ปิดเพิ่ม10กิจการ ทุบสถิติ!ติดเชื้อ1.3หมื่นรายโควิดเรือนจำพุ่งตจว.ยังหนัก


เพิ่มเพื่อน    

ฉุดไม่อยู่! ติดเชื้อสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 1.3 หมื่นราย ดับอีก 108 ราย เดลตาระบาด กทม.เกิน 50% ขยายมาตรการพื้นที่สีแดงเข้ม ปิดเพิ่ม 10 กิจการ ร้านตัดผม-สนามกีฬา-สวนสาธารณะ “บิ๊กตู่” ลั่นต้องไม่มีคนตายที่บ้าน เร่งจัดหาเตียงผู้ป่วยต่อเนื่อง สั่งปรับสโมสร ตร.-ทหารเป็นศูนย์พักคอย "สธ.-สปสช.-สพฉ." เตรียมระบบส่งต่อผู้ติดเชื้อที่ต้องการกลับรักษาตัวที่ภูมิลำเนา พศ.ประกาศทุกวัดเผาศพโควิดฟรี ปริมณฑลยังอ่วม! พุ่งเกิน 600 ราย
     ที่ทำเนียบรัฐบาล วันที่ 21 กรกฎาคม พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ผู้ช่วยโฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสถานการณ์ประจำวัน ว่า มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 13,002 ราย เป็นการติดเชื้อในประเทศ 11,922 ราย มาจากระบบเฝ้าระวังและระบบบริการ 9,012 ราย, มาจากการค้นหาเชิงรุก 2,910 ราย, มาจากเรือนจำและที่ต้องขัง 1,049 ราย, มาจากต่างประเทศ 31 ราย ทำให้มียอดผู้ติดเชื้อสะสม 439,477 ราย หายป่วยเพิ่มเติม 8,248 ราย หายป่วยสะสม 304,456 ราย อยู่ระหว่างรักษา 131,411 ราย อาการหนัก 3,786 ราย ใช้เครื่องช่วยหายใจ 879 ราย มีผู้เสียชีวิตเพิ่มเติม 108 ราย เป็นชาย 59 ราย หญิง 49 ราย โดยมากสุดอยู่ใน กทม. 40 ราย และมีถึง 42 รายที่เสียชีวิตไม่เกิน 6 วันนับจากทราบผล จึงขอเน้นย้ำหากใครอยู่ในกลุ่มเสี่ยงและมีอาการทางเดินหายใจขอให้รีบตรวจโดยเร็ว ทำให้ปัจจุบันมียอดผู้เสียชีวิตสะสม 3,610 ราย ขณะที่สถานการณ์โลก มีผู้ติดเชื้อสะสม 192,228,307 ราย เสียชีวิตสะสม 4,133,324 ราย      
    พญ.อภิสมัยกล่าวว่า สำหรับ 10 จังหวัดที่มีผู้ติดเชื้อสูงสุดวันที่ 21 ก.ค. ได้แก่ กทม. 2,921 ราย, สมุทรสาคร 932 ราย, นนทบุรี 661 ราย, สมุทรปราการ 656 ราย, ชลบุรี 636 ราย, ฉะเชิงเทรา 374 ราย, ปทุมธานี 350 ราย, ระยอง 305 ราย, ปัตตานี 282 ราย, พระนครศรีอยุธยา 235 ราย นอกจาก 10 จังหวัดดังกล่าวแล้ว ยังพบหลายจังหวัดมีผู้ติดเชื้อเพิ่มมากขึ้น อาทิ จ.มหาสารคาม กาฬสินธุ์ ศรีสะเกษ ขอนแก่น นครราชสีมา ผู้ติดเชื้อที่พบเป็นผู้ที่เดินทางกลับจากพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด หรือพื้นที่สีแดงเข้ม จึงขอให้ผู้ที่ตรวจเชื้อแล้วผลเป็นบวกเข้าระบบโดยเร็ว โดยไม่ต้องเคลื่อนย้าย เพราะข้อมูลผู้ติดเชื้อใน กทม. 70-80% มีอาการแค่สีเขียวและสีเขียวอ่อน การเดินทางอาจทำให้อาการแย่ลงได้ ที่สำคัญหากจะกลับไปรักษาที่ภูมิลำเนา ต้องมีการติดต่อสถานที่รักษาไว้ก่อน เนื่องจากตอนนี้เตียงรักษาในพื้นที่ต่างจังหวัดมีการเพิ่มปริมาณและค่อนข้างตึงตัว หากไปโดยไม่มีการประสานงานล่วงหน้าอาจได้รับการปฏิเสธได้  
