อดีตพระเอกช่อง3‘ไม้ วฤธ’เปิดใจหลังผันตัวเป็นอิสระ ลั่นเคยถอดใจจากวงการ!


เพิ่มเพื่อน    

 

          ผันตัวเป็นนักแสดงอิสระอีกคนแล้ว สำหรับ พระเอกหนุ่ม ไม้-วฤธ ศิริสันธนะ ที่วันนี้จะมาเปิดใจครั้งแรกเผยสาเหตุโบกมือลาจากช่องเดิม พร้อมเคลียร์ประเด็นดราม่าอยู่วงการมา 10 ปี เป็นพระเอกได้ยังไง เล่นละครแข็งๆ แถมยังเจอทัวร์ลงหนักแบนละครฉากข่มขืนขึ้นเทรนด์ทวิตเตอร์ ไม่รู้ว่าทำให้เจ้าตัวท้อจนอยากออกจากวงการหรือเปล่าโดยหนุ่มไม้มาเปิดใจผ่านทางรายการ คุยแซ่บSHOW ทางช่อง วัน31 ที่มีหนิง ปณิตา และ อาจารย์เป็นหนึ่ง เป็นพิธีกรดำเนินรายการ

 

ครั้งนี้เป็นการออกสื่อครั้งแรกหลังหมดสัญญากับช่องเดิม?

ไม้ : จริงๆ หมดตั้งแต่ช่วงประมาณต้นปีแล้วครับ แต่ว่าไม่ได้มีการออกสื่อหรืออะไรอย่างนี้

 

เราคิดมาก่อนหน้านี้ไหมว่าเราอยากวางแผนอิสระแบบนี้?

ไม้ : จริงๆ เพิ่งมาคิดปีก่อนหน้านี้ คือมันเกิดจากตัวผมอยากเปลี่ยนบรรยากาศการทำงานใหม่ๆ อยากเปิดโอกาสให้ตัวเอง

 

เห็นคอมเมนต์บอกว่าฉีกสัญญา?

ไม้ : ยืนยันเลยไม่ฉีกสัญญา จริงๆ สัญญามันจะหมดอยู่แล้วก็ได้มีการเข้าไปคุยและขอความเมตตาจากผู้ใหญ่ว่าเราขอลองท้าทายตัวเอง ออกไปเจอประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ใหม่ๆ ดู ซึ่งผู้ใหญ่ก็เมตตาให้โอกาสเรา

 

แต่ก็มีหลายกระแสที่เราไม่ต่อสัญญาเพราะเราน้อยใจ?

ไม้ : ไม่ใช่เลยครับ เพราะว่าผู้ใหญ่ก็ให้งานตลอด ก่อนออกมาก็ยังมีละครค้างอยู่ แล้วยังยินดีร่วมงานกับช่อง

 

มันมีคอมเมนต์หนึ่งเขาใช้คำว่าเนรคุณ?

ไม้ : อย่างที่ผมบอกไม่ได้ตั้งใจ คือยินดีที่จะกลับไปร่วมงานเสมอ เพียงแต่ว่าเราได้ทำการพูดคุยกับผู้ใหญ่และขอโอกาสตรงนี้ว่าเรารอยากออกไปเปิดหูเปิดตา แล้วพัฒนาตัวเอง ผมมองในแง่นี้มากกว่า

 

 

งานเข้ามาติดต่อเยอะมาก?

ไม้ : ก็มีติดต่อมาก็เป็นของพี่ฉอด ตอนนี้กำลังถ่ายทำอยู่ ตอนนี้รับละครไว้ 2 เรื่องครับ

 

ปลายปีที่แล้วมีดราม่าละครหนักเกี่ยวกับฉากข่มขืน?

ไม้ : เราเองก็มีส่วนทำพลาดด้วยที่เราไปทวิตเตอร์ ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่ผมมองว่าสังคมให้ความสนใจและละเอียดอ่อนมากเรื่องการข่มขืน ต้องบอกว่าเป็นฉากที่บางทีเราอาจจะคิดน้อยไปว่ามันไปทำร้ายจิตใจคนที่มีผลกระทบด้านนี้จริงๆ หรือเปล่า แล้วก็ทวีตไป คือเรารู้แล้วตั้งแต่อ่านบทว่าจะต้องโดนด่า แต่พอถึงเวลาเราก็พยายามทำให้มันซอฟต์ลง แบบเชิญเปิดพื้นที่ให้ด่า ซึ่งผมทำพลาดเอง ผมควรจะบอกว่าผมขอโทษที่รับบทนี้

 

ความรู้สึกเราคือให้ด่าตัวละคร แต่ไม่ได้ด่าเรา?

