‘กวิ้น’ไม่กลัวฝน ขับไล่‘ประยุทธ์’ 120วันพ้น‘ปท.’


เพิ่มเพื่อน    

ตำรวจยกกำลัง 9 กองร้อยคุมเข้มทำเนียบฯ รับมือสารพัดม็อบเฮโลเช็กอินถล่มบิ๊กตู่ ขณะที่นครบาลงัดพ.ร.ก.ฉุกเฉินขู่มวลชนรวมตัวถูกสอยด้วยคดีกันถ้วนหน้าแน่ กสม.รุกประสานเสียงแอมเนสตี้จี้หยุดใช้ยุทธวิธีความรุนแรงปราบปรามเกินกว่าเหตุ "เพนกวินและคณะ" โผล่ขีดเส้น 120 วันประยุทธ์ไม่มีแผ่นดินจะอยู่ 
เมื่อวันศุกร์ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล พล.ต.ต.ปิยะ ต๊ะวิชัย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) กล่าวถึงการรักษาความปลอดภัยกลุ่มผู้ชุมนุมที่นัดทำกิจกรรมขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ว่า วันที่ 2 ก.ค. ในช่วงเย็นมีการนัดหมายชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์เพื่อการชุมนุมและกลุ่มแนวร่วมราษฎร  ประกาศรวมตัวกันที่แยกอุรุพงษ์ จากนั้นมีการเคลื่อนตัวมาที่หน้าทำเนียบรัฐบาล เพื่อทำกิจกรรมเปิดท้ายวันศุกร์ลุกไล่เผด็จการ
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวว่า ส่วนวันที่ 3 ก.ค. มีการนัดหมายของกลุ่มประชาชนคนไทย นำโดยนายนิติธร ล้ำเหลือ นัดหมายในเวลา 15.00 น. ที่แยกอุรุพงษ์ ก่อนเดินมาหน้าทำเนียบรัฐบาล ขณะที่กลุ่มไทยไม่ทน นำโดยนายจตุพร พรหมพันธุ์ นัดหมายกันที่แยกผ่านฟ้าฯ เวลา 16.00 น. ก่อนเคลื่อนขบวนมาที่หน้าทำเนียบรัฐบาล และกลุ่มคาร์ม็อบ นำโดยนายสมบัติ บุญงามอนงค์ นัดหมายเวลา 17.00 น. นัดรวมตัวไปตามถนนสายสำคัญต่างๆ ในพื้นที่กรุงเทพฯ เปิดไฟกะพริบบีบแตรขับไล่รัฐบาล 
พล.ต.ต.ปิยะระบุว่า สำหรับการชุมนุมและทำกิจกรรมเปิดท้ายขายของของแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ถือเป็นการชุมนุมที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากขณะนี้มีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นในพื้นที่กรุงเทพฯ การรวมตัวหรือการมั่วสุมถือเป็นความผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน กองบัญชาการตำรวจนครบาลจะได้จัดเจ้าหน้าที่บันทึกภาพบันทึกเสียง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้มาร่วมเปิดท้ายขายของ อาจจะต้องถูกดำเนินคดีด้วยส่วนหนึ่ง 
    “สำหรับวันที่ 3 ก.ค. กลุ่มของนายสมบัติ ที่นัดทำกิจกรรมคาร์ม็อบ เป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 อนุ 8 ถ้ากระทำผิดเช่นนั้น รถยนต์ที่ใช้ในการชุมนุมหรือกระทำผิด ถือว่าเป็นรถที่ใช้ในการกระทำผิด พนักงานสอบสวนอาจจะดำเนินการยึดรถเป็นของกลางเสนอศาลริบรถของกลางตามกฎหมายต่อไป"   พล.ต.ต.ปิยะระบุ 
    พล.ต.ต.ปิยะระบุว่า กองบัญชาการการตำรวจนครบาลเตือนไปยังพี่น้องประชาชน ช่วงนี้การแพร่ระบาดโควิด-19 ยังอยู่ในระดับรุนแรง ขอให้งดเว้นการมาร่วมชุมนุมดังกล่าว ส่วนกำลังเจ้าหน้าที่ในการรักษาความปลอดภัยพรุ่งนี้มีการเตรียมกำลังไว้  9 กองร้อย พยายามป้องกันเหตุร้าย ป้องกันบุคคลที่สาม ส่วนเหตุความรุนแรงต้องถามผู้ชุมนุม เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นมาตลอดตั้งแต่มีการชุมนุมมาจนถึงวันนี้เป็นการกระทำของผู้ชุมนุมเป็นหลัก เจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่การรักษาความสงบ ป้องกันเหตุร้ายก่อให้เกิดความเสียหายในภาพรวม
