ดีลการเมือง กลุ่มสามมิตร


เพิ่มเพื่อน    

 ดีลการเมือง กลุ่มสามมิตร  ร่วมวงพลังประชารัฐ แบ็กอัพบิ๊กตู่?

                แม้ยังเป็นแค่กลุ่มการเมือง ยังไม่มีสถานะเป็นพรรคการเมือง แต่การขยับของ กลุ่มสามมิตร ที่มีสมศักดิ์ เทพสุทิน และสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นแกนนำ ก็ถูกจับตามองทุกย่างก้าว โดยเฉพาะเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่อง พลังดูด ในการดึงอดีตนักการเมืองทั้งอดีตรัฐมนตรี-อดีต ส.ส.จากพรรคต่างๆ มาร่วมงานการเมืองกับกลุ่มสามมิตร เพื่อเตรียมไปเป็นส่วนหนึ่งของพรรคพลังประชารัฐ ที่จะสนับสนุนให้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้ง

                การขับเคลื่อนการเมืองของกลุ่มสามมิตรต่อจากนี้ อนุชา นาคาศัย แกนนำกลุ่มสามมิตร อดีต ส.ส.ชัยนาท พรรคไทยรักไทย นักการเมืองคนสนิทของสมศักดิ์และสุริยะ บอกเล่าทิศทางของกลุ่มสามมิตรและความชัดเจนในเรื่องการสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ รวมถึงตอบคำถามเรื่องการถูกมองว่าเป็นกลุ่มพลังดูดทางการเมือง

                อนุชา หรือ เสี่ยแฮงค์ ที่นอกจากเป็นคนในแวดวงการเมืองแล้ว วงการฟุตบอลไทยต่างก็รู้จักกันดี เพราะอนุชาอยู่ในวงการฟุตบอลไทยมานาน เช่น เคยเป็นอดีตผู้จัดการทีมฟุตบอลชาติไทย ส่วนปัจจุบันเป็นประธานสโมสรฟุตบอลชัยนาทฮอร์นบิล ในไทยพรีเมียร์ลีก เขาพูดถึงการกลับมาเล่นการเมืองอีกครั้งหลังเว้นวรรคการเมืองหลายปี เพราะเป็น 1 ใน 111 อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยที่ถูกตัดสิทธิ์การเมือง 5 ปี แต่ต่อมาก็ไปทำงานการเมืองอยู่หลังฉากกับพรรคมัชฌิมาธิปไตยและภูมิใจไทย โดยการกลับมาครั้งนี้ อนุชา บอกว่า อาจจะลงสมัคร ส.ส.เขต จังหวัดชัยนาท ซึ่งการที่กลับมาเล่นการเมืองอีกครั้ง เพราะที่ผ่านมาได้ทำงานร่วมกับ 2 แกนนำกลุ่มสามมิตรคือ นายสมศักดิ์ เทพสุทิน กับนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ มาตลอดหลายปี 

....พวกเราอยู่กันแบบพี่แบบน้อง อยู่ด้วยกันมาร่วม 30 ปี ไม่เคยไปไหน จะอยู่ด้วยกันมาตลอด ตั้งแต่ยุคพรรคกิจสังคม ตอนนั้นผมเองก็มีตำแหน่งทางการเมือง แต่ไม่ได้เป็น ส.ส. จนมาตอนนี้จึงกลับมาทำงานการเมืองร่วมกันอีกครั้งกับทั้งท่านสมศักดิ์และท่านสุริยะในกลุ่มสามมิตร

                สำหรับทิศทางการเมืองของกลุ่มสามมิตรต่อจากนี้จะไปทางไหน ตอนนี้ยังพูดอะไรมากไม่ได้ อีกทั้งยังไม่มีการปลดล็อกให้พรรคการเมืองทำกิจกรรมการเมืองได้ มันก็ไม่สามารถไปตอบคำถามอะไรได้ อย่างไรก็ตาม มองว่าการที่ คสช.จะปลดล็อกพรรคการเมืองให้ทำกิจกรรมการเมืองได้ จะปลดล็อกช้าหรือเร็ว ไม่มีผลอะไรในทางการเมือง นักการเมืองทุกคนต่างรู้ดี ว่าจริงๆ มันไม่ได้มีผลอะไร แต่อยู่ที่วิธีคิดของตัวเองว่าจะไปในทางบวกหรือลบ ส่วนใหญ่ชอบไปในเรื่องความขัดแย้ง แต่คนส่วนใหญ่ถามว่ามีใครอยากเห็น ออกมาด่ารัฐบาล ออกมาด่าฝ่ายตรงข้ามที่มีความเห็นทางการเมืองไม่ตรงกัน แทนที่จะคิดในลักษณะอื่น เว้นแต่หากสุดท้ายถ้าการเมืองเดินไปไม่ได้ แบบนั้นถึงค่อยมาว่ากัน ผมเห็นว่าที่เขาออกมา ก็เพราะคุณไปคอยด่าเขาแบบสาดเสียเทเสีย มีเหตุผลบ้างไม่มีเหตุผลบ้าง ก็ด่ากันอยู่อย่างนั้น