ไม้ : คือมันเป็นมุมมองที่แบบเราอาจจะมองด้านเดียวจริงๆ ต้องขอโทษสำหรับตรงนั้นด้วย

 

ชั่วโมงนั้นนอยด์ขนาดไหน?

ไม้ : เรานอยด์ที่ผลงานของเรามันไปกระทบกับคน เราไม่เคยคิดถึงถ้าเขามาเห็นอะไรพวกนี้เขาจะรู้สึกยังไง เราไม่ทันคิดตรงนั้นจริงๆ และผมก็มองว่าทีมงาน ผู้กำกับก็ไม่ได้ตั้งใจทำให้เป็นแบบนั้น

 

โดนด่าอะไรที่แรงสุด?

ไม้ : ก็บอกว่าเป็นพระเอกได้ยังไงเล่นแข็งขนาดนี้ ต้องบอกว่าคอมเมนต์พวกนี้มันมีความจริงอยู่ว่าเรายังทำดีไม่มากพอ เราต้องพัฒนาตัวเองไปให้มากกว่านั้น เราต้องแยกแยะว่าคอมเมนต์ที่เขาด่าเอามันกับคอมเมนต์ที่เขาพูดเพื่ออยากเห็นอะไรที่มากกว่านี้ หรือว่าเขาอาจจะด่า เพราะเขารู้สึกอย่างนั้นจริงๆ แสดงว่าเราทำได้ดีไม่มากพอ เราต้องพัฒนาตัวเองให้มากกว่านั้น

 

โกรธไหม?

ไม้ : ไม่โกรธนะสำหรับคนที่คอมเมนต์แบบไม่ได้หาเรื่องนะ สำหรับคนดูที่เขามองว่าสิ่งนี้มันไม่ถูกใจเขา หน้าที่ของเราคือนักแสดงเราต้องพัฒนาตัวเองให้มากกว่านี้ เพื่อวันนึงเราจะลบคำเหล่านี้ไปได้

 

แสดงว่าไม้ยอมรับทุกอย่างกับการคอมเมนต์?

ไม้ : ใช่ครับ แล้วพร้อมปรับเปลี่ยน จริงๆ นักแสดงเรารู้อยู่แล้วว่าเราทำได้ดีมากพอหรือยัง แล้วบางทีเรากลับไปดูงานเก่าๆ ของเรา แบบทำอะไรลงไป

 

พอเจอคอมเมนต์หนักๆ ทำให้เรากดดันวันนั้นถ่ายฉากนึงเกือบร้อยเทคจริงไหม?

ไม้ : ไม่ถึงร้อย เพียงแต่ว่าวันนั้นใช้เวลาถ่ายทำนานมาก เรียกว่าฉากนั้นผมไม่เข้าใจการแสดงอย่างแท้จริงดีกว่า  ต้องบอกว่าตอนนั้นประสบการณ์น้อยจริงๆ

 

แล้วเราได้บทเรียนอะไรในครั้งนั้นบ้าง?

ไม้ : ก็รู้ว่าสิ่งที่เราทำไปมันไม่ใช่ ผมจำได้ว่าหลังจากถ่ายฉากนั้นเสร็จผมก็ไปเรียนแอคติ้งเพิ่มเติม หาความรู้เพิ่มเติม ฉากถัดมาก็ดีขึ้นแล้ว

 

เวลาเจอคอมเมนต์เยอะๆ เคยคิดแบบไม่เอาแล้ววงการบันเทิง กลับไปทำงานตามที่เราเรียนมาดีกว่า เคยคิดไหม?

ไม้ : เคยครับ มันมีอยู่ช่วงนึงที่เรารู้สึกว่าเราพยายามแล้ว พัฒนาการแสดงยังไงก็ตาม เรารู้สึกว่าเรายังทำมันได้ไม่ดี 1.ตัวยเองเรารู้ว่ามันไม่ใช่ แล้วคอมเมนต์จากผู้กำกับ จากคนดูเรารู้สึกว่าเรายังทำมันได้ไม่มากพอ หรือว่ามันไม่ใช่ทางที่เราถนัด เราจะกลับไปทำอาชีพอื่นหรือหาทางอื่นกับชีวิตดูดีไหม

 

 

ก่อนหน้าจะเข้าวงการ เราจบวิศวะ แล้วมีโอกาสทำงานกับบริษัทใหญ่ บริษัทนึง?