ตร.สอยม็อบพุ่ง 223 คดี
    พล.ต.ต.ปิยะกล่าวอีกว่า ตั้งแต่มีการชุมนุมมา เจ้าหน้าที่ได้ดำเนินคดีไปแล้วทั้งสิ้น 223 คดี สอบสวนเสร็จสิ้นส่งพนักงานอัยการแล้ว 163 คดี อยู่ระหว่างการสอบสวนอีก 60 คดี ส่วนใหญ่จะเป็นความผิด พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ร่วมกันก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง พ.ร.บ.ควบคุมโรคติดต่อ และความผิดอื่นๆ  การชุมนุมวันที่ 24 และ 26 มิ.ย.ที่ผ่านมา พนักงานสอบสวน สน.สำราษราษฎร์ร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา 19 คน ในวันที่ 3 ก.ค. เจ้าหน้าที่ได้ออกหมายเรียกผู้ต้องหาทั้ง 19 คนมาดำเนินคดีตามกฎหมาย ส่วนการชุมนุมที่สกายวอล์ก แยกปทุมวัน สน.ปทุมวันได้บันทึกภาพและเสียงร้องทุกข์ดำเนินคดีกับผู้ต้องหา 11 คน ส่วนการชุมนุมของกลุ่มนายจตุพร สน.นางเลิ้งดำเนินคดี 12 คน  
ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาลในเวลาประมาณ 16.00 น. ขณะที่การรักษาความปลอดภัยโดยรอบทำเนียบรัฐบาล เจ้าหน้าที่ได้มีการนำรั้วเหล็กและรั้วลวดหนามหีบเพลง ปิดการจราจรทุกเส้นทางที่มุ่งหน้าทําเนียบรัฐบาล ไม่ให้กลุ่มผู้ชุมนุมเข้าใกล้ทำเนียบรัฐบาล ในระยะ 200 เมตร พร้อมวางกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล พร้อมตำรวจจาก สน.นางเลิ้ง ดูแล ความเรียบร้อยพื้นที่ชั้นใน และได้เตรียมกำลังตำรวจควบคุมสูงชนไว้ 6 กองร้อย ดูแลความปลอดภัยโดยรอบ เพื่อสกัดกั้นกลุ่มผู้ชุมนุมหากเกิดเหตุชุลมุนหรือความไม่สงบ
 อย่างไรก็ตาม ได้มีการเตรียมรถฉีดน้ำแรงดันสูง 2 คัน จอดไว้ฝั่งประตูห้าทำเนียบรัฐบาล ตรงข้ามกับกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมรถน้ำและรถควบคุมผู้ต้องขังอีก 3 คัน นอกจากนี้เจ้าหน้าที่จะจัดทีมเจ้าหน้าที่บันทึกภาพและเสียง ตลอดจนพฤติกรรมของผู้ชุมนุมเพื่อใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีทุกราย  ในข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
วันเดียวกัน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) นำโดย น.ส.พรประไพ กาญจนรินทร์ ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ พร้อมคณะ เข้าหารือร่วมกับ พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เพื่อหารือความร่วมมือระหว่างสองหน่วยงาน และเพื่อประสานการคุ้มครองเรื่องสิทธิในกระบวนการยุติธรรม
    น.ส.พรประไพกล่าวว่า ที่ผ่านมา กสม.พบเรื่องร้องเรียน ซึ่งผู้ร้องกล่าวอ้างว่าถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับสิทธิในกระบวนการยุติธรรมจำนวนมาก โดยเฉพาะในชั้นพนักงานสอบสวนซึ่งเกี่ยวข้องกับภารกิจของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) โดยตรง ซึ่ง กสม.มีประเด็นห่วงใย เช่น ปัญหาความล่าช้าในการสอบสวนคดีของผู้ต้องขังที่มีคดีอายัดตัว ทำให้ผู้ต้องหาเสียสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่พึงได้รับตามกฎหมาย
