แด่...พี่คณิน บุญสุวรรณ


เพิ่มเพื่อน    

      ไปซะแล้ว...พี่ คณิน บุญสุวรรณ อดีต ส.ส.หลายพรรค ไม่ว่าประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ฯลฯ เห็นว่าเป็นมะเร็ง เลยต้องลาละสละจากโลกนี้ไปในวัย 71 ปี อย่างสงบ ในฐานะคนที่เคยรักกัน เคยคบหาเป็นเพื่อนสนิท มิตรสหาย เมื่อต้องจากลากันในช่วงนี้ จะไม่หยิบมาคิด มาเขียนถึงกันเลยนั้น...คงมิได้ ยังไงๆ ต้องขออนุญาตอำลา-อาลัยคุณพี่ท่านเอาไว้ ณ ที่นี้ ไม่ว่าท่านจะแดงแสนแดงเพียงใดก็ตามแต่...

                                                                 -----------------------------------------------

      คือไอ้ตอนคบๆ กันนั้น...มันยังไม่มีอะไรเหลือง อะไรแดง ยังมีแต่ความถูกต้อง เป็นธรรม แบบทื่อๆ ดื้อๆ ไม่ต้องเสียเวลาไปคิดอะไรให้มันสลับซับซ้อนมากมาย การคบหา รอนแรม กันไปไหนต่อไหน มันจึงไม่ได้ก่อให้เกิด ความเปรี้ยว ระหว่างกันและกันเอาเลยแม้แต่น้อย ประกอบกับคุณพี่ คณิน ท่าน ออกจะเป็นคนใจใหญ่ ใจกว้างเป็นแม่น้ำ เห็นใครได้เหลือเผื่อขาดขนาดไหน ถ้าหากท่านพอมีอะไรติดตัว ท่านพร้อมจะควักให้ใครเขาหมด ช่วงที่อันตัวข้าพเจ้าเองไป บวช ถึงอำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพรโน่น ท่านก็ยังอุตส่าห์รอนแรม ตามไปหาซื้อขนนกยูง หรือหางนกยูง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเอาไว้ไปทำอะไร มาประเคนถึงบาตรพระ เอาเลยถึงขั้นนั้น...

                                                                  --------------------------------------------------

      แต่พอท่านแปรสภาพไปเป็น แดง ด้วยเหตุผล กลใด ก็มิอาจทราบได้...ตอนนั้นก็หายหน้า หายตา ไม่ได้มีโอกาสพบปะเจอะเจอกันมานานพอสมควร เลยไม่มีโอกาสซัก โอกาสถาม ว่าทำไมท่านถึงได้ออกไปทางแดงๆ ถึงปานนั้น แต่ก็เป็นที่พอเข้าใจได้ เพราะบรรดาพรรคพวก เพื่อน ฝูง ญาติสนิท มิตรสหาย อีกเป็นจำนวนไม่น้อย ที่เคยคบหาสมาคมกันมาก่อน ทุกวันนี้...ก็ยังเป็นแดง อย่างไม่คิดจะเปลี่ยนแปรไปเป็นอื่น แม้ว่าหลายต่อหลายราย จะยังคงยึดถือบางสิ่ง บางอย่าง ที่เหนือไปกว่าความเป็นเหลือง เป็นแดง เช่นคำว่า เพื่อน หรือ มิตร ที่เอาเข้าจริงๆ แล้ว มันก่อให้เกิดความสนุกสนาน อบอุ่น ชุ่มชื่น ยิ่งกว่าสิ่งที่เรียกๆ กันว่า การเมือง ไม่รู้กี่สิบ กี่ร้อยเท่า...

                                                                    -----------------------------------------------------

      แต่ก็อย่างว่า...ด้วยสิ่งที่เรียกว่า การเมือง นี่แหละ ที่มันเคยทำให้มิตรกับมิตร สหายกับสหาย หรือแม้แต่พี่กับน้อง พ่อกับลูกแทบฆ่ากันตายเอาง่ายๆ ทั้งๆ ที่มันออกจะเป็นอะไรที่น่าเบื่อ หนาวๆ ร้อนๆ และสุดแสนจะแห้งแล้งเอามากๆ แต่ก็แปลก...ที่ผู้คนจำนวนไม่น้อย ยังดันคิดจะเชิดชู บูชา ยกให้มันเป็นสิ่งที่เหนือไปกว่าคำว่าเพื่อน คำว่ามิตร หรือเผลอๆ...อาจจะเหนือไปกว่าคำว่า คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ เอาเลยก็ไม่แน่ ทุกสิ่งมันก็เลยน่าปวดหัว ปวดเศียร เวียนเกล้า โดยใช่เหตุ การหันมายึดมั่น ถือมั่นกับแนวคิดทางการเมือง จนมองเห็นกันและกันเป็น ศัตรู โดยไม่สนใจคิดหน้า คิดหลัง บ้างเลยว่า เอาเข้าจริงๆแล้ว...แม้แต่ ศัตรู ของตัวเอง หรือฝ่ายตัวเองนั่นแหละ ย่อมต้องถือเป็น เพื่อนร่วมวัฏสงสาร อย่างมิอาจปฏิเสธได้...

