มิติ 'ข้าราชการกับการเมือง'


เพิ่มเพื่อน    

      เมื่อวาน (๘ ส.ค.๖๑)

      ดูรายการ คสช.ที่ชาวบ้านกระแซะกันว่าเป็นรายการ

      "พักนอนตอน ๖ โมงเย็น"

      ความจริง เปิดโทรทัศน์แช่ไว้ทุกเย็น ถึงตาไม่ได้ดู แต่หูเงี่ยฟังตลอด สนใจตอนไหน หูก็ดึงตามาจ้องซะที

      เมื่อวานสนใจ หูกับตาสมานฉันท์

      เพราะ "ผู้ว่าราชการจังหวัดเพชรบุรี" นางฉัตรพร ราษฎร์ดุษดี กับ "นายทองเปลว กองจันทร์"  อธิบดีกรมชลประทาน มาทำความเข้าใจ........

      เรื่องน้ำล้นสปิลเวย์เขื่อนแก่งกระจาน คือสื่อเสนอข่าวอึกทึกครึกโครมด้วยหวังดี

      ถึงขั้นนับถอยหลัง "ชั่วโมงนั้น-ชั่วโมงนี้" จะท่วมเมืองเพชรบุรี

      ทำเอาชาวบ้านตกใจหมดเลย!

      รายการเย็นวาน เหมือน "อาหารเสิร์ฟตอนหิว" จากปกติ พอแหลกล่าย กลายเป็นขอดจาน

      ก็สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็นประมาณนั้น เมื่อท่านอธิบดีกรมชลฯ ทำแผนภูมิประกอบการอธิบาย ด้วยเส้นทางการเดินทางของน้ำ

      จากเขื่อนแก่งกระจาน มาถึงเขื่อนเพชร ก็แบ่งสันปันส่วนน้ำ จากเขื่อนเพชรไปลงคลองโน้น-ซอยนี้ 

      ที่เหลือส่วนหนึ่ง ก็ปล่อยไหลไปหล่อตัวเมืองกันมดขึ้นพอสัณฐานประมาณ

      สรุปว่า ถ้าพี่ฟ้า-พี่ฝน ไม่หล่นลงมาผิดปกติ น้ำที่ทางจังหวัดและทางกรมชลฯ จัดแผนงานต้อนรับขับสู้อยู่

      จะไม่ท่วมชนิดจมบ้าน-มิดเมือง

      จะมีก็ ท่วมตามปกติพื้นที่ ล้นขึ้นมาแล้วไหลผ่าน

      ส่วนในตัวเมืองเพชรฯ น้ำจะเอ้อเร้อเอ้อเต่อ รอระบายก็ไม่เกิน ๑๐-๑๕ วัน

      นี่..ท่าน "อธิบดีทองเปลว" วิสัชนา

      ที่ผมชอบใจเป็นพิเศษ ตรงที่ท่านอธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง "สปิลเวย์" กับ "สันเขื่อน"

      คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิด ด้วยนึกว่า สปิลเวย์กับสันเขื่อน อันเดียวกัน

      นักข่าวก็เหอะ ฉอดๆ รายงานสดจากพื้นที่ "น้ำล้นสปิลเวย์แล้ว..ท่วมตรงนั้น ตรงนี้แล้ว อีกเท่านั้น เท่านี้ชั่วโมง จะเข้าตัวเมืองแล้ว"

      สื่อความหมายให้ชาวบ้านเข้าใจไปในลักษณะว่า "น้ำล้นสปิลเวย์คือน้ำล้นเขื่อน"

      ซึ่งนั่น นำไปสู่ความหวาดวิตกด้วยจิตเตลิดตามว่า ที่ตามมาจากล้นเขื่อน

      ก็จะเหมือน "เซเปียน-เซน้ำน้อย" น่ะซี!?

      ทุกคนคงรู้จัก "อ่างล้างหน้า" กระมัง แต่ละบ้านยุคนี้ก็ใช้กันมิใช่หรือ 

      บางวัน เผลอ...เปิดน้ำทิ้งไว้

      ไปไหนๆ ทั้งวัน กลับมา อุ๊ยตายหะ...ลืมปิด!

