แฮกล้วงตับกรุงไทย-กสิกร ฉกข้อมูลลูกค้านับแสนราย


เพิ่มเพื่อน    

    แบงก์กรุงไทย-กสิกรฯ โดนแฮกข้อมูลลูกค้ากว่าแสนราย พร้อมยกระดับมาตรการเฝ้าระวังป้องกันข้อมูลลูกค้าเข้มข้นขั้นสูงสุด ยืนยันไม่ส่งผลกระทบลูกค้า ด้าน ธปท.สั่งยกระดับมาตรการป้องกันภัยทางไซเบอร์อย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น
    นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบระบบ IT เป็นประจำ ทำให้ธนาคารพบว่า ในช่วงก่อนวันหยุดยาวต่อเนื่องปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ข้อมูลเบื้องต้นของลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลคำขอสินเชื่อพื้นฐานลูกค้ารายย่อยที่สมัครสินเชื่อผ่านช่องทางออนไลน์ ถูกแฮกด้วยเทคนิคชั้นสูงจากระบบของธนาคาร ซึ่งผลจากการตรวจพบควบคู่กับมาตรการการเฝ้าระวังป้องกันข้อมูลลูกค้าอย่างทันท่วงที ทำให้ธนาคารสามารถหยุดการรั่วไหลของข้อมูลได้ในวงจำกัด และไม่มีความเสียหายทางการเงินแต่อย่างใด
     ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่า ข้อมูลของลูกค้าที่ถูกแฮกส่วนใหญ่เป็นข้อมูลคำขอสินเชื่อลูกค้ารายย่อยที่สมัครสินเชื่อที่อยู่อาศัย สมัครสินเชื่อกรุงไทย Supper Easy ผ่านทางช่องออนไลน์ รวมทั้งสิ้น 1.2 แสนราย โดยในจำนวนนี้เป็นนิติบุคคลประมาณ 3,000 ราย ซึ่งธนาคารขอยืนยันว่าไม่พบความเสียหายทางการเงินใดๆ ในบัญชีของลูกค้ากลุ่มดังกล่าว ทั้งนี้ ธนาคารจะติดต่อกับลูกค้ากลุ่มดังกล่าวโดยตรง เพื่อแจ้งให้ทราบถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมทั้งให้คำแนะนำในการป้องกันความเสี่ยง
     ขณะเดียวกัน เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ดังกล่าว ธนาคารได้ร่วมมือกับบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้าน Cyber Security & Digital Forensics ดำเนินการตรวจสอบและยกระดับการป้องกันการเข้าถึงข้อมูลลูกค้าทั้งหมดของธนาคารโดยทันที เพื่อให้มั่นใจว่าข้อมูลของลูกค้าทุกกลุ่มมีความปลอดภัยมากที่สุด ซึ่งธนาคารได้รายงานเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อธปท.เรียบร้อยแล้ว 
    นายพิพิธ เอนกนิธิ กรรมการผู้จัดการธนาคารกสิกรไทย เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคมที่ผ่านมา ธนาคารพบว่ามีข้อมูลรายชื่อลูกค้าองค์กรของธนาคารประมาณ 3,000 ราย ที่ใช้เว็บที่ให้บริการหนังสือค้ำประกัน อาจหลุดออกไปภายนอก ซึ่งเมื่อธนาคารทราบเรื่อง ได้ดำเนินการปิดช่องโหว่ทันที และได้เพิ่มระดับการเฝ้าระวังและป้องกันให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดข้อมูลรั่วไหลอีก สำหรับข้อมูลที่อาจจะหลุดไปเป็นข้อมูลสาธารณะทั่วไปเฉพาะของลูกค้าที่ใช้บริการหนังสือค้ำประกันผ่านช่องทางเว็บเท่านั้น อาทิ ชื่อบริษัท หมายเลขโทรศัพท์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับข้อมูลสำคัญด้านธุรกรรมหรือการเงินของลูกค้า จึงไม่น่าจะนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงโจรกรรมได้ และจากการตรวจสอบยังไม่พบว่าเกิดความเสียหายกับลูกค้ารายใด 
    อย่างไรก็ตาม ธนาคารจะยังเฝ้าระวังความผิดปกติของบัญชีลูกค้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับสาเหตุเบื้องต้น น่าจะเกิดจากกลุ่มแฮกเกอร์ที่มีความพยายามที่จะเจาะเข้าระบบของหน่วยงานต่างๆ มาตลอด สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ ธนาคารได้รายงานให้ธนาคารแห่งประเทศไทยได้รับทราบแล้ว ทั้งนี้ ธนาคารมีแผนที่จะแจ้งให้ลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบทราบเป็นรายองค์กร หากลูกค้าตรวจพบความผิดปกติของธุรกรรมที่เกี่ยวข้อง ธนาคารพร้อมรับผิดชอบและให้ความช่วยเหลือ โดยลูกค้าสามารถติดต่อมายัง K-Biz Contact Center 0-2888-8822 ตลอด 24 ชั่วโมง
