รุกคืบ'คิม'เยือนทำเนียบขาว


เพิ่มเพื่อน    

    สื่อเกาหลีเหนือตีปี๊บความสำเร็จซัมมิตสิงคโปร์ ได้ใจผู้นำสหรัฐรับปากยกเลิกการซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้ รายงานเลยเถิดถึงขั้นบอกทรัมป์จะยุติการคว่ำบาตร พร้อมยืนยัน "คิม จองอึน" จะเยือนทำเนียบขาว ส่วน "โดนัลด์ ทรัมป์" จะไปเปียงยาง ฝ่ายทรัมป์ยังคุยโว "ไม่มีภัยคุกคามนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนืออีกต่อไปแล้ว" แต่เพนตากอนกับเกาหลีใต้และญี่ปุ่นยังสับสนภายหลังทรัมป์ประกาศนอกบท "เลิกซ้อมรบ-ถอนทหาร"
    ยังคงมีปฏิกิริยาต่อเนื่องจากการประชุมสุดยอดครั้งประวัติศาสตร์ระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ กับคิม จองอึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ซึ่งใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งวันของวันอังคารที่ 12 มิถุนายน 2561 ที่ผ่านมา โดยทั้งผู้นำสหรัฐและสื่อของทางการเกาหลีเหนือต่างโหมประโคมความสำเร็จของซัมมิตครั้งนี้
     เมื่อวันพุธที่ 13 มิถุนายน สำนักข่าวบีบีซี, รอยเตอร์ และเอเอฟพี พากันรายงานความเคลื่อนไหวของสื่อทางการเกาหลีเหนือ ที่เกาะติดสถานการณ์แบบเรียลไทม์ ผิดจากปกติที่จะรายงานข่าวเกี่ยวกับท่านประธานคิมหลังเสร็จสิ้นภารกิจแล้วเท่านั้น เช่นข่าวซัมมิต 2 ครั้งทั้งที่เกาหลีใต้และจีน 
    ในส่วนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเดินทางถึงสหรัฐเมื่อวันพุธ ยังคงทวีตข้อความโอ้อวดความสำเร็จชุดใหญ่ โดยกล่าวว่า การพบปะระหว่างเขากับคิมทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเมื่อเทียบกับวันที่เขาเข้ารับตำแหน่ง และทุกคนสามารถนอนหลับสบายแล้วในคืนนี้ การประชุมสุดยอดครั้งแรกระหว่างผู้นำที่ยังดำรงตำแหน่งของสหรัฐและเกาหลีเหนือยังหมายความว่าโลกได้ก้าวถอยหลังก้าวใหญ่พ้นจากมหันตภัยนิวเคลียร์ 
     "ไม่มีการยิงจรวดอีก การทดสอบหรือวิจัยนิวเคลียร์อีกแล้ว! ตัวประกันได้กลับบ้านมาอยู่กับครอบครัว ขอบคุณท่านประธานคิม วันที่เราอยู่ด้วยกันเป็นประวัติศาสตร์" ทรัมป์ทวีต 
    ต่อมาทรัมป์ยังประกาศด้วยว่า "ไม่มีภัยคุกคามนิวเคลียร์จากเกาหลีเหนืออีกต่อไป" 
    ในแถลงการณ์ร่วมของการประชุมที่สิงคโปร์ เกาหลีเหนือรับปากว่าจะ "ปลดอาวุธนิวเคลียร์อย่างสิ้นเชิงบนคาบสมุทรเกาหลี" ซึ่งเป็นวลีเดิมๆ ของรัฐบาลเปียงยาง ซึ่งไม่ก้าวไกลถึงขั้นให้คำมั่นว่าจะล้มเลิกคลังแสงนิวเคลียร์อย่างสิ้นเชิง, ตรวจพิสูจน์ได้ และไม่อาจย้อนคืน อย่างที่รัฐบาลสหรัฐยืนกรานมาโดยตลอด ส่วนทรัมป์ได้รับปากว่าสหรัฐจะให้หลักประกันด้านความมั่นคงกับเกาหลีเหนือ