      แต่น้ำไม่เคยล้นอ่างนองห้อง-นองบ้านเลยเห็นมั้ย นั่นเพราะ ที่ตูดอ่างเขาออกแบบมีรูต่อลงท่อระบายน้ำ

      ถึงน้ำระบายจากตูดอ่างไม่ทัน ยังไงๆ น้ำก็ไม่ล้นจากขอบอ่างไหลลงมานอง

      เพราะก่อนถึง "ขอบอ่าง" ซักฝ่ามือ มีซี่ๆ รูๆ เป็นช่องระบายน้ำไว้อีก เมื่อน้ำในอ่างมาถึงตรงนี้ จะไหลลงท่อระบายไปก่อน

      นั่นคือ .......

      น้ำจะไม่ขึ้นมาถึงขอบอ่าง แล้วล้นลงมานองพื้นได้เพราะจะไหลออกทางช่องระบายใต้ขอบอ่างไปก่อน

      คำสปิลเวย์ ก็คือ ช่องทางระบายน้ำ....

      ที่อยู่ต่ำลงไปจาก "สันเขื่อน" เหมือนช่องระบายน้ำของอ่างล้างหน้านั่นเอง

      อธิบดีกรมชลฯ ยกระบบทำงานของอ่างล้างหน้ามาประกอบการอธิบายถึงระบบเขื่อนและสปิลเวย์ให้เห็นภาพอย่างที่ว่านี้

      ต่อจากนี้ เข้าใจกันนะครับ.......

      ถ้าได้ยินคำว่า "น้ำล้นสปิลเวย์" ตกใจได้ แต่ไม่ต้องแตกตื่น

      "ล้นสปิลเวย์" ไม่ใช่ "ล้นสันเขื่อน"

      เพียงแต่น้ำเข้ามามาก ก่อนถึงสันเขื่อน ก็ระบายออกไปก่อนทางช่องระบายที่เรียกสปิลเวย์

      อธิบดีกรมชลฯ ทำความเข้าใจแล้ว ท่านผู้ว่าฯ หญิงคนแรกของเพชรบุรี ก็แจกแจงถึงการรับมือน้ำ

      เป็นการรับมือแบบมีการ "บริหาร-จัดการ" ที่เป็นระบบ สมกับความเป็นแม่เมือง

      สรุปความก็คือ การรับมือวิกฤติน้ำเมืองเพชรฯ ครั้งนี้ ท่านผู้ว่าฯ กับกรมชลฯ ไม่ได้บริหารแบบ ปล่อยให้น้ำลาก แล้วเปะปะตามหลังไปวันๆ

      ทั้งสองเป็น "แกนหลัก" ในฐานะเจ้าของงาน รับรู้และวางแผนบริหาร-จัดการแต่ต้น

      ระดมแผน ระดมคน ระดมเครื่องมือ ประสานหน่วยทหาร-ตำรวจ เป็นขั้น-เป็นตอน

      ก็เลยอย่างที่นายกฯ ประยุทธ์ลงไปดูด้วยตาตัวเองเมื่อวาน คือน้ำน่ะ มันท่วมบ้างแหละ แต่ที่จะท่วมอย่างที่ตีฟองกันไปใหญ่โต

      ด้วยบริหาร-จัดการดีแต่ต้น มันจะไม่ถึงขนาดนั้น!

      พูดกันอีกที........

      ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ "พ่อของเราทั้งแผ่นดิน" พระทรงวางรากฐานไว้ให้

      แก้มลิง คลอง-ซอย ตามพระราชดำริ ทั้งหลายนั่นแหละ

      ทำให้เพชรบุรี "รอด" จากน้ำจมเมือง!

      เมื่อน้ำมา แก้มลิง คลอง ซอย เป็นทางระบายให้น้ำเดินทางไปเที่ยวทะเลได้หลายทาง

      บวกกับทางผู้ว่าฯ ทางกรมชลฯ กับทุกภาคส่วน เอาใจใส่ ไม่เกี่ยงใคร-เกี่ยงมัน ขมีขมันร่วมกันรับมือปัญหา

      ที่จะหนักก็เป็นเบา........

      ชาวบ้านไม่ต้องตูดแช่น้ำนานอย่างตะก่อน!

      สิ่งที่เห็นจากงานนี้ เป็นพฤติกรรม "เปลี่ยนคิด-เปลี่ยนทำ" ของคนในระบบบริหารราชการงานเมือง น่าพินิจ คือ

      "อำนาจ-ตำแหน่ง"

      กับสำนึกด้วยรับผิดชอบใน "หน้าที่" ของข้าราชการ เบ่งบาน ด้วยศักยภาพ "บริหาร-จัดการ" ได้น่าชื่นใจยิ่งขึ้น

      จากเหตุการณ์หมูป่าที่ "ถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอน"

      แค่ระดับ "ผู้ว่าราชการจังหวัด".........