ไม้ : ไปฝึกงานครับ ยังไม่ได้ทำงาน แต่จริงๆ ก่อนหน้านั้นตั้งแต่สมัยเรียนก็จะมีแมวมองมาตลอด ซึ่งผมเอาจริงๆ เป็นคนขี้อาย ไม่ชอบคนเยอะๆ ก็เลยปฏิเสธมาตลอด แค่พอตอนนั้นไปฝึกงานแล้วผมเรียนวิศวะสื่อสาร ไฟฟ้าสื่อสาร มันก็จะอยู่กับคอมพิวเตอร์ แล้วต้องนั่งโต๊ะทั้งวัน ซึ่งผมรู้สึกว่านี่มันไม่ใช่ชีวิตเรา เราจะมานั่งโต๊ะอย่างนี้ไม่ได้ เราต้องขยับ ต้องเดินไปนู่น ไปนี่ เราก็เลยรู้สึกว่าถ้ามันมีโอกาสอะไรในชีวิตลองทำเลย แล้วตอนนั้นบังเอิญคือไปฝึกงานที่บริษัทนั้นแล้วมีพี่เขามาเห็นก็เอาไปประกวดหนุ่ม คลิโอ แต่เราก็ไม่ได้ที่1 นะ แต่หลังจากนั้นก็มีคนมาติดต่อให้ไปประกวดอีก ก็ประกวด M THAILAND ก็ชนะมาแล้วได้เป็นพระเอกครับ

 

เห็นบอกว่าคุณพ่อไม่สนับสนุน ไม่อยากให้เรายุ่งในวงการบันเทิงเลย?

ไม้ : คือคุณพ่อเขาทำงานราชการมา เขารู้สึกว่าอาชีพที่มีเงินเดือนมั่นคง แล้วเราจบวิศวะมาเกรดค่อนข้างดี ก็คิดว่าน่าจะทำทางนี้ได้ดี คุณพ่อก็รู้สึกว่าเสียดายความรู้ที่ไปเรียนมา ทำไมไม่ต่อยอดมัน

 

แล้วทุกวันนี้คุณพ่อว่ายังไงบ้าง?

ไม้ : คุณพ่อเฉยๆ ไปแล้ว ก็ชินที่ลูกเข้าวงการ แล้วบางทีก็ดีใจ ถามว่างานเป็นยังไงบ้าง แต่เขาก็จะไม่ได้มาวุ่นวายมาก เพราะคุณพ่อไม่ได้สนใจด้านนี้

 

แฟนคลับก็อยากให้ไม้ดังๆ?

ไม้ : ผมว่าเรื่องดังเป็นเรื่องของโชค ของดวงด้วยนะ ไม่ใช่ว่าใครจะดังก็ได้ โอกาส เวลา แต่บอกตรงๆ ผมเป็นคนไม่ได้เชื่อเรื่องดวงขนาดนั้น แต่ผมเชื่อว่าดวงของผมโอกาสที่จะเข้ามาไม่ได้ว่าต้องไปทำบุญอะไรขนาดนั้น

 

แต่น้องก็มีการปรับเปลี่ยนเรื่องของชื่อ?

ไม้ : สื่ออาจจะงงๆ เพราะก่อนหน้านี้ผมใช้อีกชื่อนึง แล้วนี่ก็เป็นที่แรกที่มาพูดเลยว่าเปลี่ยนชื่อ แต่ออกเสียงเหมือนเดิมเพียงแต่ว่าเปลี่ยนให้สะกดง่ายขึ้น เพราะว่าชื่อเดิมคนสะกดผิดเยอะมาก

อาจารย์เป็นหนึ่ง : อาจารย์ว่าน่าจะมีคนทักบ้างแหละ แต่จะบอกว่าเธอโชคดีมากที่เธอตัดสินใจเปลี่ยน การที่เธอตัดตัวอักษรบางตัวออกไป เท่ากุับตัดกาลกินีออกไป ตัดเรื่องของภาระ ตัดเรื่องของสิ่งต่างๆ การเริ่มต้นใหม่ในชีวิต การเปลี่ยนชื่อในลักษณะแบบนี้ ปิดท้ายด้วย ธ. คือ ธ.คนนิยม การเปลี่ยนชื่อในจังหวะที่ดี แต่การเปลี่ยนชื่อครั้งนี้นอกจากเปลี่ยนที่ทำงานแล้ว จะมีการเปลี่ยนที่อยู่อาศัย เป็นการเริ่มต้นใหม่ที่ดี

 

 

ไม้มีผลกระทบจากโควิดบ้างไหม?