    "ขณะที่ข้อมูลจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ พบว่าการแพร่เชื้อใน กทม.เป็นการระบาดของสายพันธุ์เดลตาเกิน 50% ในหลายจุด โดยเฉพาะในเขตจตุจักร บางรัก จอมทอง คลองเตย และหลักสี่ ทำให้ กทม.พุ่งเป้าการจัดทีมป้องกันและแก้ปัญหาโควิด-19 เชิงรุกในชุมชน หรือทีม CCRT ที่จะไปค้นหาผู้ติดเชื้อในชุมชนให้ได้รับการรักษาให้เร็วที่สุด โดยผลดำเนินการระหว่างวันที่ 15-20 ก.ค. มีการลงพื้นที่เดินเท้าเคาะประตูบ้านไปแล้ว 139 ชุมชน มีผู้รับบริการ 4,583 ราย เฉพาะวันที่ 20 ก.ค.วันเดียว มีการตรวจแรพิด แอนติเจนเทสต์คิต 383 ราย พบเชื้อ 37 ราย โดยแยกกักตัวที่บ้าน 31 ราย แยกกักที่ศูนย์พักคอยในชุมชน 3 ราย ส่งโรงพยาบาล 3 ราย และมีผู้สัมผัสใกล้ชิด 134 ราย ส่วนนี้จะให้กักตัวที่บ้านต่อไป" 
    พญ.อภิสมัยกล่าวต่อว่า ผอ.ศบค.ได้เน้นย้ำว่าจะต้องไม่มีคนเสียชีวิตที่บ้านจากโควิด-19 ซึ่งเป็นประเด็นที่เราต้องจำเป็นนำผู้ป่วยเข้าสู่ระบบโดยเร็วที่สุด โดยจะมีการขยายจุดตรวจให้ครอบคลุม ตอนนี้มีการเพิ่มเติมในภาคส่วนต่างๆ เช่น รถพระราชทาน คลินิก ศูนย์บริการสาธารณสุขของ กทม. อธิบดีกรมการแพทย์ระบุว่าการจัดสรรเตียงในปัจจุบันที่ยังว่างอยู่ในตอนนี้คือ จุดที่สั่งเพิ่มขยาย กทม.และกระทรวงสาธารณสุขพยายามเปิดตรงนี้เพิ่มเติม การจัดศูนย์พักคอยในชุมชนจะมาตอบโจทย์นี้ นโยบาย ผอ.ศบค.คือ ต้องมีศูนย์พักคอยในชุมชนอย่างน้อย 50 เขตใน กทม. ต้องมีเขตละ 1 ศูนย์ เขตไหนมีความสามารถให้มีเขตละ 2 ศูนย์ ถ้า 1 ศูนย์มี 100 เตียง 50 เขตจะได้ 5,000 เตียง ถ้าทุกคนมี 2 ศูนย์จะได้ 10,000 เตียง ถ้าทำได้ 200 เตียงทุกศูนย์ จะรองรับผู้ป่วย 20,000 เตียง ขณะนี้ กทม.ดำเนินการไปแล้ว 49 ศูนย์ใน 47 เขต เปิดรับผู้ป่วยแล้ว 19 ศูนย์ มีเตียงกว่า 3,000 เตียง ส่วนศูนย์นิมิบุตร ที่มีศักยภาพเป็นศูนย์พักคอยและพักแยก แต่ขณะนี้ต้องรับผู้ป่วยสีเหลืองเข้าไปด้วย ดังนั้น ใครที่ผ่านการตรวจแบบแรพิดแอนติเจนเทสต์ คิต มีการหารือว่าอาจเพิ่มศูนย์ลักษณะคล้ายที่นิมิบุตร เพื่อแรกรับและส่งต่อผู้ป่วยและคัดแยกหากเป็นผู้ป่วยสีเหลืองและสีแดงจะจัดเข้าโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด ถ้าเป็นสีเขียวให้แยกกักที่ชุมชน 
ปิดเพิ่ม 10 กิจการ
    ผู้ช่วยโฆษก ศบค.กล่าวอีกว่า ขอย้ำสถานที่และประเภทกิจการที่ต้องปิดในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จังหวัด นอกจากนี้ศปก.ศบค.ได้พิจารณาร่วมกันและมีความเห็นว่าเพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์และมาตรการบังคับของข้อกำหนดฉบับที่ 28 จึงมีข้อเสนอแนะให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ผู้ว่าราชการจังหวัด พิจารณาสั่งปิดสถานที่ กิจการที่มีความเสี่ยงการแพร่ระบาดของโรค ดังนี้ ได้แก่ 1.สนามกีฬาทุกประเภท (ประเภทในร่ม เช่น แบดมินตัน สนามซ้อมกอล์ฟ สนามฟุตบอล สนามเทนนิส) 2.สนามเพื่อการเล่นกีฬา หรือกิจกรรมทางน้ำเพื่อการสันทนาการ สระว่ายน้ำสาธารณะ หรือกิจการอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน 3.ลานกีฬา 4.ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุม หรือสถานที่จัดนิทรรศการ 5.