WHOติงสลับวัคซีน!ไทยยันปลอดภัย


เพิ่มเพื่อน    

"หมอยง" ชี้ไวรัสกลายพันธุ์ตลอดเวลา เปิดผลการศึกษาฉีดวัคซีนซิโนแวคสลับกันกับแอสตร้าฯ ใน 1,200 คน ภูมิต้านทานเทียบเท่าได้รับแอสตร้าฯ 2 เข็ม ยันไม่พบอาการข้างเคียงรุนแรง "หมอประสิทธิ์" แนะคนที่มีโรคร่วมไม่ควรรอ mRNA ควรฉีดไปก่อนค่อยกระตุ้นภายหลัง องค์การอนามัยโลกระบุประเทศต่างๆ ใช้วัคซีนต่างชนิดจากผู้ผลิตคนละแห่ง แต่จะอันตรายและวุ่นวายนิดหน่อย 
    ที่กระทรวง​สาธารณสุข​ วันที่ 13กรกฎาคม ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ​ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย แถลงถึงวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ว่าประเทศไทยเริ่มฉีดวัคซีนมาตั้งแต่ 28 ก.พ.2564 หลังจากนั้นเราก็รณรงค์​การฉีดวัคซีนกันเรื่อยมา วันนี้เรายังฉีดวัคซีนไม่ถึง 13 ล้านโดส เนื่องจากปริมาณ​วัคซีน​มีจำกัด จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องบริหารวัคซีนให้ประโยชน์​สูงสุด โดยการศึกษาวิจัยรูปแบบการให้วัคซีน​ในประเทศไทยจึงมีความจำเป็น ระยะแรกวัคซีนทุกบริษัท​ผลิตจากต้นแบบสายพันธุ์ไวรัสโคโรนาที่มีต้นกำเนิดมาจากอู่ฮั่น​ ซึ่งการผลิตออกมาได้ใช้​เวลาร่วม 1 ปี แต่ในระยะเวลา 1 ปี ไวรัสมีการเปลี่ยนแปลงตัวมันเอง มีการกลายพันธุ์​เพื่อหนีออกจากระบบภูมิต้านทานของเรา จึงเห็นว่าบริษัทไหนก็ตามแต่ที่ผลิตวัคซีนได้ก่อน การศึกษาในประสิทธิภาพ​วัคซีนจะได้สูง แต่ถ้าบริษัทไหนที่ใช้สายพันธุ์​เดิม แล้วมาศึกษาวิจัยในระยะหลังๆ ประสิทธิภาพ​วัคซีนก็จะเริ่มต่ำลง
    ศ.นพ.ยงกล่าวว่า ในประเทศไทยเมื่อมีข้อจำกัดเรื่องวัคซีน เราใช้วัคซีนรูปแบบเชื้อตายกับรูปแบบไวรัสเวกเตอร์ โดยวัคซีนเชื้อตายเป็นของซิโนแวค ส่วนไวรัสเวกเตอร์คือแอสตร้า​เซน​เน​ก้า​ ซึ่งวัคซีนทั้ง 2 รูปแบบต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่เดิมจะเห็นได้ว่าวัคซีน​ชนิดเชื้อตาย การกระตุ้นภูมิต้านทาน​จริงๆ ได้น้อยกว่า การกระตุ้นภูมิต้านทาน​ของไวรัสเวกเตอร์ แต่อย่าลืมว่าไวรัสมีการกลายพันธุ์ตลอดเวลา ซึ่งปัจจุบันนี้การศึกษาของเราทำให้รู้ว่าเมื่อให้ครบ 2 เข็มของวัคซีนเชื้อตายนี้แล้วภูมิต้านทานได้เท่ากับคนที่หายจากโรค โดยเฉพาะหายจากการติดเชื้อโควิดสายพันธุ์อู่ฮั่นดั้งเดิม แต่เมื่อมาติดเชื้อสายพันธุ์ใหม่ ไม่ว่าอัลฟาหรือเดลตา มันต้องการภูมิต้านทานที่สูงขึ้น จึงทำให้ประสิทธิภาพของวัคซีนลดลง และลดลงทุกตัว เพราะฉะนั้นในทางปฏิบัติ ​จึงต้องพิจารณา​ดูว่า ถ้าเราฉีดวัคซีนแอสต​ร้า​ฯ 2 เข็ม ห่างกัน 10 สัปดาห์​ เรารู้ว่าถ้าฉีดไวรัส​เวกเตอร์​ 2 เข็ม ห่างกันน้อยกว่า 6 สัปดาห์​ภูมิต้านทานที่กระตุ้นขึ้นสูงไม่ดี เท่ากับที่ห่างกันเกินกว่า 6 สัปดาห์​ ยิ่งห่างนานเท่าไหร่ยิ่งดี ซึ่งแต่เดิมคิดว่าไวรัสเวกเตอร์หรือแอนตร้าฯ เข็มเดียวก็เพียงพอที่สามารถป้องกันไวรัสสายพัน​ธุ์อู่ฮั่นเดิมได้ แต่พอมาเจอไวรัสเดลตาเข้า วัคซีนแอสตร้าฯ เข็มเดียวไม่สามารถป้องกันได้