      อดีตถูกอำนาจบริหารครอบจนมีค่าไม่ต่างเจว็ด ตัวงอเป็นกุ้ง คอยแต่ "คิดตาม-พูดตาม-ทำตาม" นักการเมือง

      แต่ "นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร"

      ได้แสดงให้คนทั้งโลกเห็นถึงศักยภาพระดับผู้ว่าราชการจังหวัดนี่แหละ

      สามารถคุมทัพ "บริหาร-จัดการ" ปัญหาที่ "คนทั้งโลก" ยังต้องยอมสยบ ได้สำเร็จ

      จนโลกอุทาน Incredible!

      นี่คือตัวอย่างที่ต้องคิดสะท้อน คนที่เข้ามาเป็นข้าราชการนั้น ล้วนต้องมีคุณสมบัติทางการศึกษาและสังคมเป็นพื้นฐาน

      และกว่าจะเติบโตถึงระดับผู้อำนวยการ ผู้ว่าราชการ อธิบดี ปลัดกระทรวง

      ร้อยละ ๙๐ ต้องถือว่า เป็น "กำลังแผ่นดิน" ที่ผ่านเคี่ยวกรำมาถึงระดับผู้สามารถนำทัพทางบริหารและปกครองได้แล้ว

      อีก ๑๐% "จับสลากขึ้นมาใหญ่" นั่น ไม่ต้องพูดถึง

      แต่ที่ผ่านมา เพราะคนราชการบางส่วน สยบยอมนักการเมืองเป็นเครื่องมือให้เขาใช้กินเมือง "แลกตำแหน่ง"

      ภาพ "ข้าราชการ" ทรงคุณค่าคู่บ้านเมืองแต่อดีต ในรอบ ๒ ทศวรรษมา

      จึงมีค่า "คนรับใช้" นักการเมือง ในระบบราชการ!

      อย่างกรณีที่เชียงราย ที่เพชรบุรีตอนนี้ ถ้าเป็นยุค "นักการเมืองกินเมือง"

      เป็นไปได้สูง วิกฤติหมูป่าติดถ้ำ ๑๓ หมูป่า ถึงออกมาได้ แต่โลกอาจจะเห็นในสภาพ "หมูยอ"

      หรือกรณีน้ำล้นสปิลเวย์เขื่อนแก่งกระจาน ป่านนี้ อย่างที่โหวกเหวกกันว่า แตกแล้ว..ท่วมแล้ว..จมแล้ว..มิดแล้ว

      อาจจริง!

      เพราะอะไร?

      เพราะ ทั้งที่เชียงรายและที่เพชรบุรี สิ่งแรกที่นักการเมืองเห็น คือ ช่องทางผลาญ "งบกลาง"

      สิ่งที่สอง นักการเมืองเห็น ช่องทางดังทางการเมือง แล้วลงไปเจ้ากี้-เจ้าการเอง ทั้งที่ไม่รู้เรื่อง

      แล้วข้าราชการผู้มีหน้าที่ตรงตามงาน ก็ต้องคอยตามตูด พูดแต่..ดีครับท่าน ใช่ครับท่าน ถูกต้องครับท่าน

      ลงท้าย ฉิบหายแล้วคือชาวบ้าน!

      ส่วนตัว ฯพณฯ เบิกบานกับ "งบกลาง" ส่วนงานที่พัง ราชการรับไป

      ใครเซ็นก็ เข้าคุกบ้าง ถูกด่า-ถูกย้ายประจานบ้าง

      นี่...๒ งาน นี้ เป็นตัวอย่างดีที่ อำนาจบริหาร คือคนเป็นรัฐบาล ไม่ไปก้าวก่ายงานฝ่ายปฏิบัติเขา

      ปล่อยให้ผู้มีอำนาจหน้าที่ตามตำแหน่งบริหาร-จัดการปัญหา ด้วยศักยภาพเขา

      รัฐบาลคอยกำกับอยู่ข้างหลัง คอยส่งกำลังบำรุง และคอยตรวจงานตลอดระยะ อย่างที่นายกฯ ประยุทธ์ทำ

      ข้าราชการก็จะมีกำลังใจ มีโอกาสแสดงฝีมือ เป็นข้าราชการที่ "คิดนำ-ทำนำ-พูดนำ"

      ทางโตประเทศ ที่กลายเป็น "ทางตัน" ในอดีต เพราะอย่างนี้

      ต่อจากนี้ "ทางตัน" ถึง "ทางโต" กันซะทีนะ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"