เมื่อ"ประยุทธ์โง่"อยู่ยาว


เพิ่มเพื่อน    

      งบประมาณ ปี ๖๕ ผ่านวาระแรกไปแล้ว ด้วยความเห็นชอบสภา ๒๖๙ ต่อ ๒๐๑ เสียง!

            เห็นตัวเลขแล้วสงสาร

                ไม่ใช่รัฐบาล หากแต่เป็นฝ่ายค้าน ที่ "แพ้ซ้่ำ-แพ้ซาก"

                อย่าไปพูดเลยครับ ว่าประยุทธ์โง่ เป็นนายกฯ มา ๗ ปี นานเกินไปแล้ว ลาออกเถอะ

                ควรพลิกมุมพูดใหม่ว่า....

                เพื่อไทย ทั้งที่มี ส.ส.มากกว่าเขา แต่กลับเป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้งดักดานซ้ำซากตั้ง ๗ ปี เป็นอย่างนี้ได้ไง?

                เลิกเล่นการเมืองเถอะ แบบนี้ 

                ถ้าว่ารัฐบาลห่วย ฝ่ายค้านนั่นแหละ ซูเปอร์เหียก!

                ก็ดูตัวเลขโหวตร่างงบประมาณ ๖๕ ในสภาคืนวานซีเริ่มแรก ปี ๖๒ เสียงฝ่ายค้าน "รดต้นคอ" รัฐบาล

                เรียกว่า ประชุมนัดสำคัญๆ ฝ่ายรัฐบาล ห้ามเจ็บ ห้ามตาย ห้ามขาด ห้ามลุกไปห้องน้ำ เพราะเสียงมากกว่าฝ่ายค้านแค่ ๕-๖ เสียง

                จะแพ้โหวตเอาง่ายๆ!

                แล้วตอนนี้เป็นไง บอกว่ารัฐบาลไม่มีผลงาน แล้วดูตัวเลขโหวตงบประมาณซี

                รัฐบาลชนะ ด้วย ๒๖๙ ต่อ ๒๐๑ เสียง!

                จากห่าง ๕-๖ เสียง ผ่านไป ๒ ปี ส.ส.ซีกค้านกลับไหลไปรวมอยู่ซีกรัฐบาล ตอนนี้ เขาหลับเนตร ไสยาสน์ มาบนหลังกระบือได้สบายๆ ไม่ต้องลุ้นแล้ว

                ฉะนั้น อย่าไปพูดว่าประยุทธ์โง่ อยู่ยาว-ล้มเหลว อายเค้า

                ควรสำรวจตัวเอง ว่า....

                พวกกูฉลาดกว่าเขาตรงไหนหว่า ถึงได้เป็นฝ่ายค้านซ้ำซาก แล้วปรับสันดานตัวเองให้โง่ลงซะบ้าง จะได้มีโอกาสได้เป็นรัฐบาลกะเขาบ้าง

                นี่อะไรกัน ด่าๆๆๆๆๆๆ เขา จนพจนานุกรมหมดเล่ม บางครั้ง เผลอเอาความเลวระยำสมัยพวกตนเป็นรัฐบาล มาด่าไปด้วย

                แล้วผลเป็นไง?

                ฝ่ายรัฐบาลกลับอยู่ยั้งยืนยง แต่ฝ่ายตัวเองกลับเตี้ยลง..เตี้ยลง เตี้ยจนอีเตี้ยหลังม็อบ มันสูงแข่งเปรตไปแล้ว

                ไปแจมคลับเห่ากับพวกแคร์คาคอกเขาดูซิ แล้วกดปุ่มถามโทนาฟดูว่า

                "เป็นสัมภเวสีผีไม่มีแผ่นดินฝังมา ๑๕-๑๖ ปี เบื่อหรือยัง"?

                 ถ้าเบื่อ ก็บอกให้เขากลับมาเข้าคุก

                ไม่ต้องโม้  ๖ เดือนแก้เศรษฐกิจได้หรอก มาแก้ปัญหาหนีคุก ๒ คนพี่น้อง ให้มันได้ก่อนเหอะ

                ฉลาดอย่างโทนาฟ อีกหน่อยก็เหมือนจิวยี่ แค่ขงเบ้งเขียนจดหมายไปยั่วยุ ๒-๓ คำ ก็แค้นคลั่งอก

                แต่ทำอะไรเขาไม่ได้ ลงท้าย "กระอักเลือด" ตายเอง!

