ผวาล็อกดาวน์ หุ้นดิ่งแรง33จุด จีดีพีติดลบยาว


เพิ่มเพื่อน    

ตลาดหุ้นไทยดิ่งแรง 33 จุด รับแรงขายกังวลกระแสข่าวการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมไวรัสโควิด-19 หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อในประเทศทรงตัวระดับสูง โบรกชี้หากยืดเยื้อหวั่นจีดีพีไทยติดลบต่อเนื่องปีที่ 2 และกระทบภาพรวมกำไร บจ.มีโอกาสเสี่ยง
    เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม รายงานข่าวจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า การซื้อขายหุ้นไทยวันที่ 8 กรกฎาคม 2564 ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบตลอดทั้งวัน โดยลดลงต่ำสุดที่ 36.04 จุด หรือ 2.28% อยู่ที่ 1,540.56 จุด และปิดที่ 1,543.67 จุด ลดลง 32.93 จุด หรือ 2.09% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 110,954.67 ล้านบาท หลังมีความกังวลกระแสข่าวการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จากปัจจุบันตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศทรงตัวระดับสูง และเสียชีวิตต่อเนื่อง รวมถึงราคาน้ำมันดิบโลกที่ทรุดตัวลงรับนโยบายที่ไม่แน่นอนของกลุ่มโอเปกพลัส 
    นายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เอเซีย พลัส จำกัด เปิดเผยว่า หากมีมาตรการล็อกดาวน์เข้มงวดเหมือนไตรมาส 2 ปี 2563 และมีความยืดเยื้อ จะส่งผลให้การขยายตัวของเศรษฐกิจ (จีดีพี) ไทย ปี 2564 มีโอกาสติดลบต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 โดยปัจจุบันสำนักเศรษฐกิจส่วนใหญ่ คาดว่าจะอยู่ในกรอบ 1.5-2% ส่วน บล.คาดว่าอยู่ที่ 1.7% ซึ่งในปี 2563 รัฐบาลได้ประกาศล็อกดาวน์ระยะเวลา 26 มีนาคม-3 พฤษภาคม 2563 รวม 38 วัน  ทำให้การขยายตัวของจีดีพีที่แท้จริงไตรมาส 1 ลดลง 58,000 ล้านบาท ส่วนไตรมาส 2 ลดลง 323,000 ล้านบาท และไตรมาส 3-4 ปีที่แล้วยังลดลงต่อ 
    นอกจากนี้ กำไรบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ยังมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นจากการแพร่ระบาดหนักของไวรัสโควิด-19 ในประเทศ และหากภาครัฐมีการประกาศล็อกดาวน์ในช่วงไตรมาส 3 นี้ มีโอกาสกดดันให้กำไร บจ.เป็นหลุมต่ำสุดของปี และลดลงทั้งจากไตรมาสก่อนและช่วงเดียวกันของปีก่อนได้ จากตัวเลขผู้ติดเชื้อเฉลี่ยในช่วงไตรมาส 3 เกือบ 6,000 รายต่อวัน และสูงโดดเด่นเกิน 1 เท่าตัวจากไตรมาสที่ผ่านมา อีกทั้งช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนแทบไม่มีผู้ติดเชื้อเลย ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่รัฐใช้ในการพิจารณาล็อกดาวน์ ประเด็นดังกล่าวส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดน้อยลง และกระทบต่อภาพรวมกำไรบจ.
    ขณะเดียวกัน หากมีการล็อกดาวน์จริง มาตรการน่าจะเข้มงวดขึ้นกว่าทั้งไตรมาสที่ผ่านมา และช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน มาตรการล็อกดาวน์แม้จะช่วยควบคุมการแพร่ระบาดได้ แต่ต้องแลกมากับเศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้าลง หากเปรียบเทียบกับช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 ไม่ได้มีมาตรการคุมเข้มอะไร และช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 มีเพียงมาตรการแบ่งโซนสี ดังนั้น มาตรการที่ออกมาอาจจะกดดันเศรษฐกิจและกำไรให้เป็นหลุมพอสมควร
    สำหรับหุ้นกลุ่มที่กำไรจะถูกกดดันมากสุดหากมีการล็อกดาวน์คือ AUTO, MEDIA, TRANS, CONS โดยกลุ่มดังกล่าวเคยพลิกเป็นขาดทุนในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีมาตรการล็อกดาวน์ ขณะเดียวกันกำไรหุ้นกลุ่มพลังงานอาจพยุงกำไรตลาดได้น้อยลง หากกลุ่มโอเปกมีการปรับเพิ่มกำลังผลิตในไตรมาสนี้ กดดันให้ราคาน้ำมันมีโอกาสย่อตัวหลังจากทำจุดสูงสุดในรอบ 3 ปี ช่วงต้นไตรมาส นอกจากนี้ ในมุมมองอัตรากำไรต่อหุ้น ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูงถึง 83.6 บาทต่อหุ้น สูงกว่าที่ บล.ประเมินไว้ที่ 71.2 บาทต่อหุ้น ถือเป็นความเสี่ยงสำคัญที่น่าจะเห็นการปรับประมาณการกำไรลงในช่วงต่อจากนี้.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"