จี้ยุติยุทธวิธีปราบรุนแรง
    แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดรายงานวิจัยล่าชุดชื่อ “หน้าแสบร้อนเหมือนโดนไฟไหม้” (My face burned as if on fire) ระบุว่า ทางการไทยมักใช้ยุทธวิธีที่รุนแรงและเกินขอบเขตอยู่เสมอ เพื่อปราบปรามขบวนการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมที่เป็นเยาวชนซึ่งขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในประเทศ รวมทั้งการทุบตีผู้ชุมนุม การฉีดน้ำแรงดันสูงที่ผสมสารเคมี และการยิงกระสุนยางในระยะประชิด 
    เอ็มเมอร์ลีน จิล รองผู้อำนวยการสำนักงานภูมิภาคฝ่ายวิจัย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวว่า ผู้ที่อยู่ในพื้นที่การชุมนุมและผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ไม่ได้มีพฤติการณ์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือพฤติกรรมที่รุนแรง แต่พวกเขากลับต้องถูกกระทำด้วยความรุนแรงอย่างเจ็บปวดจากการใช้กำลังของตำรวจ มีการทุบตีประชาชน การยิงด้วยกระสุนยางและแก๊สน้ำตา ทั้งหมดเพียงเพราะพวกเขากล้าที่จะรวมตัวและแสดงออกโดยสงบ ในขณะที่การชุมนุมขยายตัวเพิ่มขึ้นตลอดทั้งปี ทางการไทยไม่ได้ดำเนินการเพื่อลดความตึงเครียดของสถานการณ์ที่อ่อนไหว ทั้งยังทำให้ชีวิตของบุคคลจำนวนมากเสียงอันตราย รวมทั้งเด็ก 
     “ประจักษ์พยานและผู้เสียหายยังระบุถึงหลายเหตุการณ์ของการควบคุมฝูงชนที่มีความอันตราย ตั้งแต่การเล็งเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงใส่ศีรษะของประชาชน ไปจนถึงการยิงกระสุนยางอย่างไม่เลือกเป้าหมายใส่ฝูงชน ที่เปิดเผยในวันนี้ ทางการไทยมักใช้ยุทธวิธีที่รุนแรงและเกินขอบเขตอยู่เสมอ เพื่อปราบปรามขบวนการเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมที่เป็นเยาวชนซึ่งขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในประเทศ รวมทั้งการทุบตีผู้ชุมนุม การฉีดน้ำแรงดันสูงที่ผสมสารเคมี และการยิงกระสุนยางในระยะประชิด" เอ็มเมอร์ลีนระบุ  
เพนกวินขีด 120 วันไล่บิ๊กตู่ 
    น.ส.ปิยนุช โคตรสาร ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า แอมเนสตี้ยังขอกระตุ้นทางการไทยให้ยกเลิกข้อหาทั้งหมดที่มีต่อนักปกป้องสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมที่ตกเป็นเป้าหมายเนื่องจากการใช้สิทธิในการชุมนุมโดยสงบ กฎหมายที่สร้างปัญหา รวมทั้งพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะ และพระราชกำหนดในสถานการณ์ฉุกเฉินต้องถูกยกเลิก และต้องเปลี่ยนมาใช้มาตรการที่มีข้อจำกัดน้อยกว่าและสอดคล้องกับกฎหมายและมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ทุกคนมีสิทธิที่จะเข้าร่วมการชุมนุมโดยสงบ และแสดงความเห็นโดยไม่ต้องถูกดำเนินคดี   
