฟอร์มเก่าถล่มงบกองทัพ

เมื่อวันพุธที่ 26 พ.ค. ยังคงมีความต่อเนื่องในกรณีพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจและสังคมจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มเติม พ.ศ.2564 วงเงินไม่เกิน 5 แสนล้านบาท ที่ประกาศในราชกิจจานุเกษาเล่ม 138 ตอนที่ 34 ก และมีผลบังคับใช้แล้ว
โดยนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีนายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีต รมว.การคลัง พร้อมคณะแกนนำกลุ่มสามัคคีประชาชน เพื่อประเทศไทย ยื่นคำร้องต่อศาลปกครองสูงสุดให้พิจารณา และมีคำสั่งเพิกถอนมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 18 พ.ค.64 ที่เห็นชอบ พ.ร.ก.ดังกล่าว และมติ ครม.เมื่อวันที่ 7 เม.ย.2563 ที่เห็นชอบ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท ว่าคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ชี้แจงแล้วว่าเรื่องนี้ได้ตรวจสอบตั้งแต่ต้นแล้ว และคิดไม่ออกว่าเกี่ยวข้องอะไรกับศาลปกครอง เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้ชัดเจน ว่าถ้าจะร้องต้องไปร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งพอรู้เหตุผลที่ผู้ร้องไปร้องต่อศาลปกครอง เพราะเขาไม่รู้ว่าจะมีการประกาศออกมาเมื่อไหร่ จึงได้ร้องให้มีการเพิกถอนมติของ ครม. แต่เรื่องมันเกินมติ ครม.ไปแล้ว ซึ่งการยื่นเรื่องต่อศาลปกครองนั้นไม่ได้ถือว่าผิด แต่เมื่อเป็น พ.ร.ก.แล้วศาลปกครองเพิกถอนไม่ได้ แต่ถ้าเป็นเพียงมติของ ครม. ศาลปกครองถึงจะมีอำนาจเพิกถอนได้
    “เลขาฯ คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ชี้แจงว่ากระบวนการและขั้นตอนถูกต้องทุกอย่าง และที่สำคัญที่มีการร้องว่าไม่มีอำนาจนั้น มีอำนาจตามพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) วินัยการเงินการคลัง ซึ่งมีมาตราที่เกี่ยวข้องกำหนดไว้อยู่ ซึ่งเรื่องนี้มีการเช็กและตรวจสอบตั้งแต่ พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทแล้ว ที่มีการบอกไว้ชัดเจนว่า มาตรา 53 สามารถกู้เงินได้โดยวิธีการนี้ ทุกอย่างจึงเข้าตามหลักเกณฑ์ทั้งหมด และทำตามขั้นตอนเช่นเดียวกับกรณี พ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาททุกอย่าง” นายวิษณุย้ำ
เมื่อถามว่า จำเป็นต้องพิจารณาก่อนร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 หรือไม่ นายวิษณุกล่าวว่า ไม่จำเป็น เรื่องนี้สภาผู้แทนราษฎรจะพิจารณาหลังร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ เพราะการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณฯ นั้นต้องพิจารณาให้เสร็จภายในเวลา 105 วัน นับตั้งแต่วันที่ส่งร่างให้กับสภา ซึ่งรัฐบาลได้ส่งร่างให้กับสภาตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค.
