โหน45ปี6ตุลาอุ้ม3นิ้วด่ารบ.


เพิ่มเพื่อน    

คนเดือนตุลา นักการเมือง ตบเท้าโหน 45 ปี 6 ตุลา "ณัฐวุฒิ" เผลอชมรัฐบาลแก้โควิดคลี่คลายได้จัดชุมนุมใหญ่ปลายปีแน่ มึนตึ้บ! "ช่อ" ฝากถึง "บิ๊กตู่ 45 ปีผ่านไป ก็ยังทำแบบเดิมกับการกระทำของผู้เห็นต่าง "จาตุรนต์" อยากให้ชำระหนี้เลือด ส่วน "เจ๊หน่อย" อัดยับประวัติศาสตร์อำมหิต 
     เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2564 ที่ลานประติมากรรมประวัติศาสตร์  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มีการจัดกิจกรรมรำลึก 6 ตุลา 2519 เนื่องในโอกาสครบรอบ 45 ปี มีกลุ่มคนเดือนตุลาที่เคยร่วมต่อสู้ทางการเมืองในอดีต  ภาคประชาชน กลุ่มผู้เคลื่อนไหวทางการเมือง คนเสื้อแดง ญาติวีรชนพฤษภา 2535 ตัวแทนพรรคการเมืองหลายพรรค จากพรรคเพื่อไทย พรรคก้าวไกล พรรคไทยสร้างไทย คณะก้าวหน้า เดินทางมาร่วมงานเป็นจำนวนมาก
     อาทิ นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช จากพรรคเพื่อไทย และคนเดือนตุลา, นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล,  นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า, นายต่อพงษ์ ไชยสาส์น ตัวแทนพรรคไทยสร้างไทย ในช่วงเช้า มีการจัดกิจรรมให้กลุ่มต่างๆ ได้วางพวงมาลาเพื่อรำลึกถึงเหตุการณ์ 
    นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แกนนำเครือข่ายไล่ประยุทธ์ (อ.ห.ต.) กล่าวว่า จนถึงวันนี้พลังของคนหนุ่มสาวและคนในอดีตจะเป็นพลังที่อำนาจรัฐเอาชนะไม่ได้ จึงอยากให้ฝ่ายรัฐยอมรับความเปลี่ยนแปลง เพราะถือเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในสังคม และหากการเปลี่ยนแปลงอยู่ในส่วนที่ถูกต้อง ก็จะนำไปสู่อนาคตและสังคมที่ดีกว่า แล้วก็จะทำให้คนที่มีความเห็นต่างอยู่ร่วมกันอย่างสันติ
    เขากล่าวถึงการนัดชุมนุมในเดือนตุลาคมด้วยว่า จะมีกิจกรรมของคนหนุ่มสาวหลายวัน ดังนั้นกลุ่มตนเองต้องชะลอกิจกรรม เพื่อให้การเคลื่อนไหวของคนหนุ่มสาวเป็นจุดศูนย์รวมของการขับเคลื่อน และมองว่าข้อจำกัดเรื่องของโควิด-19 คงเป็นอุปสรรคในการนัดชุมนุมทางการเมือง คาร์ม็อบจึงเป็นรูปแบบที่ตอบโจทย์ที่สุดในความคิดของตนตอนนี้ 
    "ในเดือนตุลาคมก็น่าจะมีการจัดคาร์ม็อบอีกครั้งช่วงปลายเดือน มั่นใจว่าหากสถานการณ์โควิดคลี่คลายลง จะเห็นการชุมนุมขนาดใหญ่ ไม่ว่าจะนัดโดยใครหรือจัดขึ้นโดยฝ่ายไหนก็ตาม และเมื่อถึงวันนั้นก็จะเข้าร่วม ไม่ว่าจะในฐานะเป็นแกนนำหรือผู้เข้าร่วม และเมื่อประเมินจากบรรยากาศทางการเมืองแล้ว คาดว่าการชุมนุมใหญ่จะเกิดขึ้นในปีนี้แน่นอน ส่วนที่ขณะนี้แกนนำหลายคนถูกจับกุมและยังไม่ได้รับการประกันตัว แต่ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการต่อสู้ เพราะคนที่ยังอยู่ก็ยังคงยืนยันอุดมการณ์เดิม และจะเป็นการสร้างพลังการต่อสู้ให้มากขึ้น" นายณัฐวุฒิกล่าว
         ด้านนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ว่า เหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ที่วนมาทุกปี สะท้อนให้เห็นถึงอดีต ใน 45 ปีที่ยังไม่มีการชำระ เป็นความรุนเเรงจากรัฐที่จัดการคนเห็นต่างเเละวัฒนธรรมลอยนวลยังคงอยู่ ยังไม่มีผู้รับผิดต่อเหตุการณ์ ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ยังมีเยาวชนได้รับความรุนเเรงบนท้องถนนเเละทางกฎหมาย โดยเฉพาะคดี 112 กว่า 148 คน รวมถึงมีผู้ถูกดำเนินคดีอีก 2,000 คดี สะท้อนว่ารัฐไทยยังไม่คิดที่จะรับฟังความในการเปลี่ยนเเปลงของโลกสมัยใหม่ เเละรับผิดชอบกับเหตุการณ์ ไม่คิดที่จะประนีประนอม
      นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ แกนนำคณะก้าวหน้า กล่าวว่า วันนี้มารำลึกอดีตเพื่อส่งเสียงว่าอยากเห็นอนาคตแบบไหน สังคมอยากเห็นอนาคตที่โอบอ้อมอารี และอดทนอดกลั้นต่อความเห็นที่แตกต่าง และนี่คือสิทธิเสรีภาพที่ต้องการปกป้อง และมาเพื่อป่าวประกาศสังคมไทยที่อยากเห็นและสร้างไปด้วยกัน
      ส่วน น.ส.พรรณิการ์ วานิช แกนนำคณะก้าวหน้า กล่าวว่า ขอฝากถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่า 45 ปีผ่านไป ก็ยังทำแบบเดิมกับการกระทำของผู้เห็นต่าง ประชาชนต่อสู้มา 45 ปี และจะต่อสู้ต่อไป เพราะอนาคตของประชาชนอยู่ในเรือนจำ
         ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง อดีตรองนายกรัฐมนตรี กล่าวเปิดนิทรรศการ “หนี้เลือด 6 ตุลาคม 2519 ถึงเวลาชำระ” ในงานรำลึก 45 ปี 6 ตุลา 2519 ตอนหนึ่งว่า  ที่อยากเสนอก็คือการชำระหนี้เลือด 6 ตุลา ยังเป็นเรื่องที่สังคมไทยประชาชนคนไทย จะต้องคิดว่าการปราบปรามที่โหดเหี้ยมในครั้งนั้นเกิดจากโครงสร้าง ระบบทางสังคม อุดมการณ์ ความคิด ความเชื่อ อย่างไร ที่ทำให้ชนชั้นนำใช้มารักษาอำนาจผลประโยชน์ของตนเอง ใช้มาปลุกปั่น ยุยง ทำให้เกิดความโกรธแค้นเกลียดชังต่อนักศึกษาประชาชนถึงขั้นเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมทารุณ ระบบโครงสร้าง อุดมการณ์ ความคิดและวัฒนธรรมนั้นยังอยู่ในสังคมไทยจนถึงปัจจุบันนี้ และยังเป็นหลักในการนำในการปกครอง ในการปราบประชาชนอยู่จนทุกวันนี้
       “ดังนั้น ถ้าจะชำระหนี้เลือด นอกจากจะชำระกันในทางกฎหมายเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความยุติธรรมขึ้น ยังเป็นเรื่องที่ประชาชนไทยจะต้องคิดว่าเราจะเปลี่ยนโครงสร้าง เปลี่ยนระบบ ทำลายอุดมการณ์ ความคิด ค่านิยม และวัฒนธรรมที่พร้อมจะฆ่านักศึกษาประชาชนเพียงเพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจและผลประโยชน์ตัวเองได้อย่างไร นิทรรศการในวันนี้จะทำให้เราเห็นภาพความโหดเหี้ยมของเหตุการณ์ 6 ตุลา แต่สิ่งที่สังคมไทยจะต้องคิดต่อไปก็คือคิดถึงการให้มีการชำระหนี้เลือดทางกฎหมายโดยหลักนิติธรรม และหาทางแก้ไขเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคม อุดมการณ์ ความคิด ค่านิยม ที่เป็นปฏิปักษ์ต่อประชาธิปไตยและการพัฒนาประเทศ และการส่งเสริมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่ทั้งหลายมีเสรีภาพในการแสดงออก เพื่อสร้างสังคมอย่างที่เขาปรารถนาและอย่างที่เขาต้องการ” นายจาตุรนต์กล่าว
     ขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ประธานพรรคไทยสร้างไทย แสดงความเห็นว่า ตนและพรรคไทยสร้างไทยขอร่วมรำลึกถึงดวงวิญญาณของผู้สูญเสียในเหตุการณ์ 6 ตุลาคม 2519 ประวัติศาสตร์ 6 ตุลา 2519 ถือเป็นประวัติศาสตร์อำมหิต ประวัติศาสตร์บาดแผลของสังคมไทย การชำระประวัติศาสตร์อย่างต่อเนื่อง เช่นที่มีการจัดทำเว็บไซต์ สารคดี การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ 6 ตุลา ไปจนถึงการจัดกิจกรรมเพื่อรำลึกถึงผู้สูญเสีย ทำให้สังคมไทยต้องตระหนักร่วมกันว่า การที่ผู้มีอำนาจรัฐ ใช้อำนาจสั่งการ สังหารประชาชน เป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้และการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบไม่ใช่หนทางในการหยุดยั้งความเห็นต่างทางการเมืองได้เลย
