'ธปท.'แนะไทยปรับโครงสร้างเศรษฐกิจชี้เหลื่อมล้ำพุ่งทุบกลุ่มเปราะบางอ่วมสุด


เพิ่มเพื่อน    

30 ก.ย. 2564 นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวสุนทรพจน์ในงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทย ประจำปี 2564 หัวข้อ “สร้างภูมิคุ้มกัน ผลักดันเศรษฐกิจไทย” ว่า ปี 2564 เป็นปีที่ท้าทายสำหรับเศรษฐกิจไทยที่กำลังเผชิญกับวิกฤติที่รุนแรงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อีกทั้งไทยอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่ต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ในบริบทโลกใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม ทั้งพัฒนาการทางเทคโนโลยีที่ก้าวกระโดด การเข้าสู่สังคมสูงวัย การเปลี่ยนแปลงของภูมิรัฐศาสตร์โลก และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

โดยความท้าทายต่าง ๆ นี้ เกิดขึ้นรวดเร็ว รุนแรง และซ้ำเติมความเปราะบางต่าง ๆ ที่สั่งสมอยู่ในเศรษฐกิจและสังคมไทยมานาน ดังนั้นหากประเทศไทยจะก้าวต่อไปในอนาคตอย่างมั่นคง ยั่งยืน และมีเสถียรภาพภายใต้ความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน ประเทศไทยจำเป็นต้องมีภูมิคุ้มกัน

ทั้งนี้ เศรษฐกิจไทยจะมีเสถียรภาพภายใต้ความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอนนั้น ต้องมีลักษณะสำคัญ 3 ประการ ได้แก่ 1. ความสามารถในการหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่ปัจจุบันไทยยังมีส่วนนี้ค่อนข้างจำกัด เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไม่มีการกระจายความเสี่ยงที่เพียงพอ จากการพึ่งพาต่างประเทศที่สูงในแทบทุกมิติ ทั้งการส่งออก การท่องเที่ยวและเทคโนโลยี รวมถึงการพึ่งพาแรงงานต่างชาติที่มากขึ้นเรื่อย ๆ จากภาวะสังคมสูงวัย ทำให้เศรษฐกิจไทยหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจและการเมืองโลกได้ยาก ขณะที่ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้น ก็ได้ซ้ำเติมความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจไทยด้วย โดยเฉพาะภาคเกษตร ซึ่งเป็นภาคเศรษฐกิจที่มีความสำคัญสูงในโครงสร้างเศรษฐกิจไทย

2. เศรษฐกิจไทยยังมีขีดความสามารถที่จำกัดในการรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ โดยเฉพาะการเข้าถึงแหล่งเงินทุน และความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจไทยมีความเหลื่อมล้ำที่สูงและมีภาคเศรษฐกิจนอกระบบที่ใหญ่ ซึ่งกลุ่มเปราะบางในระบบเศรษฐกิจ เช่น ครัวเรือนยากจน ธุรกิจเอสเอ็มอีมักอยู่นอกระบบ เป็นต้น ทำให้ไม่สามารถรับมือและปรับตัวต่อวิกฤติและการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้

3. เศรษฐกิจไทยยังมีขีดความสามารถในการฟื้นตัวจากผลกระทบต่าง ๆ ที่จำกัด ทำให้เกิดแผลเป็นทางเศรษฐกิจ (economic scars) ส่งผลให้การฟื้นตัวของครัวเรือนและธุรกิจในกลุ่มเปราะบางใช้เวลานาน และเหนี่ยวรั้งการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโดยรวมด้วย ซึ่งกลุ่มเปราะบางที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงมากกว่ากลุ่มอื่น ๆ นี้ จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาความเหลื่อมล้ำ และตอกย้ำความร้าวฉานในสังคมให้ลึกลง

