อดีตแดงเชื่อเผาเมืองซํ้า


เพิ่มเพื่อน    

 

อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงย้ำ 19 กันยายน รำลึกรัฐประหารไร้ค่า เพราะถ้านักการเมืองไม่โกงกิน ทหารจะออกมาทำไม จับตาม็อบณัฐวุฒิแกนนำคุมไม่ได้ วิ่งเผาบ้านเผาเมืองท้าทายกฎหมายเหมือนเดิม "เสกสกล" ตอกแผลเดิม สู้แล้วรวย หมดยุคหลอกคนลงถนน นักวิชาการ มธ.เผย ถ้าพูดถึงอาวุธม็อบทะลุแก๊ส เยาวชนเหล่านี้หาได้ไม่ยาก แต่ไม่นำมาใช้ มีแค่พลุไฟเป็นหลัก
    เมื่อวันที่ 18 กันยายน 2564 นายอานนท์ แสนน่าน ผู้ริเริ่มก่อตั้งหมู่บ้านเสื้อแดง อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำกลุ่มเครือข่ายไล่ประยุทธ์ ผู้อยู่เบื้องหลังก่อตั้งพรรคเส้นทางใหม่ ปลุกระดมมวลชนออกมาจัดกิจกรรม "คาร์ม็อบ 19 กันยา ขับรถยนต์ชนรถถัง” อยากบอกว่าไร้สาระเป็นอย่างมาก เพราะว่าที่ผ่านมาก็เห็นอยู่แล้วการต่อสู้ของคนเสื้อแดง แกนนำมักหาวาทกรรมที่เกี่ยวกับทหารและอำนาจเผด็จการต่างๆ นานามาหลอกมวลชน
    "แม้ว่าจะผ่านมา 15 ปี ก็ยังเหมือนเดิมกับวาทกรรม “19 กันยายน วันรัฐประหาร” คนเสื้อแดงออกไปร่วมกิจกรรมกันอย่างต่อเนื่องมามากที่สุดก็จะเป็นปี พ.ศ.2554-2555 เพราะตอนนั้นมีนายทุนเยอะ ทุกคนต่างแยกกันเป็นเจ้าภาพให้กับกลุ่มเสื้อแดงกลุ่มต่างๆ บางกลุ่มงานเดียวรวยเลย แต่เมื่อคนเสื้อแดงมารวมกัน ก็ไม่มีอะไร มีแกนนำขึ้นพูดสร้างจุดเด่นให้กับตนเอง แล้วก็ให้นักร้องขึ้นร้องเพลงให้คนเสื้อแดงออกมาเต้น ถ่ายภาพเสนอนายทุนเบิกเงินกันไป ไม่มีสาระอะไร"
    เขากล่าวว่า ปีนี้ก็เช่นเดียวกัน ที่แกนนำออกมาโหมโรงกันอย่างหนัก เพื่อต้องการจะกระทุ้งนายทุนให้จ่ายเงินมาเยอะ ๆ เพราะม็อบรายวันเริ่มเผาบ้านเผาเมือง แนวร่วมประชาชนเริ่มน้อยลง ประชาชนในพื้นที่เดือดร้อนกันอย่างหนัก มิหนำซ้ำม็อบก็ยังเหิมเกริมหนักเผาพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว   สร้างข่าวเท็จออกมาโจมตีการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 
    "อยากบอกว่าพอซะทีเถอะ เพราะประชาชนเขารู้ทันพวกคุณหมดแล้ว อย่ามาสร้างละครตบตาหลอกเงินนายทุนกันอีกเลย เพราะประชาชนได้รับความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก แม้แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชนทุกคนก็อยากจะกลับบ้านไปหาครอบครัว"
    นายอานนท์แนะว่า ถ้าอยากจะจัดกิจกรรม 19 กันยายน วันรัฐประหาร จริง ๆ ต้องให้แกนนำขึ้นมาพูดความจริงว่า การที่ทหารออกมารัฐประหารในแต่ละครั้งเพราะอะไร ก็เพราะว่านักการฉ้อราษฎร์บังหลวง โกงบ้านโกงเมือง ไม่สนใจประชาชน ทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน คำว่าผู้แทนราษฎร ตัวแทนของประชาชนไม่มีความหมาย สมคบคิดกับกลุ่มนายทุนทุจริตโกงกินโครงการต่างๆ นานา นี่แหละคือสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทหารออกมาทำการรัฐประหาร 
จับตาม็อบเผาเมือง
    แกนนำต้องมาพูดความจริงแบบนี้ให้กับมวลชนได้รับทราบ แต่แกนนำไม่รู้จักคำว่าบาปบุญคุณโทษ ยังหลอกลวงประชาชนออกมาขับไล่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่มาจากการเลือกตั้งที่ประชาชนเลือกมา และออกให้ความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนเป็นอย่างดีในสภาวะที่ประชาชนประสบกับปัญหาวิกฤตโควิด-19 ระบาดทั่วโลก พร้อมกับส่งเสริมให้เกษตรกรมีอาชีพ สร้างงาน สร้างรายได้ ในปัจจุบันนี้
    อดีตประธานหมู่บ้านเสื้อแดงเรียกร้องให้ตำรวจที่ขึ้นชื่อว่าผู้พิทักษ์สันติราษฎร์  ต้องออกมาพิทักษ์ช่วยเหลือประชาชนที่กำลังได้รับความเดือดร้อนจากม็อบรายวัน ให้ปราบปรามกลุ่มม็อบอันธพาลป่วนเมือง เผาบ้านเผาเมือง และเผาพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทั้งจังหวัดขอนแก่นและในกรุงเทพฯ ไม่ใช่ว่าจับแล้วปล่อย ปล่อยแล้วจับ ทำให้กลุ่มม็อบได้ใจฮึกเหิมมากขึ้นกว่าเดิมลามไปถึงขบวนการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องเด็ดขาดมากกว่านี้ 
    เขาบอกว่า วันที่ 19 กันยายนนี้ ก็จะมีเหตุการณ์แบบเดิมๆ รายวันที่แกนนำไม่สามารถควบคุมม็อบได้ วิ่งเผาบ้านเผาเมือง ท้าทายกฎหมายเหมือนเดิม  ประชาชนและคนเสื้อแดงอย่าหลงเชื่อไปร่วมกิจกรรมกันอย่างเด็ดขาด เพราะอาจจะถูกเป็นเครื่องมือในการต่อรองขอเงินจากนายทุน เพราะแกนนำสู้แล้วรวยมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง
    ด้านนายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี เตือนนายณัฐวุฒิ ว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือว่าเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน แบบไร้จิตสำนึกความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ไม่สนใจกฎหมาย เสมือนบ้านเมืองไร้ขื่อแป ทำตัวมีอิทธิพลเหนือกฎหมายบ้านเมือง ไม่สนใจทำให้คนอื่นเดือดร้อน ขอเพียงนายใหญ่สั่งลุย ไม่ได้มีจุดยืนเพื่อประชาชน มีจุดยืนเพื่อนายใหญ่ที่หนีคดีเท่านั้น การออกมาสู้เพื่อหวังรางวัลตอบแทน 
    "สู้แล้วรวย ประชาชนเขารู้ทันกันหมดแล้ว หมดยุคที่จะมาตบตาหลอกลวงมวลชนลงถนน ต่อให้มีคนมาจ้างเอาเงินมาให้มวลชนก็ไม่เอา และไม่อยากออกมาลงถนนขับไล่นายกฯ เป็นเครื่องมือให้กับคุณณัฐวุฒิ ที่ยอมตายทำทุกอย่างเพื่อนายใหญ่คนเดียวเพื่อหวังผลตอบแทนให้ตัวเองเท่านั้น"