         ทว่าน่าเศร้าที่การรำลึกถึงการสูญเสียที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปีก่อน กลายเป็นเรื่องที่รัฐหวาดกลัว ต้องการไล่ล้างประวัติศาสตร์ให้หมดสิ้นไป สวนประติมากรรมกำแพงประวัติศาสตร์ ประติมานุสรณ์ 6 ตุลา 2519 ที่ตั้งอยู่ในรั้วธรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นสถานที่จัดงานรำลึกอยู่ทุกปี ในปีนี้ถูกปิดล้อมด้วยตาข่าย พร้อมติดป้ายประกาศ เป็นเขตก่อสร้างอันตรายห้ามเข้า ครอบครัวและเพื่อนมิตรของผู้สูญเสียจะรู้สึกอย่างไร เป็นเรื่องอันไม่อาจประเมินค่าทางใจได้
       พรรคไทยสร้างไทย ตั้งต้นด้วยการอาศัยหลักนิติรัฐ นิติธรรม สิทธิมนุษยชนและการเปิดพื้นที่ต่อความเห็นต่าง เป็นหลักยึด นี่ไม่ใช่แค่เป้าหมาย แต่เป็นวิธีการของพรรคด้วย 6 ตุลาคมปีนี้ เราจึงชวนคนไทย ร่วมกันป้องปราม ไม่ให้ประวัติศาสตร์อำมหิตต้องซ้ำรอย ร่วมกันเรียกร้อง และยืนยันกับผู้มีอำนาจว่า
    “รัฐต้องปฏิเสธที่จะใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบเพื่อปิดปากประชาชนผู้เห็นต่าง  และรัฐต้องเรียนรู้ที่จะรับฟังทุกความเห็นต่างให้เป็นเรื่องปกติ เรื่องปกติในสังคมประชาธิปไตย” คุณหญิงสุดารัตน์ระบุ
    ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ต.นิธิธร จินตกานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (รอง ผบช.น.) เปิดเผยถึงการชุมนุมของกลุ่มทะลุแก๊ส เมื่อวันอังคาร บริเวณแยกมิตรไมตรี 2 ซึ่งการก่อความวุ่นวาย จะเริ่มตั้งแต่พระอาทิตย์ตก มีการปาประทัด ยิงเลเซอร์ จุดไฟเผาพื้นถนน บริเวณแยกใต้ด่วนดินแดง และได้มีการขว้างปาประทัดอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งมีนักข่าวที่ไม่มีสังกัดมาถ่ายทอดสดบริเวณนั้นด้วย โดยเจ้าหน้าที่ใช้สายตรวจร่วมเข้าปฏิบัติการ โดย ผบช.น.ได้สั่งการให้จับตาดูอยู่ตลอดว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุหนีไปที่ใด เป็นใคร รวมถึงมีกล้องวงจรปิดชัดเจน ยืนยันมีข้อมูลครบพร้อมเตือนไปยังกลุ่มที่ก่อความวุ่นวาย ก่อเหตุต่างๆ จะมีการดำเนินคดีทุกราย
    ส่วนกรณีที่มีสื่อไม่มีสังกัดที่แยกดินแดงนั้น เจ้าหน้าที่สืบสวนอยู่ระหว่างการเฝ้าติดตาม ว่าถ่ายทอดสดในเพจใด และในทิศทางการถ่ายทอดสดเป็นอย่างไร มีการยั่วยุและบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ อีกทั้งมีกรณีที่เพจมีการสอนประดิษฐ์ระเบิดขวด โดยเจ้าหน้าที่จะทดลองประดิษฐ์ตาม หากประกอบแล้วทำได้จริง ก็ถือมีความผิดตาม พ.ร.บ.วัตถุระเบิดฯ ทั้งนี้การแยกสื่อจริงกับไม่จริงนั้น ต้องสืบสวนว่ามีรายงานในการยืนยันตัวตนหรือไม่ ขึ้นอยู่กับขั้นตอนหรือการพิจารณาของเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวน โดยมีภาพจากกล้องวงจรปิดยืนยันระบุตัวตนได้ ขณะนี้ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลมีการสั่งการ เพื่อเร่งรัดในการดำเนินคดีของกลุ่มผู้ก่อเหตุ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"