    เธอระบุว่า ทางการไทยกำลังใช้ความรุนแรงและการคุกคามด้วยกระบวนการทางกฎหมาย เพื่อปราบปรามความไม่พอใจที่เกิดขึ้นทั้งประเทศ การใช้ยุทธวิธีสร้างความหวาดกลัวเหล่านี้ มีแต่จะเน้นให้เห็นถึงความทุกข์ยากจำนวนมากที่เกิดขึ้นกับผู้ชุมนุม และยิ่งกระตุ้นให้เกิดการชุมนุมมากขึ้น”  
    "ถึงเวลาต้องใช้แนวทางใหม่ เป็นแนวทางที่ยอมรับว่าการชุมนุมส่วนใหญ่ในประเทศไทยเป็นไปโดยสงบ และเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับหลักการด้านสิทธิมนุษยชน เสรีภาพในการชุมนุมและการแสดงออก สุดท้ายแล้ว การเคลื่อนไหวของเยาวชนเป็นการเรียกร้องให้มีการเจรจา ทางการไม่ควรตอบโต้ด้วยไม้กระบอง เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง สารเคมี และการตั้งข้อหาที่ปราศจากมูลความจริง” น.ส.ปิยนุชกล่าว 
สำหรับบรรยากาศการชุมนุมของกลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์ฯ ในเวลา 16.00 น. นายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน, นายชินวัตร จันทร์กระจ่าง หรือไบรท์,  น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง และนายภาณุพงศ์ จาดนอก หรือไมค์ เดินทางมาถึงแยกอุรุพงษ์ โดยเพนกวินระบุว่า วันนี้จุดประสงค์ของการทำกิจกรรมเป็นการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์เพื่อขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ ทั้งนี้กลุ่มราษฎรยืนยันที่จะเคลื่อนไหวอย่างสันติ ไม่ใช้ความรุนแรงและไม่ขัดต่อหลักกฎหมายอย่างแน่นอน ส่วนกรณีของเงื่อนไขการได้รับประกันตัวส่วนตัวเชื่อว่าไม่มีการกระทำการใดๆ  ที่ขัดต่อเงื่อนไขที่ศาลวางเอาไว้ เพราะไม่ได้ทำให้เกิดความเดือดร้อนวุ่นวายในบ้านเมือง ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวหรือกระทำให้สถาบันฯ เสื่อมเสีย และที่สำคัญที่ผ่านมาก็เดินทางไปตามนัดหมายของศาลทุกครั้ง
ขณะที่ในเวลา 17.50 น. นายพริษฐ์ขึ้นปราศรัยท่ามกลางสายฝน ระบุใจความว่า ความผิดของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มากมาย 7 ปีที่ผ่านมา คือ 7 ปีที่สูญหายความผิดของ พล.อ.ประยุทธ์นับไม่ถ้วน แต่สรุปเป็นค่านิยมอันน่ารังเกียจ 12 ประการ นี่คือความผิดของประยุทธ์  สิ่งที่ทำคืออาชญากรรม และประยุทธ์คืออาชญากร คุณเป็นฆาตกรเข่นฆ่าประชาชน ขอให้พ่อแม่พี่น้องจดจำความผิดทั้ง 12 ประการ ก่อนหน้านี้เคยบอกว่าเด็กไทยต้องท่องค่านิยม 12 ประการ ตอนนี้คนไทยจงจดจำความผิดของ พล.อ.ประยุทธ์ทั้ง 12 ประการเอาไว้ให้ดี อย่าไปให้อภัย
“ท้ายนี้ ความผิดทั้ง 12 ประการ คือจุดเริ่มต้นของการมุ่งหน้าขับไล่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา บอกว่าอีก 120 วันจะเปิดประเทศ ขอประกาศตรงนี้เหมือนกันว่า อีก 120 วัน ประยุทธ์ จันทร์โอชา ไม่มีประเทศให้อยู่อย่างแน่นอน เตรียมตัวไว้ จะไปไหนก็ไป แต่อย่ามาอยู่แผ่นดินไทย” นายพริษฐ์ระบุ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"