    นายรณดล นุ่มนนท์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาได้รับรายงานจากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ว่ามีข้อมูลที่ไม่เกี่ยวกับธุรกรรมการเงินของลูกค้าบางส่วนหลุดไปยังภายนอก โดยกรณีของธนาคารกสิกรไทยเป็นข้อมูลลูกค้านิติบุคคลที่เป็นข้อมูลสาธารณะซึ่งหาได้ทั่วไป ส่วนของธนาคารกรุงไทย ส่วนใหญ่เป็นข้อมูลคำขอสินเชื่อของลูกค้ารายย่อยและนิติบุคคลบางส่วน 
    หลังจากธนาคารทั้งสองแห่งตรวจพบปัญหาก็ได้เร่งตรวจสอบทันที ซึ่งพบว่ายังไม่มีลูกค้าที่ได้รับความเสียหาย และข้อมูลที่หลุดออกไปไม่ใช่ข้อมูลธุรกรรมทางการเงิน โดยธนาคารทั้งสองแห่งได้ดำเนินการปิดช่องโหว่ของระบบดังกล่าว และได้ตรวจสอบระบบงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งจัดให้มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาประเมินทุกระบบงาน เพื่อให้มั่นใจว่าการป้องกันครอบคลุมระบบงานและฐานข้อมูลทั้งหมด  
    ธปท.ได้สั่งการและกำชับให้ธนาคารทั้งสองแห่งยกระดับมาตรการป้องกันภัยทางไซเบอร์อย่างเข้มงวดยิ่งขึ้น และดูแลไม่ให้ลูกค้าได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น รวมทั้งสื่อสารให้ลูกค้าที่เป็นเจ้าของข้อมูลได้รับทราบ ทั้งนี้ ธปท.ได้กำชับให้ธนาคารทั้งสองแห่งเตรียมมาตรการเยียวยาลูกค้า หากเกิดความเสียหาย รวมทั้งได้แจ้งสถาบันการเงินทุกแห่งปิดช่องโหว่ดังกล่าว และเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษด้วย
    เหตุการณ์ข้างต้นถือเป็นภัยทางไซเบอร์ที่เกิดขึ้นกับองค์กรและสถาบันการเงินทั่วโลก ธปท.ตระหนักถึงความเสี่ยงดังกล่าว จึงได้ทำงานร่วมกับผู้กำกับดูแลในภาคการเงินอย่างใกล้ชิด และสั่งการให้สถาบันการเงินยกระดับการรับมือภัยไซเบอร์ ทั้งด้านการเพิ่มมาตรการป้องกันภัยให้รัดกุมเท่าทันกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น และการเฝ้าระวังอย่างเข้มข้นด้วยการใช้เครื่องมือช่วยตรวจจับรายการผิดปกติ โดยหากเกิดเหตุการณ์ภัยไซเบอร์ขึ้น สถาบันการเงินจะต้องดำเนินการแก้ไขปัญหาอย่างรวดเร็ว และดูแลรักษาผลประโยชน์ของลูกค้าไม่ให้เสียหาย เพื่อให้ประชาชนเกิดความมั่นใจในการใช้บริการกับสถาบันการเงิน
    นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า สมาคมธนาคารไทยให้ความสำคัญกับเรื่องการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลลูกค้าและระบบสารสนเทศของธนาคารมาตลอด โดยตั้งแต่ปี 2560 ที่ผ่านมา สมาคมได้มีการจัดตั้งศูนย์ประสานงานความมั่นคงปลอดภัยสารสนเทศภาคการธนาคาร หรือ TB CERT (Thailand Banking Sector Computer Emergency Response Team) ซึ่งเป็นความร่วมมือของธนาคารสมาชิกในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉินทางเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยจะมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร ความรู้ แนวปฏิบัติที่ดีระหว่างธนาคารสมาชิก
    ทั้งนี้ ตามที่มีข่าวว่ามีข้อมูลของลูกค้าของบางธนาคารรั่วไหลออกไปภายนอก สมาคมธนาคารไทยได้ติดตามกรณีนี้อย่างใกล้ชิด และมีการประสานงานกับธนาคารสมาชิก โดยในเบื้องต้นได้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลของเหตุการณ์นี้ในระหว่างธนาคารสมาชิก และให้ธนาคารต่างๆ ทำการตรวจสอบและปรับปรุงระบบเพื่อป้องกันปัญหา และในลำดับต่อไปจะร่วมมือกับธนาคารสมาชิกในการยกระดับการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและระบบสารสนเทศ หรือที่เรียกว่าการยกระดับความปลอดภัยทางไซเบอร์ ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อให้มั่นใจว่าระบบของธนาคารต่างๆ มีความมั่นคงปลอดภัย รวมทั้งจะมีการให้ความรู้แก่ลูกค้าและประชาชน ในการดูแลรักษาข้อมูลและการใช้อุปกรณ์ดิจิทัล หรือ Digital Literacy ด้วย.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"