...ทิศทางกลุ่มสามมิตร คือการทำการเมืองแบบเข้าถึงพี่น้องประชาชน เข้าไปรับฟังปัญหาของสังคม ของประชาชนมาสะท้อน มาแก้ไข โดยเฉพาะอยากเห็นการปรองดองของคนในประเทศ อยากเห็นประเทศชาติสงบสุข ทุกอย่างเดินไปตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ที่ยกร่างดีไซน์ออกมาเพื่อให้สังคมสงบสุข

...ผมมองว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ดีไซน์ออกมาเพื่อให้สังคมสงบสุข เราก็อยากจะเดินตามนั้น เพื่อให้สังคมเดินไปได้ส่วนหนึ่งก่อน แล้วหลังจากนั้นจะว่าอย่างไรก็มาดูกัน เพราะบ้านเมืองเราบอบช้ำมานานพอสมควร ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จะเห็นได้ว่ากลุ่มสามมิตรพยายามที่จะหลีกเลี่ยงในสิ่งที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในบ้านเมือง ทางกลุ่มสามมิตรจึงพยายามทำการเมืองแบบสร้างสรรค์ ในเชิงการสร้างความปรองดอง เน้นเรื่องการรับฟังปัญหาของประชาชน ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในขณะนี้หรือที่เราสามารถคาดการณ์ได้ล่วงหน้า ว่าเราจะทำอะไรให้กับประชาชนได้บ้าง อันนี้คือทิศทางของกลุ่มสามมิตรมากกว่า ซึ่งทิศทางของเราก็ยืนยันว่าอยากเห็นสังคมสงบสุข ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่เข่นฆ่ากัน ตรงนี้เราผ่านมาหลายครั้งแล้ว เราไม่อยากให้เกิดขึ้นอีก

                อนุชา-แกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวอีกว่า พวกเราในกลุ่มสามมิตรเคยถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองมา ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทยที่มีการยุบพรรค เราอยู่ภายใต้กฎหมาย หากเราไม่ยอมรับเหมือนเช่นบุคคลอื่น มันก็คงมีเรื่องตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ก็จะเห็นได้ว่าไม่เคยมีชื่อพวกเราสมาชิกในกลุ่มสามมิตรออกมาโหวกเหวกโวยวายอะไร พวกเราไม่เคยออกมา พวกเราก้มหน้าก้มตารับคำตัดสินของกระบวนการยุติธรรม เพราะเป็นหลักคิดของคนในกลุ่มว่าต้องเคารพและอยู่ภายใต้กฎหมาย หากไม่ยอมรับกฎหมายสังคมไปไม่ได้ แม้บางครั้งเราอาจจะบอกว่ากฎหมายเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ผมก็เชื่อว่าหากพวกเราไปฝ่าฝืน ไม่ยอมอยู่ใต้กฎหมาย สุดท้ายมันก็อยู่ไม่ได้ เพราะกฎหมายก็ออกมาเพื่อต้องการขจัดปัญหาของสังคม หรือด้วยเงื่อนไขความจำเป็นบางอย่างที่ต้องมีการออกกฎหมายภายใต้เงื่อนไขหลายปัจจัย บางครั้งเพียงกฎหมายกับกฎหมายที่ออกมาเพื่อแก้ปัญหา ถ้าเราคิดไปถึงตรงนั้น เราก็จะรู้ว่าสิ่งที่มันเกิดขึ้นมันเกิดขึ้นเพราะอะไร แล้วใครที่ควรต้องลดบทบาทหรือลดโทนด้วยเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปได้ ไม่ใช่ต้องการแต่จะเอาชนะคะคานกัน ด้วยวิธีการหลายรูปแบบ