    "เรารู้ว่าถ้าใช้วัคซีนเชื้อตายซิโนแ​วค​ 2 เข็ม ภูมิต้านทานสูงไม่พอที่จะป้องกันไวรัสที่มีการกลายพันธุ์มาถึงเดลตาแล้ว แต่ในขณะเดียวกันแอสตร้าฯ เข็มเดียวก็ไม่เพียงพอป้องกันไวรัสเดลตา กว่าจะรอ 2 เข็มก็ช้าไป จึงเป็นที่มาของการทำการศึกษาว่า ถ้าเช่นนั้นเราจึงฉีดวัคซีนเชื้อตายก่อนค่อยตามด้วยไวรัสเวกเตอร์​ ซึ่งการฉีดไวรัสเชื้อตายก่อนเปรียบเสมือนทำให้ร่างกายเราติดเชื้อ แล้วไปสอนนักรบ หรือสอนหน่วยความจำของร่างกายไว้ หลังจากนั้น 3-4 สัปดาห์​ค่อยไปกระตุ้นด้วยวัคซีนที่เป็นไวรัสเวกเตอร์ ที่มีอำนาจในการกระตุ้น​เซลล์​ของร่างกายมากกว่า ผลปรากฏ​ว่าผลกระตุ้นสูงกว่า และเร็วกว่าที่เราคาดคิดไว้ ถึงแม้จะกระตุ้นได้ไม่เท่าแอสตร้าฯ 2 เข็ม แต่ก็จะให้ภูมิต้านทานที่สูงในเวลาแค่ 6 สัปดาห์" ศ.นพ.ยงระบุ
    ศ.นพ.ยงยังกล่าวอีกว่า ขณะนี้คนไข้เรามากกว่า 40 คนที่เราได้ติดตามมา จะเห็นได้ว่ากลุ่มก้อนแรกถ้าเราฉีดซิ​โน​แวค 2 เข็ม ภูมิต้านทานที่เกิดขึ้นจะสูงเท่ากับคนไข้ที่หายแล้ว แต่เนื่องจากปัจจุบันเป็นสายพันธุ์​เดลตา จึงทำให้ภูมิในขณะนี้ป้องกันไม่ได้ แต่ถ้าเราฉีดแอสตร้าฯ 2 เข็มแล้ววัดภูมิต้านทานอีก 1 เดือนหลังจากนั้น แสดงว่าห่างกัน 10 สัปดาห์ แล้ววัดที่ 14 สัปดาห์​ ภูมิต้านทาน​จะสูงเพียงพอหรือพอสมควรป้องกันไวรัสที่กลายพันธุ์​ได้ แต่เราต้องใช้เวลาถึง 14 สัปดาห์​ จึงทำ​ให้​ภูมิสูงขนาดนั้น แต่ถ้าเรามาฉีดวัคซีน 2 เข็มที่สลับกัน โดยวัคซีนเข็มแรกเป็นซิโนแวค แล้วเข็มสองเป็นแอสตร้าฯ จะเห็นได้ว่าภูมิต้านทานขึ้นมาใกล้เคียงกับการฉีดแอสตร้าฯ 2 เข็ม ถึงแม้จะน้อยกว่ากันนิดเดียว โดยฉีดแอสตร้าฯ 2 เข็มภูมิต้านทานอยู่ที่ 900 แต่ถ้าฉีดสลับกันเหมือนที่กล่าวข้างต้น ภูมิต้านทานอยู่ที่ 800 ซึ่งเปรียบเทียบกับการฉีดซิโนแวค 2 เข็มอยู่ที่ประมาณ 100 แต่ถ้าการติดเชื้อในธรรมชาติจะอยู่ระหว่าง 70-80 ถ้าเป็นแบบนี้ไวรัสที่กลายพันธุ์​ก็มีโอกาสป้องกันได้มีมากกว่า แล้วผลสัมฤทธิ์​ในระดับภูมิต้านของร่างกายให้สูงขึ้นใช้เวลาเพียง 6 สัปดาห์  
    "เพราะฉะนั้นในสถานการณ์​ในการระบาดของโรคที่เป็นไปอย่างรุนแรง เรารอเวลา 12 สัปดาห์ไม่ได้ การที่ต้องการให้ภูมิสูงขึ้นเร็ว การฉีดวัคซีนสลับเข็มเรามีภูมิที่สูงใกล้เคียงกับวัคซีนที่ใช้เวลาถึง 12 สัปดาห์​ จึงน่าจะเป็นประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศไทย ณ เวลานี้ แต่ในอนาคต ถ้ามีวัคซีนอื่นที่ดีกว่า พัฒนาที่ดีกว่า เราค่อยหาวิธีการที่ดีกว่า หรือไวรัสกลายพันธุ์​ไปมากกว่านี้ก็อาจจะมีวัคซีนที่จำเพาะเจาะจงกับสายพันธุ์​นั้นๆ ยกตัวอย่างเช่นไข้หวัดใหญ่ ที่ต้องมีการฉีดทุกปี เพราะฉะนั้นเวลาทุกวันของเรามีค่ามากในการต่อสู้กับโรคร้าย จึงขอ​นับสนุนให้เห็นว่าข้อมูลทางวิชาการที่ศึกษามาจะเป็นประโยชน์ในการใช้จริง" ศ.นพ.ยงกล่าว