    แถลงการณ์ร่วมไม่มีรายละเอียดมากนักเกี่ยวกับคำมั่นสัญญาที่ทั้ง 2 ฝ่ายรับปาก แต่ในการแถลงกับผู้สื่อข่าวเวลาต่อมา ทรัมป์เปิดประเด็นที่สร้างความงุนงงสับสนในฝ่ายตน แต่เป็นประเด็นที่เกาหลีเหนือนำมาประโคมเป็นเรื่องใหญ่ โดยผู้นำสหรัฐที่คาดเดาจิตใจไม่ได้รายนี้กล่าวนอกเหนือจากแถลงการณ์ว่า "สหรัฐจะหยุดการซ้อมรบร่วมกับเกาหลีใต้ ซึ่งจะประหยัดเงินได้มหาศาล เว้นแต่ว่าการเจรจาในอนาคตไม่เป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น แต่ยังไงเราก็จะประหยัดเงินได้มหาศาล ยิ่งกว่านั้น ผมคิดว่ามัน (การซ้อมรบร่วม) เป็นการยั่วยุมาก" ยิ่งกว่านั้นทรัมป์กล่าวเสริมด้วยว่า ในบางกรณี เขายังต้องการถอนทหารสหรัฐออกจากเกาหลีใต้ด้วย ส่วนการคว่ำบาตร ทรัมป์กล่าวว่าจะยังคงไว้ก่อน 
    ขณะที่สื่อของทางการเกาหลีเหนือหยิบคำแถลงของทรัมป์มาขยาย และตีความเป็นความสำเร็จของตน ทั้งนี้ เกาหลีเหนือมองว่าการซ้อมรบดังกล่าวเป็นการยั่วยุและเป็นการฝึกซ้อมเพื่อโจมตีตน และเรียกร้องให้สหรัฐยุติท่าทีปรปักษ์นี้ ขณะที่รัฐบาลจีนก็เคยเสนอให้สหรัฐยุติการซ้อมรบ เพื่อที่เกาหลีเหนือจะได้ยุติการทดสอบนิวเคลียร์
    หนังสือพิมพ์โรดองซินมุน กระบอกเสียงของพรรคแรงงานเกาหลี รายงานข่าวหน้าหนึ่งฉบับวันพุธ พร้อมพาดหัวว่า "การประชุมแห่งศตวรรษ เปิดประวัติศาสตร์ใหม่ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างดีพีอาร์เค-สหรัฐ" โดยใช้ตัวย่อเรียกชื่อสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี โรดองซินมุนยังได้ตีพิมพ์ภาพของคิมคู่กับทรัมป์ 33 ภาพ 4 หน้า จากหน้าข่าวปกติ 6 หน้ากระดาษ ภาพหนึ่งยังเป็นภาพที่คิมจับมือกับจอห์น โบลตัน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของทำเนียบขาว อดีตนักการทูตสายเหยี่ยวผู้สนับสนุนการใช้กำลังทหารกับเกาหลีเหนือ ซึ่งทางการเปียงยางเคยเรียกเขาว่ากากเดนมนุษย์
    สำนักข่าวเคซีเอ็นเอตีพิมพ์บทความภาษาอังกฤษยกย่องซัมมิตครั้งนี้ว่าเป็น "การประชุมที่เปิดศักราชใหม่" ในความสัมพันธ์กับสหรัฐ และยังรายงานด้วยว่า ระหว่างการพบกัน คิมได้เชิญทรัมป์มาเยือนกรุงเปียงยาง ส่วนทรัมป์ก็เชิญคิมไปเยือนทำเนียบขาวในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ซึ่งผู้นำทั้ง 2 ต่างตอบรับคำเชิญด้วยความยินดี สถานีโทรทัศน์ของทางการเกาหลีเหนือก็รายงานทำนองเดียวกัน
    เคซีเอ็นเอยังอ้างด้วยว่า ทรัมป์ได้ "แสดงความตั้งใจ" ที่จะยกเลิกการคว่ำบาตรเกาหลีเหนือ ซึ่งเรื่องนี้ทรัมป์เปรยไว้ระหว่างแถลงข่าวหลังการประชุมว่า จะเกิดขึ้น "เมื่อเรามั่นใจว่า นิวเคลียร์ไม่เป็นปัจจัยอีกต่อไป" แต่ ณ ขณะนี้การแซงก์ชันยังคงอยู่
    "ทรัมป์แสดงความตั้งใจของเขาที่จะยุติการฝึกซ้อมทางทหารร่วมสหรัฐ-เกาหลีใต้, เสนอหลักประกันความมั่นคงแก่เกาหลีเหนือ และยกเลิกการคว่ำบาตรไปพร้อมกับการปรับปรุงความสัมพันธ์ให้คืบหน้าต่อไปผ่านการสานเสวนาและการเจรจาต่อรอง" เคซีเอ็นเอกล่าว แต่รายงานไม่ได้เอ่ยถึงการล้มเลิกโครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือเลย
    นักวิจารณ์ในสหรัฐพากันโจมตีทรัมป์ว่ายอมโอนอ่อนมากเกินไปในการประชุมที่ทำให้คิมได้มีจุดยืนในเวทีระหว่างประเทศ เกาหลีเหนือโดนนานาชาติโดดเดี่ยวมาช้านาน และระบอบของตระกูลคิมก็ถูกกล่าวหาว่าละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างแพร่หลาย การทดลองระเบิดนิวเคลียร์มาแล้ว 6 ครั้ง และการทดสอบขีปนาวุธก็ทำให้องค์การสหประชาชาติคว่ำบาตรมาแล้วหลายรอบ