“ถามว่าการไปเอาผู้คนออกมาบนท้องถนน พวกเรานักการเมือง หากพูดกันตรงๆ ผมว่านักการเมืองเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เอาผู้คนออกมาได้หมด แต่แบบนั้นเขาเรียกว่า เอาความรักความศรัทธาของประชาชนมาเข่นฆ่ากัน ฝั่งหนึ่งรักกลุ่มหนึ่ง แต่ฝั่งตรงข้ามก็รักอีกหนึ่งกลุ่ม คือมันต้องมีข้างมีพวกอยู่แล้วสังคม นี่หรือคือสิ่งที่เราเรียกว่าประชาธิปไตย

 ...ทุกคนต่างก็พากันอ้างระบอบประชาธิปไตยกันหมด ระบอบประชาธิปไตยคืออะไร ก็การเลือกตั้ง อำนาจเป็นของประชาชน คือหลักใหญ่ แต่เสร็จแล้วทุกคนก็บอกกันหมดว่า นี่คืออำนาจประชาชน แต่บางครั้งบางสิ่งบางอย่างที่มันเกิดขึ้นก็คือ นักการเมืองไปเอาความรักความศรัทธาของประชาชนออกมาเข่นฆ่ากัน ฝั่งหนึ่งเห็นอย่างหนึ่ง แต่อีกฝั่งก็เห็นอีกอย่าง เพราะเพียงแค่อำนาจตัวเดียว ถามว่าคุณคิดกันถูกหรือยัง นักการเมืองควรที่ต้องกลับมาคิดกันใหม่ได้หรือยัง นักการเมืองกับการที่นักการเมือง คุณเล็งถึงแต่อำนาจ จนลืมไปว่า ประชาชนมีหลายฝ่าย คุณจะบอกว่า ประชาชนฝั่งของคุณจะต้องเป็นที่หนึ่งตลอดกาล หรือจะบอกว่า ฝ่ายหนึ่งเข้ามาโดยไม่ชอบ ทุกอย่างเถียงกันได้สารพัด แต่ขอเพียงให้เถียงกันอยู่ภายใต้กรอบ ไม่ใช่ไปเอาประชาชนออกมา แล้วมาบอกว่ากฎหมายของเราใช้ไม่ได้ แบบนี้มันใช้ไม่ได้

 ถามถึงกระแสจับจ้องมองว่ากลุ่มสามมิตรเกิดขึ้นเพื่อหนุนหลังพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา โดยเฉพาะ อนุชา แจงว่า เราไม่อยากบอกว่าสนับสนุนใคร แต่จุดเริ่มต้นทางการเมืองที่ทำให้มีกลุ่มสามมิตร ก็เพราะพวกเราคือคนกลุ่มหนึ่งที่ทำการเมืองอยู่แล้ว การที่เกิดขึ้นมา ก็เกิดขึ้นมาด้วยวิถีทางการเมือง หลังมีการส่งสัญญาณมาจากภาครัฐว่าจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้น แล้วจะมีตัวเลือกไหนที่จะเป็นตัวเลือกของประชาชน คำว่านักการเมือง ก็คือคนที่ทำงานการเมือง ที่เราก็คิดกันว่าจะมีทางไหนที่จะขึ้นมาเป็นทางเลือกของประชาชน

ไม่ว่าจะไปอยู่ทางไหน จะไปสนับสนุนพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ให้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป หรือจะไปสนับสนุนการตั้งพรรคพลังประชารัฐ มันก็เป็นวิถีทางการเมืองที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคตตามเงื่อนไขการเมืองที่จะไปสู่การเลือกตั้ง แกนนำกลุ่มสามมิตรระบุ 

แกนนำกลุ่มสามมิตร เล่าว่า จุดเริ่มต้นทางการเมืองของกลุ่มสามมิตร ก็เริ่มต้นกันง่ายๆ หลังนายภิรมย์ พลวิเศษ อดีต ส.ส.โคราช พรรคพลังประชาชน ได้ไปเจอกับนายสมศักดิ์และนายสุริยะ จนเกิดกลุ่มสามมิตรขึ้นมา แล้วก็เป็นการดำเนินงานทางการเมือง ซึ่งแตกต่างจากกลุ่มการเมืองอื่นๆ มันเลยกลายเป็นประเด็นการเมืองขึ้นมา แล้วคนในกลุ่มเช่นนายภิรมย์ ต้องการทำงานการเมืองรูปแบบหนึ่งที่อาจตรงกับความต้องการของสังคมก็ได้