ศูนย์การเรียนรู้ หรือศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา อุทยานวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม ศูนย์หอศิลป์ 6.ห้องสมุดสาธารณะ ห้องสมุดชุมชน ห้องสมุดเอกชนและบ้านหนังสือ 7.พิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์สถาน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมถึงพิพิธภัณฑ์ในลักษณะเดียวกัน แหล่งประวัติศาสตร์ หรือโบราณสถาน 8.ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กและเด็กก่อนวัยเรียน 9.ร้านเสริมสวย ทั้งร้านตัดผมหรือแต่งผม ร้านทำเล็บ ร้านสัก 10.สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ต่างๆ 
    ส่วนสถานที่ที่เปิดได้ แต่ขอให้อยู่ภายใต้เงื่อนไขการควบคุมโรค ได้แก่ สถานที่รับเลี้ยงเด็ก เฉพาะที่รับเลี้ยงในโรงพยาบาลและที่มีการรับตัวไว้เพื่อค้างคืนเป็นปกติ, สถานที่ดูแลผู้สูงอายุ เฉพาะที่มีการรับตัวไว้พักค้างคืนเป็นปกติ และตลาดนัดเฉพาะที่ขายอาหารหรือวัตถุดิบเพื่อการบริโภค สำหรับการเดินทางขอย้ำว่ารถขนส่งสาธารณะเข้า-ออกพื้นที่สีแดงเข้มจะปิดให้บริการ และการเดินทางในพื้นที่สีแดงเข้มให้ลดปริมาณเหลือ 50% 
    พล.ท.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม (กห.) เปิดเผยว่า พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กห. และพล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ ปลัด กห. ได้ประชุมร่วมกับ กอ.รมน. นขต.กห. เหล่าทัพ และ ตร. ผ่านระบบ VTC ณ ศาลาว่าการกลาโหม เพื่อติดตามการสนับสนุนรัฐบาลแก้ปัญหาวิกฤติโควิด โดย พล.อ.ชัยชาญได้ย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์สั่งการให้ทุกเหล่าทัพประสานกับ สธ. พิจารณาปรับปรุงสโมสรทหารและตำรวจในพื้นที่ กทม.และต่างจังหวัด เป็นศูนย์พักคอยผู้ป่วยหรือ รพ.สนาม ตามความเหมาะสม เพื่อใช้เป็นสถานที่พักคอยและรักษาผู้ป่วย รองรับสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่  และให้ กห.ประสานกับ อว. (กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม) สนับสนุนจัดตั้ง รพ.สนาม ร่วมกับ รพ.ในสังกัดมหาวิทยาลัย รองรับดูแลผู้ป่วยในพื้นที่ต่างๆ เสริมไปด้วยกัน 
     พร้อมกันนี้ นายกฯ และ รมว.กห.ได้สั่งการให้กองทัพจัดกำลังทหารกระจายลงพื้นที่ จัดตั้ง “จุดรับแจ้งเหตุฉุกเฉิน” ในพื้นที่สีแดงเข้ม 13 จว. โดยให้ประสานทำงานร่วมกับ กทม. ฝ่ายปกครอง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือดูแลผู้ป่วยและติดเชื้อในแต่ละพื้นที่ทันทีภายใต้มาตรการที่สาธารณสุขกำหนด  
    น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมการศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) กรณีโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ได้เห็นชอบแบบโรงพยาบาลสนามระดับสูง (สนามบินสุวรรณภูมิ) ณ อาคารเทียบเครื่องบินรองหลักที่ 1 (SAT1) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ ตามที่กรมสนับสนุนบริการสุขภาพออกแบบเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลังจากนี้ กรมสนับสนุนบริการสุขภาพจะดำเนินการตามขั้นตอนการเสนอของบประมาณสนับสนุนต่อไป ซึ่งจะรองรับผู้ป่วย 4,500 เตียง โดยเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือน ส.