ไม้ : ก็มีครับ เรื่องงานนี่แหละครับ ทุกคนเป็นเหมือนกันหมด หยุดถ่ายละครไป ช่วงที่หายไปมันคือรายได้เนอะ แล้วก็กิจกรรมอื่นๆ ที่เราจะได้ทำเราก็ไม่ได้ทำ รายได้มันหดหาย เราก็ได้รับผลกระทบอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าผมเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาแล้ว ตั้งแต่โควิดรอบแรก เราก็รู้ว่าจะรับมือกับมันยังไง เพราะมันมีอยู่ช่วงนึงชีวิตในวงการบันเทิงของผมมันขาดรายได้ไปเลย เพราะว่างานมันหยุดชะงัก เห็นเงินในบัญชีออกตลอด เราก็รู้เลยว่าถ้าเราเจอสถานการณ์แบบนี้เราจะรับมือยังไง

 

รายได้ที่หายไปเท่าไหร่?

ไม้ : ก็หลายล้าน รายได้ที่ควรจะเข้ามา คือมันไม่มีเงินเข้าเลย เงินก็ออกไปเป็นล้านๆ เราก็เลยรู้สึกว่านี่ไงที่แม่สอนมาตลอด ว่าอย่าใช้เงินฟุ่มเฟือย หลังจากนั้นผมรู้แล้วว่าจะต้องไม่ประมาท เพราะอะไรก็เกิดขึ้นได้ แล้วก็เตรียมตัวไว้ว่าถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้อีก เรามีเงินเก็บพอไหม เงินสำรองพอไหมที่จะอยู่ได้

 

เห็นว่าคุณแม่ไปบวชชีตลอดชีวิตเลย?

ไม้ : ตลอดชีวิตเลยถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ต้องบอกว่าตั้งแต่ผมเด็กๆ เลยคุณแม่สนใจทางนี้ แล้วพอคุณแม่เกษียณก็มาเปิดร้านอาหารอยู่พักนึง ท่านคงรู้สึกเหนื่อย แล้วคงอยากจะไปปล่อยวาง ตัวผมเองอะไรที่ท่านทำแล้วสบายใจผมก็โอเคครับ

 

ย้อนกลับไปที่ไม้บอกว่าถอดใจอยากออกจากวงการ แล้วเพราะอะไรที่ทำให้เรายืนอยู่ตรงนี้ได้?

ไม้ : คือตอนนั้นเรารู้สึกว่าการแสดงของเรามันไม่ได้จริงๆ เลยจะไปทำอย่างอื่น แต่ว่าโชคดีที่มีผู้จัดเรียกเรากลับมาใช้ และให้โอกาสเราอีกครั้ง แล้วตอนนั้นเราก็กลับมาทบทวนตัวเองว่าเราต้องพัฒนาอะไรอีก ปรับปรุงการแสดงยังไงอีก

 

โสดหรือไม่โสด?

ไม้ : ใช้คำว่าโสดไม่สนิทได้ไหมครับ ก็มีคนคุยอยู่ ก็พูดเต็มปากไม่ได้ว่าเราโสดหรือไม่โสด ใช้คำว่าเพื่อนสนิทมากแล้วกัน

 

ทำไมถึงไม่ใช้คำว่าแฟน?

ไม้ : คืออะไรหลายๆ อย่าง ผมเป็นคนเลือกมาก เพราะเรารู้สึกว่าถ้าเราจะรักใครแล้วเรารักจริง แล้วเราต้องมั่นใจว่าคนนี้ใช่จริงๆ ผมมั่นใจว่าผมไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้

 

สเปคยังไง?

ไม้ : ตอนนี้หลังจากที่ผ่านอะไรมามากมาย ผมต้องบอกว่าขอคนที่ผมอยู่ด้วยแล้วผมสบายใจก็พอแล้ว

 


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"