...สิ่งเหล่านี้ก็ควรได้รับการสนับสนุนจากทางกลุ่ม และทางเรา เป็นกลุ่มการเมืองที่อยากเห็นความสงบสุขของบ้านเมือง เห็นได้จากที่จะไม่เคยเห็นชื่อของพวกเราเลยในความขัดแย้งทางการเมืองในอดีตก่อนหน้านี้ แม้แต่ตอนที่พวกเราในกลุ่มโดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง เราไม่เคยออกมาหรือแสดงความเห็นในเรื่องที่จะทำให้มีการออกมาสู้รบกันบนท้องถนน อันเป็นเครื่องยืนยันว่า เราไม่เห็นด้วยกับการยืนอยู่บนวิถีประชาธิปไตยที่ออกมาแบบนั้น ที่เมื่อออกมาแบบนั้น (ต่อสู้บนท้องถนน) บ้านเมืองมันไม่สงบสุข เพราะหากไปถึงจุดนั้น ทุกคนก็จะอ้างกันหมดว่า สงบ ปราศจากอาวุธ แต่ผมก็ไม่เห็นทำแบบนั้นกันได้จริงสักราย เพราะทุกอย่างก็ก้าวเข้าไปสู่ความรุนแรง การละเมิดกฎหมาย เพื่อให้กลุ่มของตัวเองประสบความสำเร็จในสิ่งที่ต้องการ โดยเริ่มมาจากการอ้างคำว่า ประชาธิปไตย อ้างเรื่องความไม่ชอบธรรม

...ผมคิดว่าการเมืองตรงนี้พวกเรานักการเมืองควรต้องกลับมาคิดกันใหม่ ต้องหันหน้ามาพูดคุยกันใหม่ในเรื่องความชัดเจนที่ในอนาคต ประเทศชาติต้องเดิน เพราะหากนักการเมืองยังเห็นแต่ประโยชน์ของกลุ่มและพวก และสิ่งที่ได้รับในอดีต แล้วนำมาเป็นข้ออ้างในการต่อสู้เพื่อจะล้มล้างกัน ผมคิดว่ามันไม่ถูกต้อง เราต้องมาเดินการเมืองกันแบบใหม่เพื่อให้สังคมได้รับประโยชน์มากกว่านี้ เพราะเราเห็นอยู่ว่าความขัดแย้งมีมาตลอด ตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ.2548

-ความขัดแย้งโดยกลุ่มการเมืองเดิมๆ?

ถูก มันไม่มีคนยอมคน เราต้องอย่าลืมว่าประเทศชาติของเรา มีวัฒนธรรม มีบรรพบุรุษ มีหลายสิ่งหลายอย่างที่แตกต่างจากระบอบประชาธิปไตยของที่อื่น เราต้องเข้าใจในบริบทของประเทศ หากเราไม่เข้าใจแล้วยังคิดแบบนี้ ผมเชื่อว่าสังคมหรือประชาชน ก็คงได้รับแต่เรื่องที่วนเวียน ที่นำไปสู่ความขัดแย้งต่อไป

                อนุชา-แกนนำกลุ่มสามมิตร พูดถึงเสียงวิจารณ์กลุ่มสามมิตรในเรื่องพลังดูด ที่เกิดขึ้นตอนนี้ว่า พลังดูดเป็นคำพูด การกล่าวอ้างของพรรคการเมืองที่สูญเสียอะไรบางอย่างเลยยกมากล่าวอ้าง ผมถามว่าคนเราเป็นนักการเมืองการไปดูดกันง่ายๆ สังคมการเมืองเราแย่มาก แต่สิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ใช่ แต่เป็นเรื่องปกติของวิถีทางทางการเมืองที่นักการเมืองบางส่วนเขามองว่าทิศทางการเมืองของประเทศควรไปทางไหน สิ่งที่เขาควรทำ เขาควรทำอะไรให้กับประชาชน หรือเขาหลีกหนีอะไรบางอย่างด้วยตัวเขาเอง เหมือนหลายกรณีที่ปรากฏออกมา