ค.เป็นต้นไป ขณะนี้บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. ยังอยู่ระหว่างการจัดเตรียมพื้นที่อาคารคลังสินค้า 4 ของท่าอากาศยานดอนเมือง เพื่อจัดตั้งโรงพยาบาลสนามอีก ซึ่งจะรองรับผู้ป่วยอาการไม่รุนแรงได้อีกประมาณ 2,000 เตียง รวมทั้ง 2 พื้นที่ของ ทอท. จะรองรับผู้ป่วยได้เกือบ 7,000 เตียง
    ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม ในนามผู้อำนวยการ ศบค. ให้ภาคเอกชน ได้แก่ คณะผู้บริหาร กลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) นำโดยนายทศพร ศิริสัมพันธ์ กรรมการอิสระและประธานกรรมการฯ และคณะผู้บริหารกลุ่มบริษัท คิง เพาเวอร์ โดยนางสาวอรุณรุ่ง ศรีวัฒนประภา ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน พร้อมคณะ เข้าพบเพื่อมอบสิ่งของและเงินบริจาคสนับสนุนการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีนายอุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข, นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พลังงาน, นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมด้วย
ทุกวัดเผาศพโควิดฟรี
    ที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เตรียมระบบส่งต่อผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยโควิด 19 ที่มีอาการคงที่และประสงค์เดินทางกลับไปรักษาตัวยังภูมิลำเนา แสดงความจำนงผ่านสายด่วน สปสช. 1330 (กด 15)  โดย นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัด สธ. กล่าวว่า สธ.ได้ร่วมกับ สพฉ.และ สปสช. วางระบบการนำส่งผู้ติดเชื้อโควิดกลับภูมิลำเนาเพื่อให้การขนส่งผู้ป่วยเป็นไปตามมาตรฐานการป้องกันและควบคุมโรคป้องกันการแพร่กระจายเชื้อระหว่างการเดินทาง และลดการแพร่เชื้อระหว่างจังหวัด โดยเงื่อนไขการเดินทางผู้ป่วยจะต้องมีอาการคงที่ สามารถเดินทางได้ และจังหวัดปลายทางยินยอมรับกลับ นอกจากนี้ ได้ประสานกับกระทรวงกลาโหม, กรมการขนส่งทหารบก,  กระทรวงคมนาคม, การรถไฟแห่งประเทศไทย ร่วมวางแผนการเดินทางและอำนวยความสะดวกแก่ประชาชน
    นพ.เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า สำหรับผู้ติดเชื้อ/ผู้ป่วยโควิดที่ต้องการเดินทางกลับภูมิลำเนา ขอให้โทร.แจ้งความจำนงที่สายด่วน สปสช. 1330 (กด 15) จากนั้น สปสช.จะรับผิดชอบประสานงานกับ สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และกองทัพบก/การรถไฟฯ เพื่อจัดทำแผนส่งกลับต่อไป  
    นายอายุตม์ สินธพพันธุ์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในเรือนจำและทัณฑสถานว่า ข้อมูล ณ วันที่ 20 ก.ค. พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 1,049 ราย (พบในเรือนจำสีแดง 1,015 ราย และพบในห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่ 34 ราย) หายป่วยเพิ่ม 95 ราย รวมยังมีผู้ต้องขังติดเชื้อที่อยู่ในการดูแลของกรมราชทัณฑ์ 3,824 ราย และไม่มีรายงานผู้เสียชีวิตต่อเนื่องเป็นวันที่ 11
    นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมประชุมหารือแนวทางการฌาปนกิจผู้เสียชีวิตจากโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ผ่านระบบออนไลน์ โดยมีผู้บริหารสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัดเข้าร่วม โดยนายอนุชากล่าวว่า ขอให้บุคลากรสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคทุกคนร่วมมือร่วมใจในการช่วยเหลือประชาชน บรรเทาความเดือดร้อนและความยากลำบาก ทั้งนี้ ประกาศเจตนารมณ์ “ทุกวัดเผาศพโควิดไม่มีค่าใช้จ่าย" เพื่อแสดงให้เห็นว่าองค์กรพุทธเป็นหน่วยงานที่เคียงข้างประชาชนจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต 
    กองทัพบก ได้ประชาสัมพันธ์แจ้งประชาชนผู้ที่เดือดร้อน ติดขัดเรื่องการรักษาพยาบาล การเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโควิด การจัดพิธีศพผู้เสียชีวิตจากโควิด สามารถประสานขอความช่วยเหลือ ผ่าน หน่วยทหารของกองทัพบกใกล้บ้านทั่วประเทศ หรือโทร.แจ้งได้ที่ศูนย์ประสานงานต้านภัยโควิดกองทัพบก CALL CENTER: 0-2270-5685-9 ตลอด 24 ชม. ทบ.พร้อมประสานความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ นอกจากนี้ กองทัพบกได้จัดเตรียมโรงพยาบาลสนาม โรงพยาบาลค่ายในจังหวัดต่างๆ 37 แห่งทั่วประเทศ ไว้รองรับผู้ติดเชื้อ ซึ่งประชาชนตรวจสอบที่ตั้งโรงพยาบาลของกองทัพบกได้ตามแผนที่ : google map       https://bit.ly/3zbcaLw  รพ.สนาม : รพ.ค่ายทหาร 37 แห่งทั่วประเทศ : ฌาปนสถาน ทบ.  
    ส่วนสถานการณ์ต่างจังหวัดยังมีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก นพ.นนท์ จินดาเวช รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดสมุทรปราการ เปิดเผยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 656 ราย เสียชีวิต 3 ราย คลัสเตอร์ใหม่เรือนจำกลาง จ.สมุทรปราการ ผู้ต้องขังแดน 7 จำนวน 391 ราย บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด อำเภอบางเสาธง 40 ราย ส่วนที่เหลือเป็นคลัสเตอร์เดิมที่แพร่ระบาดในกลุ่มคนใกล้ชิด
ต่างจังหวัดยังระบาดหนัก
    นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา นายแพทย์สาธารณุสข จ.ขอนแก่น เปิดเผยว่า เรือนจำขอนแก่นมีผู้ต้องขังทั้งหมด 4,458 คน โดยขณะนี้พบผู้ต้องขังยืนยันติดเชื้อโควิดแล้ว 315 คน ถือว่าเป็นคลัสเตอร์ใหญ่ จึงได้ประสานงานร่วมกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงมหาดไทย รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนควบคุมโรคในรูปแบบบับเบิลแอนด์ซีล 
    จ.นครราชสีมา พบผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มอีกจำนวน 277 ราย ซึ่งถือเป็นสถิติการพบจำนวนผู้ป่วยรายวันสูงสุดนับตั้งแต่เกิดการระบาดของเชื้อโควิดเป็นต้นมา โดยเป็นผู้เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง 64 ราย ติดเชื้อมาจากการสัมผัสผู้ป่วยรายก่อนหน้า 190 ราย ป่วยโควิดเดินทางมารักษา 23 ราย รวมผู้ป่วยระลอกใหม่สะสม 3,593 ราย 
