จะตั้งข้อกล่าวหาโยนความผิดให้เจ้าไวรัสโควิด-19 พันธุ์อู่ฮั่น อัลฟา   อังกฤษ, เดลตา อินเดีย หรือเอบีซีดี อะไรก็ตามที่มันก็จะกลายพันธุ์ตามอายุและเวลาที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ว่า ทำให้เกิดความแตกแยกในสังคมบ้านเราวันนี้ ถึงขั้นคิดอะไรไม่ออก บอก "นายกฯ" ให้ลาออกไปนั้น ...
    เชื่อว่า เป็นเรื่องของต่างมุมต่างมอง ตามแต่ใครอยู่ตรงมุมไหน เวลาใด และอยู่ในสถานภาพแบบไหนก็แล้วกัน เพราะจะให้ทุกคนเห็นพ้องต้องกันไปเสียทุกเรื่อง ทุกประเด็น ก็คงไม่เรียกว่าเป็นสปีชีส์ของมนุษย์อย่างแน่แท้
    โดยเฉพาะมนุษย์ไทยยุคดิจิทัล เอะอะ..ก็ยกสิทธิเสรีภาพมาเป็นเกราะป้องกัน โดยไม่รักษาหน้าที่และไม่สนใจความรับผิดชอบนั้น ..นับวันก็มีเยอะขึ้นทุกวัน
    เมื่อวานนี้อ่านบล็อกข่าวของ ผศ.นพ.เฉลิมชัย บุญยะลีพรรณ  สมาชิกวุฒิสภา คิดว่าอธิบายความแตกต่างอันยึดโยงกับโควิด-19 ได้อย่างชัดเจนอีกกรณี ..คุณหมอบอกว่า 
    คนอิสราเอล 1 ล้านยังคงปฏิเสธการฉีดวัคซีนโควิด จนนายกฯ ต้องออกมาตำหนิว่า ทำให้อีก 8 ล้านคนตกอยู่ในอันตราย
    แค่เป็นหัวข้อ...ก็สงสัยว่า ถ้านายกฯ บ้านเราออกมาพูดแบบนี้บ้าง ..ทัวร์คงลงเป็นระนาวไหม?!? 
    นายกรัฐมนตรีของเขาบอกว่า เป้าหมายของประเทศอิสราเอลนั้นชัดเจนว่า หลังจากที่ล็อกดาวน์ทั้งประเทศ (National  Lockdown) มาถึงสามครั้ง รวมเวลากว่า 200 วัน และมีคนเสียชีวิตไป 6,430 คน เศรษฐกิจเสียหายอย่างหนัก โรงเรียนต้องปิดไปหนึ่งปีการศึกษาแล้วนั้น รัฐบาลได้ทุ่มเทความสามารถและทรัพยากรจำนวนมาก จัดหาวัคซีนมาจนเพียงพอกับจำนวนพลเมืองของอิสราเอลทั้งหมด และเป็นวัคซีนเทคโนโลยี mRNA ของ Pfizer เมื่อได้ระดมฉีดไปจนถึงปัจจุบัน มีคนอิสราเอลมากถึง 58% ที่ฉีดครบสองเข็มแล้ว และอีกจำนวนมากฉีดไปแล้วหนึ่งเข็ม 
    อย่างไรก็ดี ด้วยความที่เป็นไวรัสสายพันธุ์ใหม่คือเดลตา ทำให้จำนวนพลเมืองที่ต้องฉีดวัคซีนให้ครบสองเข็มจะต้องมีเพิ่มขึ้นไปอีกจึงจะรับมือได้ นั่นหมายความว่า อิสราเอลต้องการให้พลเมืองทุกคนที่อายุมากกว่า 12 ปีได้รับการฉีดวัคซีนทั้งหมด และเมื่อมีคนอิสราเอลจำนวน 1,000,000 คนปฏิเสธการฉีดวัคซีน จึงเป็นปัญหาใหญ่ที่นายกรัฐมนตรีต้องออกมาแถลงดังกล่าว
    ก็ถือว่า..รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม มิเช่นนั้นก็จะเครียดว่า ประเทศไทยนี่เฮงซวยกว่าทุกประเทศ ...เฮ้อ.
"ป้าเอง"