มันไม่ใช่หรอกที่ใครจะไปเสนอตำแหน่งอะไรได้ ใครจะไปเสนอได้ เขาคิดกันได้อย่างไร ถามว่ากลุ่มสามมิตรเป็นใครที่จะไปเสนอตำแหน่งอะไรให้คนมา กลุ่มสามมิตรเป็นใครที่จะไปเที่ยวกำหนดคดีความของผู้คน และกลุ่มสามมิตรเป็นใครที่จะไปเอาเงินไปเสนอให้กับผู้คน มันไม่ใช่ เพียงแต่ว่ากลุ่มสามมิตรคือกลุ่มนักการเมืองที่มีเครดิต

-แต่คนก็มองว่ากลุ่มสามมิตรมีความเชื่อมโยงกับคนในรัฐบาล เลยอาจมีช่องทางเสนอเงื่อนไขตรงนี้เข้ามาในการไปดึงคนเข้ามาอยู่ด้วย?

อันนั้นเป็นเรื่องจินตนาการในสมอง บ้านเมืองมันถึงเป็นแบบนี้ เพราะไปจินตนาการแต่เรื่องแย่ๆ

-มีการพูดกันว่ามีการเสนอผลประโยชน์ เช่น ให้เงินตอนเลือกตั้งหลัก 30 ล้าน หากเป็นระดับอดีต รมต.จะได้อีกเกรดหนึ่ง ก็หลายสิบล้านบาท?

ถามว่า คนเป็นระดับอดีตรัฐมนตรี เงิน 50-60 ล้าน จะไปซื้อเขาได้หรือ คิดได้ยังไง เอาสมองส่วนไหนคิด อดีตรัฐมนตรีก่อนหน้านี้ ถามว่าใครเป็นคนตั้ง การที่ตอนนั้นคุณไปตั้งเขา ก็แสดงว่าเขาต้องเป็นคนดี เป็นคนซื่อสัตย์สุจริต เขาถึงตั้งให้เป็นรัฐมนตรี เสร็จแล้วตอนนี้มาบอกว่าเขาได้รับเงินมา 50-60 ล้านบาท ถามว่าใช้สมองส่วนไหนคิด

-มีการพูดกันในทางการเมืองว่า กลุ่มสามมิตรจ่ายเงินเลี้ยงดูให้คนที่มาอยู่ด้วยเดือนละหนึ่งแสน ถ้าห่างจากการเป็น ส.ส.มานานก็ได้หลักหลายหมื่นบาทต่อเดือน?

ผมคิดว่า ในส่วนพวกนี้เป็นเรื่องธรรมดาทางการเมือง ที่บางทีนักการเมืองมาช่วยกัน มาดูแลซึ่งกันและกันในการที่จะไปทำกิจกรรมทางการเมือง แต่ถามว่ามีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแบบที่พูดกันหรือไม่ ก็ไม่มี

-เรื่องพลังดูดเลยทำให้การเกิดขึ้นของกลุ่มสามมิตร ที่เริ่มต้นก้าวแรกทางการเมืองถูกมองในทาง Negative?

ไม่หนักใจ เพราะว่าสิ่งที่เราทำ เราไม่ได้ไปทำแบบที่เขาพูดกัน ผมคิดว่าพวกเขาต่างหากที่พอคิดแล้ว ตอนบั้นปลายเขาเองจะเป็นฝ่ายได้รับผลกระทบ เพราะกลายเป็นการดูถูกพวกเดียวกันเอง ดูถูกคนที่เคยอยู่ด้วยกันมา กลายเป็นการดูถูกนักการเมือง ถามว่าคุณอยู่บนพื้นฐานแห่งการดูถูกดูแคลนกันทั้งนั้น

ผมถึงถามว่าทำไมนักการเมืองเป็นแบบนี้ ก็เพราะคุณอยู่บนพื้นฐานแบบนี้ คุณถึงมีเรื่องมีราวไม่จบสิ้น อยู่บนพื้นฐานของความคิดที่เป็น Negative

                ส่วนที่มีการวิจารณ์ พูดกันว่า การเคลื่อนไหวของกลุ่มสามมิตรมีนายทหารอยู่เบื้องหลังคอยสนับสนุน เรื่องนี้ อนุชา พูดไว้ว่า ถามว่าเรื่องพวกนี้ผ่านมากี่ยุคกี่สมัยแล้ว ถามว่ามันเป็นไปได้ไหม ยืนยันว่ามันเป็นไปไม่ได้ บางคนมาบอกว่ามีอย่างนั้นอย่างนี้ แต่สุดท้าย ผมก็ไม่เห็นว่ามันเกิดอะไรขึ้นจริง มีแต่เอาไปพูด