    สหรัฐวางกำลังทหาร 28,500 นาย ประจำการในเกาหลีใต้เพื่อปกป้องชาติพันธมิตรตามสนธิสัญญาด้านความมั่นคงของตน ซึ่งเคยถูกเกาหลีเหนือรุกรานเมื่อปี 2493 เพื่อพยายามรวมชาติด้วยกำลัง บรรดาผู้บัญชาการทหารเกาหลีใต้และสหรัฐในเกาหลีใต้กล่าวกันว่า พวกตนไม่รู้มาก่อนว่าทรัมป์จะประกาศเช่นนี้ คำกล่าวของทรัมป์สร้างความประหลาดใจต่อรัฐบาลของประธานาธิบดีมุน แจอิน ของเกาหลีใต้ ซึ่งวิ่งเต้นอยู่นานหลายเดือน เพื่อให้เกิดซัมมิตที่สิงคโปร์ครั้งนี้ โดยหวังว่าจะเกิดสันติภาพคาบสมุทรเกาหลี 
    ทำเนียบประธานาธิบดีบลูเฮาส์ของเกาหลีใต้แถลงเมื่อวันพุธว่า พวกเขาจำเป็นต้องค้นหาความหมายหรือเจตนาที่แท้จริงของคำกล่าวของทรัมป์ แต่เกาหลีใต้ก็เต็มใจจะสำรวจมาตรการต่างๆ เพื่อช่วยให้การเจรจาคืบหน้าอย่างราบรื่น
    เอเอฟพีรายงานว่า เจ้าหน้าที่รัฐบาลเกาหลีใต้รายหนึ่งเผยโดยขอปิดบังชื่อว่า ตอนแรกเขาเข้าใจว่าทรัมป์พูดผิด และช็อกที่ทรัมป์บอกว่าการฝึกนี้ 'ยั่วยุ' ซึ่งเป็นคำที่ไม่ควรอย่างมากที่จะออกจากปากผู้ที่เป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
    ส่วนอิสึโนริ โอโนเดระ รัฐมนตรีกลาโหมของญี่ปุ่น ย้ำว่า การฝึกซ้อมทางทหารร่วมสหรัฐ-เกาหลีใต้ และการคงกำลังทางทหารของสหรัฐในเกาหลีใต้ มีบทบาทสำคัญต่อความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวันออก แต่ก็ขึ้นอยู่กับสหรัฐและเกาหลีใต้จะตัดสินใจ ในส่วนของญี่ปุ่นนั้น ญี่ปุ่นก็ไม่มีความตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงการฝึกร่วมระหว่างญี่ปุ่นกับสหรัฐ
    กระทรวงกลาโหมสหรัฐ โดยดานา ไวต์ โฆษกของกระทรวงพยายามชี้แจงว่า จิม แมททิส รัฐมนตรีว่าการ รับรู้เกี่ยวกับการหารือเรื่องการซ้อมรบ แม้แมททิสจะเคยกล่าวไว้ก่อนหน้านั้นว่าทรัมป์จะไม่หยิบยกเรื่องนี้คุยกับคิม ไวต์ชี้แจงหลังคำประกาศของทรัมป์หลายชั่วโมงให้หลังว่า แมททิสรับทราบก่อนแล้ว อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่หลายคนบอกกับเอเอฟพีว่า พวกเขาตกใจและสับสนกับข่าวนี้ และเจ้าหน้าที่ของเพนตากอนหารือกันตลอดทั้งเช้าว่าการเปลี่ยนแปลงทางทหารในเกาหลีใต้จะส่งผลอย่างไรบ้าง
    การฝึกนี้เกิดมานานหลายทศวรรษ และเป็นการเตรียมความพร้อมรบสำหรับกองทัพสหรัฐและเกาหลีใต้ กองกำลังสหรัฐเกาหลี (ยูเอสเอฟเค) ซึ่งมีกำลังพล 28,500 นายประจำการในเกาหลีใต้ กล่าวว่า ยูเอสเอฟเคยังไม่ได้รับคำสั่งใหม่เกี่ยวกับการฝึกซ้อมร่วมที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งรวมถึงการฝึกพิทักษ์อุลชีที่กำหนดไว้ภายในปีนี้ กระนั้น พันเอกร็อบ แมนนิง โฆษกของยูเอสเอฟเค กล่าวว่า กองทัพจะปฏิบัติตามคำสั่งของประธานาธิบดี แต่ไม่ว่าอย่างไร กองทัพจะเตรียมความพร้อมขั้นสูงสุดไว้ต่อไป.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"