     นายเสกสกลกล่าวว่า การที่นายณัฐวุฒิออกมาแสดงความห่วงใยสถานการณ์การชุมนุมที่แยกดินแดง และกล่าวหาเจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงนั้น ตนมองว่ายิ่งเป็นการรับรู้ร่วมกันกับม็อบทะลุแก๊ส ซึ่งหากนายณัฐวุฒิไม่ใช่คนกลุ่มเดียวกับม็อบดินแดงจริง ก็ควรที่จะบอกให้กลุ่มผู้ชุมนุมทะลุแก๊สเลิกการชุมนุมมากกว่า แต่ที่ไม่บอกก็เพราะว่านายณัฐวุฒิยังได้ประโยชน์กับกลุ่มทะลุแก๊ส ที่พกอาวุธ พกระเบิด อาวุธสารพัดชนิด ไปสร้างความรุนแรงสร้างความเดือดร้อน ทำร้ายเจ้าหน้าที่ จนประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจตรงกันว่านายณัฐวุฒิรู้เห็นเป็นใจกับม็อบกลุ่มนี้อย่างแน่นอน
ประชาชนสาปแช่งเกลียดชัง 
    "ที่ผ่านมาการชุมนุมของคุณณัฐวุฒิเริ่มแผ่ว มวลชนรู้ทัน ประชาชนไม่เอาด้วยแล้ว และไม่มีพลังมากพอที่จะกดดันให้นายกฯ ลาออกได้ เพราะมวลชนรู้ดีนายกฯ ไม่มีความผิดอะไร เพราะนายกฯไม่เคยมีประวัติโกงกินเหมือนนายใหญ่ของนายณัฐวุฒิ และก็ไม่อยากให้นายณัฐวุฒิใช้วิชามารต้มตุ๋นหลอกลวงมวลชน ออกไปชุมนุมเหมือนปี 53 และก้าวข้ามศพมวลชนไปเป็นรัฐมนตรีอีกครั้ง การชุมนุมของกลุ่มทะลุแก๊สที่สร้างความรุนแรง ทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ตำรวจบาดเจ็บสาหัส คุณณัฐวุฒิจึงไม่สนใจที่จะสั่งให้กลุ่มทะลุแก๊สยุติการชุมนุม เพราะผมมองว่าอาจจะรู้เห็นเป็นใจกัน แอบวางแผนกันลับๆ ให้ก่อความรุนแรงรายวัน จนทำให้ชาวดินแดงเดือดร้อนอย่างหนักในขณะนี้"
    นายเสกสกลกล่าวว่า อยากจะบอกนายณัฐวุฒิ นายสมบัติ บ.ก.ลายจุดและพวก ว่าถ้ามีการใช้ม็อบมาสร้างความรุนแรงวุ่นวาย ป่วนบ้านป่วนเมืองจริงเช่นนี้ ทุกวันก็คงไม่ใช่เหตุผลที่จะบีบให้นายกฯ ลาออกได้ ตรงกันข้าม มีแต่จะทำให้ประชาชนสาปแช่งเกลียดชัง ดังนั้นควรสั่งให้ม็อบทะลุแก๊สยุติการชุมนุมเสียที เพราะการชุมนุมนอกจากสร้างความเดือดร้อนและผิดกฎหมายแล้ว ยังอาจทำให้เกิดการแพร่ระบาดเชื้อโควิด-19 เกิดเป็นคลัสเตอร์ขึ้นมาอีก 
    "ขอยืนยันอีกครั้งว่าวิธีการกดดันเช่นนี้ไม่ได้ผล นายกฯ ไม่ลาออก ไม่ยุบสภา จะอยู่จนครบเทอมแน่นอน ซึ่งนายณัฐวุฒิอย่าเสียเวลามาชุมนุมเช่นนี้ เพื่อช่วยนายใหญ่ของตัวเองอีกเลย อย่าหน้าด้านลุยช่วยนายใหญ่จนไม่ละอายใจตัวเอง น่าอับอายขายขี้หน้ามวลชนมากกว่าที่ใช้มุกเดิมๆ มาต้มตุ๋นให้ม็อบลงถนนอีก" นายเสกสกลกล่าว
    ขณะที่เพจเฟซบุ๊ก ทะลุแก๊ซ -   Thalugaz โพสต์ข้อความว่า พี่น้องครับ ขอความร่วมมือลดการปาบอลประทัด กระแทกต่างๆ บริเวณหน้าแฟลต และให้ใช้แฟลตเป็นแค่ทางผ่านเพื่อหลบหนีเท่านั้น ทางฝ่ายลงพื้นที่ของแอดมินได้ลงพื้นที่ไปแล้วยืนยันว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังยินดีที่จะช่วยเหลือบอกทางหนี และสกัดกั้นเจ้าหน้าที่ แต่การขึ้นแฟลต หรือการให้ที่หลบ ชาวบ้านอาจจะต้องพิจารณา และอยากให้พี่น้องทะลุแก๊ซที่มีจิตใจมุ่งมั่นทุกคน ให้ความเคารพชาวบ้านด้วย การไล่ตีคนท้องที่ เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้!! 