ผมถามว่าคนไปคุยกัน ไปชักชวนกัน จะไปชักชวนในเรื่องเสียหายหรือ มีคนชวนกันไปตาย จะมีใครไปตายด้วยหรือไม่ มีแต่เขาชวนกันให้ไปในทางที่ดีขึ้น มีไหม คนไปชวนกัน บอกว่า “มาๆ ไปตายกัน” เขาต้องไปคุยกันแต่เรื่องดีๆ ไปคุยว่าจะสร้างสิ่งที่ดีๆ ให้แก่กัน ไปคุยกันแล้วบอกว่า มาแล้วจะเป็นแบบนี้ สังคมจะสงบสุข บ้านเมืองจะอยู่รอดปลอดภัย ผมเชื่อว่าเขาต้องไปพูดกันทำนองนั้นมากกว่าที่จะไปข่มขู่ ไปรีดนาทาเร้น ผมไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครไปทำแบบนั้น

ถามถึงกรณีมีข่าวว่ามีคนในรัฐบาลเป็นระดับรัฐมนตรีหลายคน คอยสนับสนุนกลุ่มสามมิตร เรื่องตั้งพรรค อนุชา-แกนนำกลุ่มสามมิตร ตอบว่า ผมว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น ถามว่าในแวดวงการเมืองมันมีการพูดคุยกันทุกหมู่ทุกเหล่า ไม่ว่ากลุ่มไหน อาจมีการคุยกันโดยไม่มีคนรู้เรื่อง เหมือนกับการไปคุยกัน ไปคุยกับคนหนึ่งอาจไม่เป็นประเด็น แต่ไปคุยกับอีกหนึ่งคน กลับเป็นประเด็น สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีทั้งความเป็นจริงและไม่เป็นจริง แต่สิ่งที่เป็นจริงก็คือ มันก็มีการพูดคุยกันในกลุ่มนักการเมืองเกือบทุกหมู่เหล่า คุยกับพี่น้องข้าราชการเกือบทุกหมู่เหล่าในภาษาของนักการเมือง

สามมิตร กองหนุนบิ๊กตู่?

-ถ้าจะบอกว่าแนวทางกลุ่มสามมิตรคือสนับสนุนนายกฯ บิ๊กตู่?

สิ่งหนึ่งที่เราเห็นชัดตอนนี้ก็คือ บ้านเมืองสงบสุข เป็นสิ่งที่ชัด ที่ในบรรดานักการเมืองกลุ่มเราต่างก็ถวิลหาความสงบสุขของบ้านเมืองเป็นหลัก เมื่อบ้านเมืองสงบสุข อีกทั้งรัฐบาลมีความตั้งใจในการแก้ไขปัญหาให้ประชาชน เมื่อเรามองเห็นอนาคตของประเทศว่าจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น ไม่ต้องไปฝ่าฟันมรสุมความไม่สงบสุขในแผ่นดิน ผ่านจุดที่จะต้องเสียเลือดเสียเนื้อ

-แต่คนก็มองว่านายกฯ บิ๊กตู่มาจากการยึดอำนาจเป็นรัฐบาลเผด็จการ?

คำว่าเผด็จการ เราเป็นนักการเมืองเราต้องมองตัวเราเองก่อนว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นมาเพราะอะไร นักการเมืองพรรคใหญ่สองพรรคเคยเป็นรัฐบาลมาแล้วทั้งสิ้น แล้วมีอะไรเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นอานิสงส์มาจากนักการเมืองที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน ขัดแย้งกันเพื่อที่จะเข้าสู่อำนาจ หรือเพื่อแสวงหาอำนาจเอาชนะคัดคานกัน แล้วไปนำพี่น้องประชาชนมาสู้รบกัน นำประชาชนที่รักและศรัทธาในฝั่งของตัวเองออกมาสู้รบกันในยามที่ตัวเองขาดอำนาจ นี่คือจุดเดียวกันเลยที่ผ่านมา และนี่คือสาเหตุใช่ไหมที่ทำให้ทหารต้องออกมาทำปฏิวัติรัฐประหาร และเป็นสาเหตุหลักถูกหรือไม่ เมื่อคือสาเหตุหลัก แล้วถามว่าเรามองว่าใครคือผู้ทำผิด เราไม่มองกันเองหรอก แต่กลุ่มของพวกเราไม่เคยไปเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้ เพราะเราไม่นิยมไปสนับสนุนวิธีเหล่านี้