“สถานการณ์ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ และความไม่เป็นธรรมทางสังคมที่สูงและน่ากลัวในประเทศไทยนั้น เกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนวิกฤติโควิด-19 และมีแนวโน้มที่จะรุนแรงมากขึ้นจากการฟื้นตัวที่ไม่เท่าเทียมกัน โดยกลุ่มเปราะบางได้รับผลกระทบจากวิกฤติสาธารณสุขและวิกฤติเศรษฐกิจมากกว่า ขณะที่ความสามารถในการฟื้นตัวน้อยกว่ากลุ่มอื่นในสังคม ความเสี่ยงที่ความตึงเครียดทางสังคมจะคุกรุ่นจึงมีแนวโน้มที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต” นายเศรษฐพุฒิ กล่าว

อย่างไรก็ดี การทำให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพภายใต้ความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน และความท้าทายต่าง ๆ ในอนาคตนั้น จำเป็นต้องเร่งเพิ่มความสามารถของเศรษฐกิจไทยใน 3 ด้าน คือ 1. เพิ่มความสามารถในการหลีกเลี่ยงผลกระทบ 2. เพิ่มความสามารถในการรับมือกับผลกระทบ และ 3. เพิ่มความสามารถในการฟื้นตัวจากผลกระทบ ผ่านแนวทางสำคัญ ได้แก่ ต้องมีการบริหารความเสี่ยงภาพรวมของประเทศที่ดี ทุกภาคส่วนในสังคมต้องร่วมมือกัน และต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้พร้อมรับความท้าทายในอนาคต เช่น เปลี่ยนไปสู่เศรษฐกิจสีเขียว รวมถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยทั้งในเชิงอุตสาหกรรมและเชิงพื้นที่เพื่อกระจายความเสี่ยงที่ดีขึ้น ลดการพึ่งพาอุตสาหกรรมใดอุตสาหกรรมหนึ่งที่มากเกินไป กระจายความเจริญสู่ภูมิภาค เน้นบทบาทภาคเอกชนเป็นหลัก ขณะที่ภาครัฐทำหน้าที่ชี้ทิศทางและสร้างแรงจูงใจให้เอกชนลงทุนในพื้นที่เป้าหมาย

นอกจากนี้ ต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อยู่นอกระบบเข้ามาอยู่ในระบบมากขึ้น เพื่อสร้างความเป็นธรรมในระบบเศรษฐกิจ ต้องลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เป็นธรรมในสังคมอย่างจริงจัง สร้างโครงข่ายความคุ้มครองในทุกระดับเพื่อให้ครัวเรือนและธุรกิจอยู่รอดได้ในยามวิกฤติ โดยเน้นบทบาทของภาคเอกชนเพื่อสร้างความยั่งยืนของระบบ ขณะที่ความช่วยเหลือโดยตรงจากภาครัฐที่ก่อให้เกิดภาระการคลังในอนาคต และปัญหา moral hazard ควรจำกัดอยู่ในเฉพาะสถานการณ์ที่กลไกตลาดทำงานไม่ได้เท่านั้น รวมถึงต้องลดการเกิดแผลเป็นทางเศรษฐกิจในยามวิกฤติ เพื่อให้ครัวเรือนและธุรกิจสามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการสร้างสายป่านที่ยาวพอให้ธุรกิจ ฝึกทักษะแรงงานให้รองรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนไปหลังวิกฤติ สร้างกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้ ไกล่เกลี่ยหนี้ เป็นต้น

นายเศรษฐพุฒิ กล่าวอีกว่า ธปท. มีบทบาทในการส่งเสริมให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพภายใต้ความเปลี่ยนแปลงและความไม่แน่นอน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ผ่านการดำเนินนโยบายรักษาเสถียรภาพทางการเงินและระบบการเงิน ด้านสังคม ผ่านการพัฒนาระบบการเงินและส่งเสริมความเข้าใจทางการเงินให้ครัวเรือนและธุรกิจไทย และด้านสิ่งแวดล้อม ด้วยการสร้างระบบนิเวศที่จะช่วยให้เศรษฐกิจไทยปรับตัวไปในทิศ?างที่ยั่งยืนมากขึ้น
 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"