                                                                   ----------------------------------------------------------

      อย่างไรก็ตาม...ก็ยังมีบางรายที่แม้จะยึดมั่น ถือมั่น ในแนวคิดทางการเมืองตามแบบฉบับตัวเองอย่างไม่คิดจะผันแปร แต่ก็ยังพร้อมที่จะให้คุณค่ากับคำว่าเพื่อน คำว่ามิตรสหาย อย่างชนิดไม่น้อยไปกว่าถ้อยคำทางการเมืองในแต่ละวรรค แต่ประโยค อย่างเช่นรายหนึ่ง ที่บรรดาผู้คนในวงการบู๊ลิ้ม ตงง้วน ให้ฉายานามเค้าว่า เสือเตี้ย หรือคุณพี่ สนานจิตต์ บางสพาน ที่พกพจนานุกรมประเภท เหี้ย-ห่า-และสารพัดสัตว์ ติดตัวเอาไว้เสมอๆ ไม่ว่าจะเป็นงานศพ งานแต่ง งานบวช ฯลฯ ใครต่อใคร ถ้าได้เคยขึ้นชื่อว่า เพื่อน ขึ้นมาแล้วล่ะก็ เป็นอันต้องได้เห็นน้ำจิต น้ำใจ หัวจิต หัวใจ ของ เสือเตี้ย ปรากฏ แต่งแต้ม อยู่ในงานแต่ละงานเสมอๆ...

                                                                   ----------------------------------------------------------

      ดังนั้น...ไม่ว่า เสือเตี้ย เขาจะคิดอะไร คิดแบบไหน ก็ไม่มีใครคิดจะหยิบเขามาเป็นศัตรู มาโกรธ มาเกลียด อะไรเอาเลยแม้แต่น้อย กลายเป็นผู้ที่ พบเห็นสบายตา-คบหาสบายใจ แม้ว่า มึงจะคิดไม่เหมือนกู หรือ กูจะคิดไม่เหมือนมึง ยังไงก็ตามแต่ ยิ่งในตอนที่ มึง หรือ กู ต้องลาละสละจากโลกนี้ไปแล้ว ถ้าหากมึงยังมัวแต่เอาความคิดของมึงและของกู มาเป็นตัวขีดคั่น แยกแยะความเป็นมิตร ความเป็นศัตรู อยู่ร่ำไป มึงนั่นแหละ...ที่ไม่น่าจะเป็น คน หรือไม่ได้เหลือ คุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ อีกต่อไป เพราะในขณะที่กูตายไปแล้ว ไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรอีกต่อไปแล้ว แต่มึงยังคงคิดอยู่ ยังคงยึดมั่น ถือมั่นอยู่ มึงก็คงต้องรับกรรม ต้องเผชิญเวร เผชิญกรรม ไปตามการ ปรุงแต่ง ของมึงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้...

                                                                      ----------------------------------------------------------

      สรุปรวมความแล้ว...การยึดมั่น ถือมั่น อยู่ในความคิดแบบมึงๆ กูๆ ทำนองนี้ ว่าไปแล้ว...มันออกจะต่อเนื่อง ยาวนาน เกินไปแล้ว หรือน่าจะสมควรแก่เวลาได้แล้ว ยิ่งได้เห็นบรรดาเพื่อน มิตร แต่ละราย ค่อยๆ ร่วง ค่อยๆ ล้มตายกันผล็อยๆ ไปตามวัฏสงสารตามกาลเวลา ที่มันออกจะ สั้น เสียเหลือเกิน สำหรับความเป็นมนุษย์ในครั้งหนึ่ง ชาติหนึ่ง ด้วยเหตุนี้...จึงคงต้องขออนุญาตนำเอาการลาละสละจากโลกนี้ ของคุณพี่ คณิน บุญสุวรรณ มาใช้เป็นอุทาหรณ์ สอนใจ เป็นคติเตือนใจ เพื่อให้ใครต่อใครหันมาคิดในเรื่อง ชีวิต เอาไว้บ้าง แทนที่จะไปคิดแต่เรื่อง การเมือง ที่สุดแสนจะแห้งแล้ง เร่าร้อน และน่าปวดเศียร เวียนเกล้า เสียเหลือเกิน ยิ่งในช่วงที่ ปรากฏการณ์ หลายต่อหลายปรากฏการณ์ ได้สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่า ความสำคัญ ของความเป็นมนุษย์ ได้อุบัติขึ้นมาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ก็น่าจะได้เวลาเริ่มคิดใหม่-ทำใหม่ กันได้มั่งแล้ว...

                                                                       ---------------------------------------------------------

      ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้ จาก Rabindranath Tagore... If there be a stray flower for me I will wear it in my heart. But if there be thorns I will endure them. ถ้าหากบังเอิญเป็นดอกไม้ ข้าฯ ก็จะเก็บมันไว้ในดวงใจ แต่หากมันเป็นขวากหนาม ข้าฯ ก็จะอดทนกับมัน...

                                                                        ----------------------------------------------------------


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"