 เราก็มองว่าสิ่งที่ทหารออกมา เคยเห็นใช่ไหมบางครั้งมีรัฐประการแล้วประชาชนนำดอกไม้ไปให้ทหาร มันเพราะอะไร มันเพราะประชาชนเขาเริ่มชิงชังนักการเมืองแล้วใช่หรือไม่ พวกนักการเมืองเราหันกลับมามองดูตัวเองกันบ้างหรือไม่

“บางทีเราต้องถอยหลัง ถอยหลังลงคลองแบบที่เขาบอกกันเพื่อไปชำระล้างตัวเองกันบ้างไหม ดีไหมพวกนักการเมือง ถอยหลังลงคลองไปอาบน้ำชำระล้างตัวเองกันดีไหม”

ซักถามเพื่อต้องการรู้ท่าทีของกลุ่มสามมิตรต่อไปว่า สรุปว่าตอนนี้มีนายกฯ บิ๊กตู่คนเดียวที่จะทำให้ประเทศชาติสงบสุขได้ อนุชา-แกนนำกลุ่มสามมิตร ให้ความเห็นว่า ถามว่ามีนายกฯ ลุงตู่คนเดียวหรือไม่ เมืองไทยผมบอกให้มีคนเก่งเยอะ แต่ใครที่มีทั้งโอกาสและรับอาสา การที่เราจะเลือกใครมาเป็นผู้นำก็ต้องมีความเก่งและเขาอาสามาด้วย มันไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นเผด็จการหรือไม่เผด็จการ เพราะการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะมีขึ้นยังไงก็คือระบบประชาธิปไตย การที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่ผ่านกระบวนการเห็นชอบของประชาชนผ่านการทำประชามติ ถูกดีไซน์มา ก็เพื่อให้อนาคตของระบอบประชาธิปไตยเป็นแบบนี้

-ถ้านายกฯ บิ๊กตู่มาตามช่องทางรัฐธรรมนูญ เช่นลงในบัญชีรายชื่อแคนดิเดตนายกฯ พรรคการเมือง แล้วได้รับเสียงโหวตจากที่ประชุมรัฐสภาให้เป็นนายกฯ ก็มาตามครรลองแล้ว?

ก็มาตามครรลองประชาธิปไตย หากมาตามรัฐธรรมนูญ แต่ใครจะชอบหรือไม่ชอบ ว่าควรมาจากช่องทางไหน มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

-จะมาบอกว่าสืบทอดอำนาจไม่ได้แล้ว?

ถูกต้อง

-ถามชัดๆ ว่ากลุ่มสามมิตรคือกองหนุนบิ๊กตู่?

ไม่ใช่ แต่กลุ่มสามมิตรคือกลุ่มที่จะทำเพื่อความถูกต้อง ความสงบสุขของประเทศ ใครที่จะทำให้ประเทศชาติสงบสุขและเดินต่อไปข้างหน้าได้ กลุ่มสามมิตรก็จะทำแบบนั้นตามครรลองประชาธิปไตย

-สุดท้ายหากกลุ่มสามมิตรได้ไปอยู่กับพรรคการเมืองใด แล้วมีแนวทางแบบนี้ เกรงไหมจะถูกโจมตีช่วงหาเสียงเลือกตั้งว่าเป็นพวกพรรคทหาร สืบทอดอำนาจให้ คสช.เป็นสะพานให้ คสช. ?

