“บิ๊กตู่” เรียกทีมเศรษฐกิจประชุมด่วน หลังออกมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ใน 10 จังหวัด หึ่ง! คลังเล็งเสนอเลื่อนคนละครึ่งออกไปสิงหาคม ให้สอดรับการคุมเข้ม ลุ้นเพิ่มเงิน ม.33 และเราชนะเพื่อแก้ขัดไปก่อน
เมื่อวันอาทิตย์ที่ 27 มิ.ย. นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ในวันจันทร์ที่ 28 มิ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ยกเลิกการเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ที่เดิมนัดในวันที่ 28 มิ.ย. ออกไปไปเป็นวันพุธที่ 30 มิ.ย.แทน โดยมีการเรียกประชุมคณะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจเป็นการด่วน เพื่อหามาตรการเยียวยาทางเศรษฐกิจ หลังมีการประกาศปิดพื้นที่และกิจการบางจุดเพื่อป้องกันการระบาดของโควิด-19
"ยังไม่ทราบวาระการประชุมทีมที่ปรึกษาเศรษฐกิจในวันที่ 28 มิ.ย. จึงยังบอกไม่ได้ว่าจะมีการหารือเรื่องการเลื่อนโครงการคนละครึ่ง ที่จะเริ่มวันที่ 1 ก.ค.นี้หรือไม่ และจะมีมาตรการเศรษฐกิจอื่นเข้ามาเสริมแทนหรือไม่" นายอนุชากล่าว
รายงานข่าวจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  (สศช.) ระบุว่า สภาพัฒน์จะมีการประเมินสถานการณ์ที่ พล.อ.ประยุทธ์ได้ออกข้อกำหนดตามความในมาตรา 9 แห่งพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 (ฉบับที่ 25) ซึ่งมีการควบคุมเข้มข้นใน 10 จังหวัด ทำให้ประชาชนไม่สามารถออกไปใช้จ่ายได้ ทำให้กระทรวงการคลังอาจเสนอให้เลื่อนโครงการคนละครึ่ง ที่จะเริ่มวันที่ 1 ก.ค.2564 นี้ ออกไปอย่างน้อย 1 เดือนในเดือนสิงหาคม เพื่อให้สอดรับกับมาตรการคุมเข้มที่บังคับใช้ 30 วัน
“วัตถุประสงค์โครงการเพื่อกระตุ้นการใช้จ่าย แต่ประกาศคำสั่งล่าสุดมีการกำหนดไม่ให้ร้านอาหารนั่งกินในร้านได้เป็นเวลา 30 วัน มาตรการคนละครึ่งจึงไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ในช่วงนี้”รายงานระบุ
รายงานแจ้งอีกว่า ต้องหารือร่วมกับนายกฯ อีกครั้ง เพราะยังมีบางแนวคิดให้คงเวลามาตรการตามเดิมไว้ จึงต้องพิจารณาความเหมาะสมให้รอบด้าน หากมีการเลื่อน สภาพัฒน์ก็ต้องเสนอเรื่องเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบภายในเดือน มิ.ย.นี้ เพราะมติ ครม.กำหนดให้เริ่มมาตรการ 1 ก.ค.2564
รายงานแจ้งอีกว่า อาจมีการพิจารณาเสนอให้นายกฯ จ่ายเงินเพิ่มในมาตรการเราชนะและ ม33เรารักกัน ที่กำลังสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.2564 เพิ่มเติม เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนให้กับแรงงานและประชาชนทดแทนไปก่อนเป็นเวลา 1 เดือน ส่วนจำนวนเงินจะให้เท่าไร ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของนายกฯ ซึ่งแหล่งเงินที่ใช้จะมาจากพระราชกำหนดกู้เงิน 5 แสนล้านบาท ที่ได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาเรียบร้อยแล้ว.