    เมื่อถามว่า เชื้อกลายพันธุ์​ในขณะนี้มีความคืบหน้าอย่างไร และมีผลต่อการฉีดวัคซีนในไทยหรือไม่ ศ.นพ.ยงกล่าวว่า เราได้ทดสอบการ Blocking antibody จะเห็นได้ว่าการเปรียบเทียบซิโนแวค 2 เข็มกับซิโนแวคบวกกับแอตร้าฯ ที่สลับกันแล้ว เปอร์เซ็นต์​การขัดขวางตัวไวรัสขึ้นไปได้ถึงสูงทีเดียว จากการศึกษาเรื่องความปลอดภัยเบื้องต้น มีการฉีดวัคซีน​สลับกันแบบนี้ในประเทศไทยมากกว่า 1,200 คน แล้วที่ฉีดมากที่สุดคือ รพ.จุฬาลงกรณ์ ​โดยที่ถูกลงบันทึกในแอปหมอพร้อม โดยให้บันทึกอาการข้างเคียงลงไป ปรากฏว่าไม่มีใครในจำนวนนี้มีอาการข้างเคียงรุนแรง เพราะฉะนั้นจึงยืนยันว่าการให้วัคซีนที่สลับกันมีความปลอดภัยในชีวิตจริง ส่วนการศึกษาของเราจะมีการนำออกมาอีกครั้งหนึ่ง ขอให้ผู้ปฏิบัติสบายใจว่า เราไม่ได้มีการฉีดสลับเป็นคนแรก
    ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า ขณะนี้ทั่วโลกผู้ผลิตวัคซีนกำลังเร่งพัฒนาวัคซีนเจเนอเรชั่น 2 ที่คาดว่าจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น และปลอดภัยกว่าเดิม โดยบางบริษัทก็นำเอาเอไอเข้ามาจับ เพื่อหวังทั้งประสิทธิภาพ ครอบคลุมทุกสายพันธุ์ และมีความปลอดภัย คาดว่าวัคซีนที่ได้รับการพัฒนาเจเนอเรชั่น 2 นี้ จะเริ่มฉีดได้จริงต้นปีหน้า 2565 ดังนั้นขณะนี้ไม่อยากให้ประชาชนกังวล หรือรอเลือกวัคซีนถึงจะฉีด เพราะในจำนวนคนป่วยของ รพ.ศิริราชที่เป็นผู้ป่วยหนัก ส่วนใหญ่ ได้รับวัคซีนแค่ 1 เข็ม ยังไม่ครบ 2 เข็ม บางคนก็ยังไม่รับวัคซีนเพราะอยากรอวัคซีนทางเลือก mRNA ไฟเซอร์ โมเดอร์นา ทั้งที่ความจริงตนเองมีโรคร่วม ไม่ควรรอ เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง ควรฉีดวัคซีนก่อน จากนั้นค่อยฉีดกระตุ้นในภายหลังได้
    รายงานรอยเตอร์อ้างคำเตือนจาก ดร.โสมยา สวามีนาธาน หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ขององค์การอนามัยโลก ซึ่งกล่าวต่อที่ประชุมทางออนไลน์ของดับเบิลยูเอชโอที่นครเจนีวาเมื่อวันจันทร์ว่า ขณะนี้กำลังเกิดแนวโน้มที่ประเทศต่างๆ ใช้วิธีฉีดวัคซีนโควิด-19 โดยผสมวัคซีนต่างชนิดกันจากผู้ผลิตคนละแห่งกัน ถือเป็นแนวโน้มที่อันตรายนิดหน่อย เนื่องจากเรายังไม่มีข้อมูลและหลักฐานเกี่ยวกับการฉีดวัคซีนแบบผสมสูตร
    "มันจะเป็นสถานการณ์ที่โกลาหลวุ่นวายในประเทศต่างๆ หากประชาชนเริ่มตัดสินใจว่าเมื่อใดและใครจะได้รับยาโดสที่ 2, ที่ 3 และ 4" กุมารแพทย์ชาวอินเดียผู้นี้กล่าวเตือน
    รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาลแจ้งว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ผ่านระบบวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ ได้มีการนำคลิปวิดีโอของ ดร.โสมยา ที่พูดถึงการผสมสูตรวัคซีน เพราะยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบด้านสุขภาพ มาเปิดให้ที่ประชุมชม จากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้พูดถึงมติคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติ ที่จะให้มีการฉีดสลับยี่ห้อได้ โดยระบุว่าเรื่องดังกล่าวให้หมอเป็นผู้ตัดสินใจ และนำข้อมูลของ WHO มาประกอบการพิจารณาให้ถี่ถ้วน ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.สาธารณสุข กล่าวเสริมว่า คณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติที่เป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ไม่ได้มีแค่หมอในกระทรวงสาธารณสุข แต่มีหมอจากหลายภาคอยู่ในนั้นด้วย.  


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"