        วันเดียวกันนี้ เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน (ขสย.) ร่วมกับมูลนิธิเด็กเยาวชนและครอบครัว จัดเวทีเสวนาออนไลน์ "ค้นหาความหมายใต้พรม เยาวชนรุ่นสามเหลี่ยมดินแดง" โดย ผศ.ดร.บุญเลิศ วิเศษปรีชา คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ศึกษา สัมภาษณ์เยาวชนที่ร่วมชุมนุมแยกดินแดง พบว่าเป็นกลุ่มที่มีลักษณะต่างจากการชุมนุมทางการเมืองของนักศึกษา เช่น กลุ่มแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุม แต่คนที่มาร่วมในจุดนี้ส่วนหนึ่งเป็นสายช่าง สายอาชีวะ กับเด็กที่มาจากบ้าน หรือชุมชนทั้งใกล้และไกล เช่น สมุทรปราการ รามคำแหง ครอบครัวมีความเปราะบาง ได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจ จากการบริหารงานของรัฐบาลโดยตรง
ไม่ได้ใช้อาวุธน่ากลัว 
    จากการสอบถามถึงแนวทางการต่อสู้ ผู้ร่วมชุมนุมยอมรับว่า พวกตนไม่ถนัดตามแนวทางการต่อสู้แบบกลุ่มนักศึกษา เป็นคนปราศรัยไม่เก่ง และเคยเข้าร่วมมาแล้วทั้งสิ้น แต่มองว่าการต่อสู้เช่นนั้นยากที่จะชนะ ต้องสู้แบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน  นอกจากนี้ เมื่อดูที่ชุมชนโดยรอบมีความตื่นตัวมากขึ้น ซึ่งเดิมเป็นแนวร่วมเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้อยู่แล้ว จึงมีแนวโน้มเข้าร่วมการชุมนุมของฝั่งตรงข้ามรัฐบาล  
        ผศ.ดร.บุญเลิศกล่าวว่า ภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้น ส่วนตัวมองว่ายังไม่ถึงขั้นเรียกว่าเป็นการก่อจลาจล เพราะไม่ได้เผาทำลายบ้าน ทรัพย์สินของประชาชน แต่เป็นการโจมตีสัญลักษณ์เชิงอำนาจของรัฐบาล รวมถึงตำรวจควบคุมฝูงชน (คฝ.) ที่ถือเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของรัฐบาล 
    "ส่วนตัวยังมองว่ากลุ่มเยาวชนมีขอบเขตในการต่อสู้มากกว่า คฝ.อีก เพราะคฝ.ระดมยิงแก๊สน้ำตา ไล่ล่ายิงกระสุนยางแบบไม่แยกเป้าหมาย ถ้าจะพูดถึงเรื่องอาวุธต่างๆ นั้น เชื่อว่าเยาวชนเหล่านี้หาได้ไม่ยาก แต่พวกเขาไม่นำมาใช้ มีแค่พลุไฟเป็นหลัก ไม่สร้างความเสียหายกับบ้าน ร้านค้าประชาชน และไม่ได้ใช้อาวุธน่ากลัว ถือว่าการชุมนุมของพวกเขา ซึ่งบางคนอาจจะบอกว่ารุนแรง แต่พวกเขามีการคุมโทนและรักษาขอบเขตพอสมควร"
        อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าการใช้ความรุนแรงระหว่างกัน โดยเฉพาะความรุนแรงที่รัฐใช้จัดการกับกลุ่มผู้ชุมนุม จะทำให้เรื่องนี้ไม่มีทางจบ รังแต่จะขยายความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นการสร้างความโกรธแค้น สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความแตกแยกร้าวลึก และก็ไม่ได้ผล ดังจะเห็นว่าแม้มีการจับกุมจำนวนมาก แต่ผู้ชุมนุมไม่ลดลง ทั้งหมดสะท้อนความล้มเหลวของแนวทางปราบหนัก ดังนั้นข้อเสนอหนึ่งคือ รัฐบาลต้องไม่ใช้วิธีการปราบปราม ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุเช่นนี้ ส่วนข้อเสนอที่ว่าให้รัฐบาลไปพูดคุยกับเยาวชน ยังนึกไม่ออกว่าจะคุยกับใคร เพราะการชุมนุมเป็นไปแบบต่างคนต่างมา ไม่มีแกนนำจริงๆ   
         ด้านนางทิชา ณ นคร ผอ.ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน (ชาย) บ้านกาญจนาภิเษก กล่าวว่า จากการติดตามพบว่า มีอดีตเด็กจากบ้านกาญจนาที่คืนเรือนไปแล้วหลายปีมาร่วมชุมนุมด้วยจำนวนหนึ่ง มีหลายกลุ่ม ต่างคนต่างมา อาจจะมีบ้างที่ชวนกันมา แต่สิ่งที่พบคือ 1.เป็นกลุ่มคนเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากโควิดทั้งกับตัวเอง และครอบครัวมีคนเจ็บป่วย แต่การเข้าถึงสวัสดิการรักษาเกือบศูนย์ ยุ่งยาก ซับซ้อน กระทบกับความรู้สึก ทำให้รู้สึกโกรธ 2.หนี้สินครอบครัวเพิ่มขึ้น ทั้งหนี้เดิม หนี้ใหม่ งานก็ไม่มีให้ทำ เป็นต้น 
ถูกดำเนินคดี 10 คนต่อวัน
        ทั้งนี้ กลุ่มดังกล่าวโดยพื้นฐานเดิมของผู้เข้าร่วมชุมนุมจะถูกเท ถูกทิ้งอยู่แล้ว แล้วสถานการณ์โควิด ตอกย้ำการไม่มีตัวตน ไม่ถูกยอมรับ ไม่มีกลไกรองรับมากยิ่งขึ้น และด้วยประสบการณ์คนจำนวนมากอดีตเป็นเด็กช่าง เด็กที่หลุดจากการศึกษา ที่รู้สึกว่าอำนาจนิยมเป็นศัตรูร่วมผลักดันให้พวกเขาออกมาต่อสู้ ซึ่งไม่ได้สนใจว่าคนถืออำนาจจะชื่อ ก.หรือ ข. แต่การพาตัวเองมาที่แห่งนี้เหมือนเป็นพื้นที่ปลดปล่อยความโกรธ ความเกลียดชัง จะไปตำหนิความเชื่อมโยงว่าเขาไร้เหตุผลไม่ได้ ใช่ว่าเขาไม่ใช่นักศึกษา ไม่ใช่นักเรียนเลว เขาไม่ใช่เด็กมีแสง แต่มีของ เขาขี่จักรยานยนต์ขั้นเทพ มีระเบิดปิงปองก็เอามา ที่เขาทำก็เหมือนกับที่ คฝ.ทำ ที่วิจารณ์ว่าเขาใช้ความรุนแรง เพียงแต่ใช้อาวุธคนละอย่าง อย่างไรก็ตาม ตนมองว่าการที่รัฐไม่ได้มองว่าเด็กแบกปัญหาอะไรมาม็อบ เลยคิดแค่การปราบให้อยู่ ส่วนจะเจ็บ ตาย ก็มองว่ามีเงินเยียวยา ตรงนี้น่ากลัว เสี่ยงใช้อำนาจเกินความจำเป็นกับเด็ก