คาดถก พ.ร.ก.กู้หลังผ่านงบ
นายสมบูรณ์ อุทัยเวียนกุล เลขานุการประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า แม้ พ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทประกาศใช้แล้ว แต่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรียังส่ง พ.ร.ก.ดังกล่าวมาไม่ถึงสภา ดังนั้น การประชุมสภาในวันที่ 27 พ.ค. ยังคงพิจารณาตามวาระเดิมก่อน และหากส่ง พ.ร.ก.มาถึงสภาหลังวันที่ 31 พ.ค. ก็อาจต้องพิจารณาภายหลังการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2565 ในวาระแรกเสร็จสิ้น
    ด้านนายปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรคและหัวหน้าทีมเศรษฐกิจทันสมัย พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า เป็นเรื่องที่ควรทำในตอนนี้ เพราะสถานการณ์โควิด-19 ระลอกใหม่รุนแรงกว่าที่ผ่านมา แต่รัฐบาลควรดำเนินการอย่างโปร่งใส ตรวจสอบได้ และใช้งบประมาณฟื้นฟูให้ตรงจุด โดยมีข้อเสนอแนะคือ 1.กู้เงินอย่างมีประสิทธิภาพ- ประสิทธิผล 2.ลดคอขวดในการเบิกจ่าย 3.มีการวัดผลชัดเจน 4.ติดตามผลอย่างใกล้ชิดและอำนวยความสะดวกให้ประชาชน และ 5.หลังไทยเจอวิกฤติทางสาธารณสุขและวิกฤติเศรษฐกิจไปแล้ว ปัจจุบันกำลังเจอกับภาวะคนตกงาน ที่กำลังเกิดเป็นวิกฤติทางสังคมครั้งใหญ่ รัฐบาลควรผลักดันปัญหาดังกล่าวให้เป็นวาระแห่งชาติ
    นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ ส.ส.ราชบุรี พรรค ปชป. ในฐานะโฆษก กมธ.ติดตามตรวจสอบการใช้เงินกู้จาก พ.ร.ก. 3 ฉบับเพื่อแก้ไขและฟื้นฟูปัญหาโควิด-19 ระบุว่า เห็นด้วยที่รัฐบาลปรับลดวงเงินกู้ใน พ.ร.ก.จาก 7 แสนล้านบาท เหลือเพียง 5 แสนล้านบาท เพื่อใช้จ่ายเฉพาะที่จำเป็น และไม่อยากให้รัฐบาลพิจารณาเฉพาะตัวเลขจีดีพีว่าเมื่อมีเงินกู้ก้อนนี้แล้วจีดีพีจะเติบโต 1.5% แต่อยากให้พิจารณาว่าเมื่อกู้มาแล้วจะช่วยเหลือประชาชนที่เดือดร้อนได้รับผลกระทบจริงหรือไม่ เพราะไม่เช่นนั้นจะทำให้การใช้จ่ายงบประมาณหลงทางได้
    นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (กก.) กล่าวว่า ไม่ได้คัดค้านการกู้เงินในสถานการณ์วิกฤติ แต่ผลของเงินกู้ 1 ล้านล้านบาทในปีที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นแล้วว่าการกู้เงินมาให้รัฐบาลประยุทธ์บริหาร ไม่ได้อะไร นอกจากภาระหนี้ที่เพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านบาท อนุมัติไปแล้วเกือบเต็มวงเงิน แต่ก็ยังไม่เห็นผลสัมฤทธิ์จากการสร้างหนี้
สำหรับการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 วงเงิน 3.1 ล้านล้านบาทนั้น นายวิษณุกล่าวย้ำว่า  ต้องพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 105 วัน ถ้ามีการประชุมในวันที่ 31 พ.ค. เท่ากับเราเสียเวลาไปแล้ว 15 วัน จาก 105 วัน เพราะรัฐบาลได้ส่งร่างให้กับสภาตั้งแต่วันที่ 17 พ.ค. ดังนั้นสภาจะเหลือวันพิจารณาน้อยลง และถ้าสภาพิจารณาไม่เสร็จภายใน 105 วัน ให้ถือว่าให้ความเห็นชอบและอนุมัติตามร่างทุกประการ แก้ไม่ได้แม้แต่ตัวเดียว
“ทางที่ดีควรพิจารณาให้เสร็จโดยเร็ว โดยใช้วิธีลดความแออัดลง ใครที่ไม่พูดก็ไม่ต้องไปนั่งในห้องประชุม เข้าไปเฉพาะเวลาที่มีการนับองค์ประชุม อย่างนี้น่าจะสบายหน่อย เท่าที่ทราบสภาเตรียมเสนอให้ตั้งไมโครโฟนไว้ต่างหาก อย่าใช้ไมโครโฟนตรงที่นั่งประจำ ใครที่ต้องการพูดก็ให้ออกมาพูดที่ไมโครโฟน จะได้ไม่มีการแย่งกันพูด และหลังจากคนหนึ่งพูดเสร็จ ให้มีการฉีดแอลกอฮอล์และเปลี่ยนผ้าคลุมเป็นระยะ ซึ่งถ้าเป็นแบบนี้ถือว่าใช้ได้” นายวิษณุกล่าว