                โง่อย่างนายกฯ ประยุทธ์ เขาเรียกว่า โง่แบบ "ศิษย์โง่เรียนเซน"

                เป็นแบบไหน ก็ไปถามอาจารย์ ธ.ธีรทาสดู แล้วขอหนังสือท่านมาอ่านซักเล่ม

                ไปที่โรงเจเป้าเกงเต๊ง ซอยปลูกจิต ๒ บ่อนไก่ ถนนพระราม ๔ คลองเตย กทม.นั่นแหละ ท่าน ๙๐ กว่าแล้ว แต่ยังเฉียบ

                โง่อย่างประยุทธ์ โง่ตามวิถีธรรมชาติ อาจอยู่ยาวด้วยประชาธิปไตยอินโนเวชั่นอีกกี่สมัยก็ได้ ถ้าเขาต้องการ

                ฉลาดอย่างเพื่อไทย เป็นฉลาดเคมีสังเคราะห์ สุดท้าย กินตัวจนก้าวขาไม่ออก

                ต้องจนจ่อและจนจุ่น บดย่อยเลือดเนื้อ รอตาย เป็นการุณยฆาตตัวเองทางการเมืองอย่างหนึ่ง

                พรรคฉลาดอย่างเพื่อไทย ในซีกรัฐบาลก็มี มีความสุขกับการ "ตบหัว" แล้ว "ลูบหลัง" นายกฯ เล่น ด้วยผยองว่า "ขาดข้า-เอ็งตาย"

                ยุก็ให้เด็กวานซืนบ้าง เด็กโค่งบ้าง เที่ยวตบเล่น-ตบอวดว่าพรรคข้าแน่ ประยุทธ์โง่ ประยุทธ์หงอ ไม่มีน้ำยา ถอนตัวเมื่อไหร่ก็ตายแหงแก๋
                ก็ระวังเถอะ คนโง่วิถีธรรมชาติ ถึงเวลาเขาจะโง่แกมฉลาดขึ้นมาละก็

                 ไอ้พวกอวดฉลาดแต่โง่บัดซบนั่นแหละ จะร้องเอ๋ง!           

                คนเราน่ะนะ เพื่อเป้าหมายหนึ่ง จะ (ทำเป็น) ไม่คิดมาก

                แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง.....

                คำว่า "ฆ่าได้แต่หยามไม่ได้" จะปรากฏ เขาไม่ทำอะไรหรอก แต่คำว่า "ธำรงศักดิ์ศรี" จะทำ!

                อ่าน "นิทานเซน" ของท่าน ธ.ธีรทาสเล่นๆ ซักเรื่่องปะไร เอาเรื่อง "ความกลัดกลุ้มของตะขาบ" ก่อน สนุกดี

                มีกบตัวหนึ่งที่เฝ้าสังเกตการเดินของตะขาบตัวหนึ่งอยู่เสมอ เวลาผ่านไปนานเข้าเกิดเป็นความงุนงงสงสัยขึ้นในใจ ครุ่นคิดว่า

                "ตัวข้าเองมีเพียง ๔ ขา ยังเคลื่อนไหวไปมาได้ยากลำบาก แต่ไฉนตะขาบที่มีขานับร้อย จึงเดินได้อย่างปลอดโปร่งเพียงนี้ ช่างแปลกประหลาดยิ่งนัก

                ยามเดินเหิน ตะขาบทราบได้อย่างไร ว่าจะหยุดขาข้างไหน ขยับขาข้างไหน จากนั้น ก้าวขาไหนตามออกไปกันเล่า?"

                กบจึงตัดสินใจออกไปขวางทางเดินของตะขาบเอาไว้ จากนั้น เอ่ยถามว่า

                "ข้าถูกเจ้าทำให้งุนงงสงสัยไปหมดแล้วว่า ในแต่ละวันเจ้าเดินเหินได้อย่างไร ด้วยขาที่มากมายขนาดนี้ ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้"

                ตะขาบตอบว่า "ข้าเดินแบบนี้มาโดยตลอดไม่เคยคำนึงถึงเรื่องนี้ แต่ในเมื่อวันนี้ เจ้าถามขึ้นมา ข้าก็จะขอเวลาคิดดูสักครู่ แล้วค่อยตอบคำถามของเจ้า”

                ตะขาบยืนนิ่งอยู่พักใหญ่ เพื่อขบคิดว่า ที่ผ่านมาตนเองเดินอย่างไร

                จากนั้นเจ้าตะขาบก็พยายามขยับขาโน้นขยับขานี้ แต่ไม่สำเร็จ เพียงลากขาไปข้างหน้าได้ ๒-๓ ก้าว

                พอหมดสิ้นหนทาง จึงหมอบลง สุดท้าย ได้แต่กล่าวกับกบขี้สงสัยว่า

                "ต่อไปเจ้าโปรดอย่าได้เอ่ยถามข้อสงสัยข้อนี้ของเจ้าให้ตะขาบตัวอื่นใดได้ฟังอีก

                ที่ผ่านมา ข้าเพียงเดินไปข้างหน้าไม่เคยเกิดปัญหา แต่ตอนนี้ เจ้าทำให้ข้าตกที่นั่งลำบากแล้ว

                ข้าไม่สามารถก้าวเดินได้ เพราะข้าไม่รู้ว่าจะขยับขาเดินไปข้างหน้าได้อย่างไร ด้วยขากว่าร้อยขาที่มีอยู่นี้"