         “หลายเรื่องอย่ามาถามหาเหตุผล แต่หากทบทวนสิ่งที่เขาแสดงออก จะบอกเราได้ดีว่าอำนาจนิยมเป็นสารตั้งต้นของระเบิดที่ดีมาก เขาบอกว่าเวลาที่ไปที่นั่นไม่ได้เผาบ้านชาวบ้าน แต่เป็นการทำลายสัญลักษณ์แห่งอำนาจ และชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่เขากระทำต่อรัฐและรัฐกระทำต่อเขาเป็นคนละอย่าง ซึ่งทุกฝ่ายอ้างความชอบธรรมคนละแบบ แต่เป็นราคาที่สังคมไทยต้องจ่ายร่วมกัน” นางทิชากล่าว และกล่าวอีกว่า เด็กไม่ใช่นักปฏิวัติ และไม่ใช่นักเคลื่อนไหวทางการเมือง เลยเปิดประเด็นด้วยความทุกข์ ความสูญเสียส่วนตัวที่พาเขามาที่นั่น แต่เมื่อมาถึงแล้ว รัฐใช้ความรุนแรงกับเขา ทำให้ความรุนแรงมากขึ้น ดังนั้นทางแก้คือต้องมีการพูดคุยกัน และทำความจริงให้กระจ่าง สื่อสารให้รัฐเข้าใจ องค์กรที่ทำงานเกี่ยวข้องกับเด็ก เยาวชน ทั้งที่เป็นภาครัฐและภาคประชาชนต้องรีบเข้ามาทำหน้าที่ของตน 
        ขณะที่นายธีรภัทร์ คหะวงศ์ ผู้ประสานงานเครือข่ายสร้างเสริมสุขภาพเยาวชน กล่าวว่า ทราบจากพี่ๆ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ซึ่งให้การช่วยเหลือด้านคดีให้กลุ่มเยาวชนที่เข้าร่วมการชุมนุมของกลุ่มทะลุแก๊ส ตั้งแต่วันที่ 10 ส.ค.-ปัจจุบัน พบว่ามีเยาวชนถูกดำเนินคดีเกือบ 100 คน เฉลี่ย 10 คนต่อวัน อายุน้อยสุด 13 ปี สูงสุด 17 ปี ฐานความผิด ทั้งฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน รวมตัวเสี่ยงเกิดการแพร่ระบาดโควิด ฝ่าฝืนเคอร์ฟิว ผิดประมวลกฎหมายอาญา 215 มาตรา 216 ฐานต่อสู้ขัดขวาง และเริ่มมีฐานความผิดอัตราโทษสูงกว่าเดิม แต่บางรายก็พบว่าไม่ได้เกี่ยวข้องกับการชุมนุม แต่ถูกรวบไปด้วยเพราะผ่านเส้นทางนั้น 
    นอกจากนี้ยังพบมีผู้หญิงเข้าร่วมมากขึ้น ส่วนหนึ่งเข้ามาช่วยเป็นฝ่ายสวัสดิการ หิ้วอุปกรณ์ปฐมพยาบาลตลอดจนช่วยถืออุปกรณ์ป้องกัน ต่อสู้ เป็นต้น ทั้งนี้พบว่า ระหว่างจับกุมมีร่องรอยบาดแผลมากน้อยแตกต่างกันไป ส่วนใหญ่เป็นบาดแผลจากรถล้ม กระสุนยาง และบางคนถูกไม้กระบอง และมีเคสถูกยิงที่หัวไหล่ ยกเว้นรายที่ถูกยิงที่ศีรษะ ที่ยังอยู่ระหว่างการรักษา และที่ได้รับบาดเจ็บอีกไม่น้อยยังไม่ได้รับการดูแลรักษา ยิ่งมีข่าวว่าเจ้าหน้าที่ต้องการจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด สถานการณ์จะยิ่งน่าเป็นห่วง จึงอยากให้สังคมช่วยกันจับตา.   
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"