    ด้านนายราเมศ รัตนะเชวง เลขานุการประธานรัฐสภา ได้กล่าวถึงมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ของรัฐสภา ว่าให้ความสำคัญกับการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างยิ่งยวด  ทั้งในเรื่องการคัดกรอง การขึ้นลิฟต์โดยสาร อาหาร รวมถึงผู้ติดตาม และการอภิปรายในสภา โดยเชื่อว่าความมีระเบียบวินัยของทุกคนที่เข้าไปใช้อาคารรัฐสภาจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    นายชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่า พ.ร.บ.งบประมาณประจำปี 2565 เป็นการจัดทำแบบละทิ้งประชาชน ไม่สนใจสถานการณ์ปัจจุบันโดยสิ้นเชิง สังเกตได้จากงบกลางที่ตั้งไว้สูงถึง 5.7 แสนล้านบาท มากเป็นอันดับ 1 ของงบประมาณทั้งหมด และเมื่อมาดูภาพรวมของงบกลาง ค่าใช้จ่ายที่ใช้กับส่วนราชการมีสัดส่วนสูงกว่าทุกปี คิดเป็นเกือบ 85% เหลืองบไว้ใช้กับประชาชนในยามฉุกเฉินน้อยมาก
ก้าวไกลรอสับงบกองทัพอีกแล้ว
“การจัดทำงบประมาณปี 65 ของ พล.อ.ประยุทธ์ แสดงออกว่าไม่แคร์ประชาชนอย่างชัดเจน หากปล่อยให้บริหารต่อ มีแต่จะสร้างความเสียหายให้ประเทศ พรรคเพื่อไทยขอให้ทุกคนร่วมจับตาการอภิปรายงบประมาณรอบนี้ และขอเรียกร้องให้พรรคร่วมรัฐบาลเลิกเป็นนั่งร้านให้นายกฯ ที่ไร้ประสิทธิภาพ ขาดวิสัยทัศน์ แล้วกลับตัวกลับใจมาอยู่ข้างประชาชน” นายชนินทร์กล่าว
    นายพิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) กล่าวในเรื่องนี้ว่า เป็นเงินก้อนใหญ่ที่สุดที่ต้องจับตามองในการเปิดประชุมสภา ซึ่งครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปีที่งบประมาณรายจ่ายประจำปีถูกลดลง ซึ่งรายจ่ายแต่ละกระทรวงจะต้องถูกลดไปตามสัดส่วน แต่ภายใต้งบประมาณที่ลดลง เรายังเห็นการจัดสรรงบที่ไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเผชิญ งบประมาณด้านสวัสดิการถูกปรับลดลงอย่างน่าเป็นห่วง ในขณะที่การจัดซื้ออาวุธยังเพิ่มขึ้น เราเห็นการจัดซื้อยุทโธปกรณ์โครงการใหม่ที่สร้างงบผูกพันข้ามปีรวมทั้งสิ้น 9,500 ล้านบาทที่ผูกพันไป 3 ปี การซื้อยุทโธปกรณ์แบบปีเดียวที่กองทัพเรือมีการจัดซื้อเพิ่มถึง 2.6 เท่า เป็นต้น เรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่พรรคก้าวไกลจะติดตามตรวจสอบอย่างใกล้ชิด ขอให้ประชาชนรอติดตาม
"ผมอยากฝากไปถึงส่วนราชการที่มีหน้าที่จัดสรรสวัสดิการให้กับประชาชน และ อปท.ต่างๆ ที่ถูกปรับลดงบประมาณอย่างไม่เป็นธรรม ทำการอุทธรณ์งบประมาณเข้ามาที่กรรมาธิการงบประมาณเข้ามามากๆ เพราะถ้า พ.ร.บ. ฉบับนี้ผ่านไปได้ ในชั้น กมธ.พรรคก้าวไกลจะทำการตัดงบประมาณที่ไม่จำเป็น เพื่อเติมงบประมาณให้กับพวกท่านที่มีหน้าที่นำงบประมาณไปดูแลชีวิตประชาชน" นายพิจารณ์กล่าว
ขณะที่พรรคไทยสร้างไทย เผยแพร่บันทึกแสดงความกังวลต่อ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ใน 4 เรื่อง ประกอบด้วย 1.ภาครายได้ 2.ภาครายจ่าย 3.หนี้สาธารณะ และ 4.การจัดสรรงบประมาณรายจ่ายตามลักษณะงาน ที่พบว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับการจัดสรรงบประมาณเพื่อการป้องกันประเทศ ซึ่งไม่ใช่ปัญหาเร่งด่วน
“พรรคไทยสร้างไทยตระหนักดีว่า รัฐบาลจำเป็นต้องใช้งบประมาณเพื่อการแก้ไขปัญหาและการพัฒนาประเทศ แต่การจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณ 2565 จะต้องจัดทำขึ้นโดยคำนึงถึงวิกฤติของประเทศที่เป็นอยู่ ซึ่งพรรคเห็นว่าภารกิจสำคัญที่รัฐบาลต้องทำให้สำเร็จโดยเร็ว คือการสร้างความเชื่อมั่นว่ารัฐบาลสามารถควบคุมการแพร่ระบาดและสร้างความปลอดภัยให้กับชีวิตของประชาชนได้ เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจที่จะออกมาประกอบกิจกรรมทางเศรษฐกิจ นอกจากนี้ รัฐบาลยังต้องมีแนวทางหรือนโยบายสำคัญที่เน้นการลงทุนภาครัฐเพื่อสร้างฐานรายได้ใหม่หลังโควิด-19 ที่สอดคล้องกับบริบทของประเทศ”.

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"