                ปัญญา เซน...เรื่องบางเรื่อง ขบคิดมากความกลับเพิ่มปัญหา สิ่งที่ควรทำ คือการใช้ชีวิตประจำวันตามธรรมชาติ ตามที่ควรจะเป็น

                เอาอีกซักเรื่อง เป็นเรื่อง "คนตาบอดกับโคมไฟ"

                ยังมีตรอกสายหนึ่งที่ทั้งมืดทั้งแคบ ทั้งยังไม่มีดวงไฟส่องทางให้ความสว่างแม้แต่น้อย ดังนั้น เมื่อถึงยามค่ำคืน การเดินทางในตรอกแห่งนี้จึงเป็นไปด้วยความยากลำบาก

                คืนวันหนึ่ง มีพระรูปหนึ่งเดินผ่านเข้ามายังตรอกดังกล่าวเพื่อมุ่งหน้าไปยังอาราม

                ทว่าด้วยความที่ตรอกนี้มืดมิดกระทั่งนิ้วมือทั้งห้าของตนเองยังไม่อาจมองเห็นได้ เมื่อเดินไปเรื่อยๆ พระรูปนี้จึงทั้งเดินไปชนผู้อื่น และถูกผู้อื่นเดินมาชนไม่หยุดหย่อน สร้างความลำบากยิ่งนัก

                ในตอนนั้นเอง มีคนผู้หนึ่งถือโคมไฟเดินเข้ามายังตรอกดังกล่าว พลันทำให้ในตรอกเกิดแสงสว่างขึ้นพอสมควร พระรูปนั้นได้ยินคนเดินผ่านทางกล่าวว่า

                "คนตาบอดผู้นั้นช่างแปลกนัก ตนเองมองไม่เห็นแท้ๆ ไยต้องถือโคมไฟให้วุ่นวาย"

                เมื่อพระได้ยินก็รู้สึกแปลกใจ รอจนกระทั่งคนตาบอดถือโคมไฟคนนั้นเดินผ่านมา จึงเอ่ยถามขึ้นว่า

                "ขออภัย ท่านตาบอดจริงๆ หรือ?" คนผู้นั้นตอบว่า

                "ถูกแล้ว ข้าเกิดมาก็พิการ ตาสองข้างมองไม่เห็น สำหรับข้านั้น ไม่ว่าจะยามเช้าสาย บ่าย เย็น ล้วนไม่ต่างกัน ทั้งยังไม่ทราบว่าแสงสว่างหน้าตาเป็นเช่นไร"

                พระได้ยินดังนั้นก็ยิ่งงุนงงมากขึ้น เอ่ยถามต่อไปว่า           "เช่นนั้นท่านจะถือโคมไฟไปเพื่ออะไร?"

                คนตาบอดตอบว่า "เนื่องเพราะข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าในยามกลางคืนไร้แสงสว่าง คนตาดีทั้งหลายก็เป็นเช่นเดียวกับข้าคือมองไม่เห็นสิ่งใด ดังนั้น ข้าจึงถือโคมไฟไปไหนมาไหนเสมอ"

                พระได้ยินดังนั้นก็เกิดความซาบซึ้งใจ เอ่ยคำอมิตาพุทธออกมา และกล่าวต่อไปว่า "ท่านช่างมีเมตตาธรรม ห่วงใยเพื่อนมนุษย์"

       มิคาด คนตาบอดกลับกล่าวว่า "ผิดแล้ว ข้าทำไปเพื่อตัวเอง"

       "ทำเพื่อตัวเองอย่างไร?" พระถามต่อด้วยความสงสัยใจ

                คนตาบอดอธิบายว่า

                "เมื่อครู่ท่านเดินอย่างมืดมนในตรอกใช่โดนคนเดินสวนไปมาชนเอาหรือไม่ ท่านดูข้าเองนั้น แม้เป็นคนตาบอด แต่ข้าไม่โดนผู้อื่นเดินชนเลยแม้แต่ครั้งเดียว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนข้าก็เป็นเช่นเดียวกับท่าน คือโดนคนเดินมาชนเอาบ่อยครั้ง

                แต่เมื่อข้าถือโคมไฟ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ที่ข้าจุดโคมไปไหนมาไหนด้วยนั้น

                ข้าจุดเพื่อให้แสงสว่างกับผู้อื่น และเพื่อให้ผู้อื่นมองเห็นตัวข้า ตั้งแต่นั้นมา ข้าก็ไม่โดนผู้ใดเดินชนอีกเลย"

                ปัญญาเซน : การช่วยเหลือผู้อื่น ประโยชน์สูงสุดล้วนกลับคืนมาสู่ผู้ให้

                ๒ เรื่องพอนะ ....

                มากไป เดี๋ยวทั้งฝ่ายค้าน, ฝ่ายรัฐบาล จะฉลาดยิ่งขึ้่น แล้ว "ประยุทธ์โง่" ก็จะเป็นนายกฯ ตลอดกาล

                โทนาฟ "กระอักเลือด" ตายเลย!

 

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"