    ศูนย์ปฏิบัติการตอบโต้ภาวะฉุกเฉิน สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ รายงานว่า มีผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อโควิดรายใหม่ เพิ่มขึ้นอีก 106 ราย แยกเป็นพบผู้ติดเชื้อในพื้นที่จังหวัด 8 ราย ติดเชื้อมาจากนอกพื้นที่ 98 ราย
    จ.อำนาจเจริญ พบมีผู้ป่วยยืนยันรายใหม่เพิ่ม 44 ราย เป็นผู้ติดเชื้อเดินทางกลับมาจากพื้นที่เสี่ยง แล้วเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทันทีที่มาถึง 
         จ.พิษณุโลก พบผู้ป่วยรายใหม่อีก 82 ราย รวมผู้ป่วยสะสม 1,089 ราย
    จ.ตราด พบผู้ป่วยติดเชื้อโควิดแล้วจำนวน 117 ราย ปัจจุบันคลัสเตอร์โรงพยาบาลพยาบาลตราดยังคงพบผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่อง หลังนายสุรชัย เจียมกูล รองนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดตราดระบุว่า กรณีพนักงานโกลบอลเฮ้าส์สาขาตราดติดเชื้อโควิด 10 ราย ที่มีความเชื่อมโยงกันและยังมีแนวโน้มที่อาจจะพบการติดเชื้อเพิ่มขึ้น
    สถานการณ์การแพร่ระบาดโควิดของจ.ปัตตานี เป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด และเป็นพื้นที่สีแดงเข้ม พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ของวันที่ 20 ก.ค. พุ่งถึง 297 คน ยอดสะสม 6,672 คน เสียชีวิตเพิ่ม 5 ศพ ทำให้ยอดสะสมผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 74 ศพแล้ว และอยู่ระหว่างรอผลตรวจอีกหลายพันคน     
    นอกจากนี้ ยังพบคลัสเตร์ใหม่ เป็นเรือนจำกลางปัตตานี พบนักโทษติดเชื้อทั้งหมดประมาน 71 ราย เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการแยกเรือนนอนไปยังตึกสำหรับผู้ป่วยโควิดที่ทางเรือนจำมีอยู่แล้วเกือบ 200 เตียง และยังมีนักโทษรายอื่นๆ เข้าค่ายกลุ่มเสี่ยง และอยู่ระหว่างรอผลตรวจอีก 
    นายจารุวัฒน์ เกลี้ยงเกลา ผู้ว่าฯสงขลา เปิดเผยว่า พบผู้ติดเชื้อรายใหม่ 175 ราย เสียชีวิต 7 คน ส่งผลให้ยอดติดเชื้อสะสม 9,626 ราย เสียชีวิตสะสม 51 คน ซึ่งเป็นผู้เสียชีวิตตกค้างที่ยังไม่รายงานให้เข้าสู่ระบบ 
    จ.ภูเก็ต ได้รับรายงานจากนายแพทย์กู้ศักดิ์ กู้เกียรติกูล นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดภูเก็ต ว่ามีนักท่องเที่ยวสาวชาวไทยฝ่าฝืนกฎของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ โดยเข้ามาอยู่ภูเก็ตได้ 9 วัน เดินทางออกไปทางเครื่องบิน ลงที่กรุงเทพมหานคร และเดินทางต่อไปที่ จ.ชลบุรี โดยเหตุเกิดเมื่อคืนที่ผ่านมา ถือว่าผิดกฎหมายของภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ทาง สสจ.ภูเก็ต ประสานงานไปที่ สสจ.ชลบุรี ไปเชิญตัวนักท่องเที่ยวรายนี้ตั้งแต่เมื่อคืน ทำการควบคุมตัวนำเข้าสถานที่กักตัวที่รัฐกำหนดต้องกักตัวให้ครบ 14 วัน ในกรณีนี้ทางศูนย์ปฏิบัติการ ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ร่วมกับฝ่ายปกครองจังหวัดภูเก็ต ดำเนินการตามกฎหมายเข้าแจ้งความดำเนินคดีแล้ว. 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"