องค์กรแพทย์ไร้พรมแดน (เอ็มเอสเอฟ) กล่าวเตือนเมื่อวันพุธ ภายหลังได้รับคำสั่งจากรัฐบาลทหารให้ระงับการปฏิบัติงานในเมืองทวาย ว่าผลของคำสั่งนี้อาจทำให้ผู้ป่วยเอชไอวีและวัณโรคหลายพันคนในเมืองนี้เสี่ยงต่อการเสียชีวิต

    หน่วยงานการกุศลด้านการแพทย์ระหว่างประเทศแห่งนี้เปิดเผยต่อเอเอฟพีเมื่อวันพุธว่า ได้รับจดหมายฉบับหนึ่งจากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นเมืองทวาย ขอให้พวกตนระงับกิจกรรมทั้งหมดในเมืองทางภาคตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้ ซึ่งองค์กรนี้ช่วยดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีมานานกว่า 2 ทศวรรษ

    "การระงับกิจกรรมของเอ็มเอสเอฟอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตสำหรับผู้ป่วยของเราจำนวนมากในช่วงยามที่บริการสาธารณะยังหยุดชะงักอย่างรุนแรง" แถลงการณ์กล่าว

    เอเอฟพีกล่าวว่า นับแต่รัฐประหาร โรงพยาบาลของรัฐเกือบทุกแห่งในเมียนมายังคงปิดบริการ เนื่องจากแพทย์จำนวนมากเข้าร่วมการอารยะขัดขืน ทำให้ระบบการดูแลสุขภาพไม่สามารถดำเนินการได้ตามปกติ

    เอ็มเอสเอฟกล่าวว่า องค์กรได้ติดต่อเจ้าหน้าที่ทางการเพื่อขอทำความเข้าใจเกี่ยวกับการตัดสินใจดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผู้ป่่วย 2,162 คนที่ติดเชื้อเอชไอวีและต้องรับการรักษาด้วยยาต้านไวรัสในเมืองนี้ นอกจากผู้ป่วยเอชไอวีแล้ว เอ็มเอสเอฟเตือนอีกว่า คำสั่งนี้ยังเพิ่มความเสี่ยงของการแพร่โรคติดต่อมากขึ้น รวมถึงวัณโรค ที่องค์กรได้เข้ามาอุดช่องว่างในโครงการนี้ของเมียนมาที่หยุดลงนับแต่เดือนกุมภาพันธ์

    องค์กรร้องขอให้ทางการทวาย ซึ่งเป็นบ้านเดิมของพลเอกอาวุโส มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหาร ยกเลิกการตัดสินใจนี้

    เมื่อวันอังคาร คณะกรรมการกาชาดสากลกล่าวด้วยว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ชาวเมียนมา 236,000 คน ที่ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งทางการเมืองที่ซ้ำเติมวิกฤติโรคระบาดโควิด-19

    วันเดียวกันนั้น มีคำเตือนจากทอม แอนดรูว์ส ผู้จัดทำรายงานพิเศษด้านเมียนมาขององค์การสหประชาชาติ ว่าการสู้รบระหว่างกองทัพเมียนมากับกลุ่มกบฏในรัฐกะยาทางภาคตะวันออก ซึ่งกองทัพเมียนมาใช้การโจมตีแบบไม่เลือกหน้าที่คุกคามชีวิตผู้ชาย ผู้หญิง และเด็กจำนวนมากนั้น อาจทำให้ผู้คนล้มตายจำนวนมากเพราะอดอาหารและโรคติดต่อ ยูเอ็นประเมินไว้ว่า มีชาวบ้านไร้ที่อยู่เพราะการสู้รบในรัฐนี้แล้วราว 100,000 คน.