เราไม่ได้มองว่าเราจะต้องเป็นฝ่ายเป็นพรรคหนุนทหาร หรือไปหนุน คสช. ไปหนุนการสืบทอดอำนาจ ยืนยันว่าไม่ใช่ เราต้องการเห็นบ้านเมืองสงบสุข ใครที่สามารถทำให้บ้านเมืองสงบสุขได้ แล้วมาด้วยระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ใครที่สามารถทำให้ประเทศชาติเดินไปได้ มีความสงบสุข ไม่ต้องมารบราฆ่าฟันกันอีก และมีความตั้งใจทำประโยชน์ให้ประชาชน เราก็ยินดีสนับสนุน เราก็สนับสนุนเขาเต็มที่

 อนุชา ยังพูดถึงอนาคตของกลุ่มสามมิตร หลังเราถามว่ามีการมองว่ากลุ่มสามมิตรที่มีข่าวจะไปร่วมจัดตั้งพรรคพลังประชารัฐ จะเป็นการทำการเมืองแบบชั่วคราวเป็นแบบพรรคเฉพาะกิจ ว่า คนเก่งยังมีอีกเยอะ ต่อไปก็ต้องมีผู้อาสา ส่วนพรรคการเมืองจะเป็นอย่างไรต่อไปในอนาคต ก็เป็นเรื่องของวิถีทางการเมืองที่ถามว่าพวกเราอยากให้มันเป็นอย่างไร เราก็อยากให้เป็นสถาบันการเมืองที่ตั้งเป้าไปที่ความสงบสุขของแผ่นดิน นำประเทศชาติไปสู่ความสงบ

-แต่ภาพการเมืองของคนในกลุ่มเช่นท่านสมศักดิ์ ก็มีคนมองว่าย้ายพรรคบ่อย มักไปอยู่กับฝ่ายขั้วอำนาจ?

หากใครรู้จักนายสมศักดิ์ เทพสุทิน จะพบว่าท่านสมศักดิ์อยู่พรรคกิจสังคมตั้งแต่อายุช่วง 25-27 ปี  อยู่กับกิจสังคมจนต่อมาท่านมนตรี พงษ์พานิช อดีตหัวหน้าพรรคกิจสังคมเสียชีวิต แสดงให้เห็นถึงการมีจุดยืนทางการเมือง แต่เมื่อต่อมาท่านมนตรีเสียชีวิต พรรคก็เลยขาดเสาหลัก เลยมีคนย้ายกันออกมา กลุ่มของท่านสมศักดิ์ที่มีผมด้วย ก็เลยย้ายจากกิจสังคมมาอยู่กับพรรคไทยรักไทย มาอยู่ก็หวังว่าอยู่ไปได้ตลอดรอดฝั่ง แต่ต่อมาก็มาถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิ์การเมืองห้าปี จนต้องยุติบทบาททางการเมือง  เราก็ปฏิบัติตามกฎหมาย แม้จะเสียใจอย่างมาก แต่ก็ต้องยอมรับตามครรลองของกฎหมายและกติกา

-ที่ย้ายพรรคเพราะต้องการผลักดันนโยบายให้สามารถนำไปปฏิบัติได้?

ที่ผ่านมานายสมศักดิ์มีการคิดนโยบายไว้ส่วนตัว เพราะมีประสบการณ์การเป็นรัฐมนตรีมาแล้ว 13 ครั้ง เพื่อจะนำไปแก้ปัญหาให้ประชาชน อยากให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่นโยบายก็ไม่ได้รับการตอบสนอง ท่านก็อึดอัดในฐานะเป็นนักการเมืองที่คว่ำหวอดทางการเมือง เมื่อไม่สามารถนำนโยบายไปสู่การปฏิบัติได้ ก็มาตั้งพรรคการเมือง เช่นตอนที่มีการตั้งพรรคมัชฌิมาธิปไตย ก็คิดตอนนั้นว่าจะผลักดันนโยบายได้ แต่ก็ยังทำไม่ได้ เราคิดว่าจะนำนโยบายไปทำประโยชน์ ไม่ใช่คิดว่าจะเข้าไปอยู่กับกลุ่มที่มีอำนาจ แต่คิดแค่ว่าจะทำอย่างไรให้นำนโยบายที่คิดไว้ไปทำได้

อนุชา-แกนนำกลุ่มสามมิตร กล่าวถึงการเดินสายไปจังหวัดต่างๆ ที่มีการไปดึงแกนนำ-แนวร่วมนปช.มาอยู่กับกลุ่มสามมิตรและร่วมกันตั้งพรรคการเมือง จนถูกมองว่าเป็นยุทธศาสตร์สลายกำลังของเสื้อแดงและบางพรรคการเมืองว่า เรามีนโยบายแนวทางให้ประชาชนอยู่อย่างสงบสุข การแสดงออกถึงการสร้างความปรองดองก็เป็นแนวทางหลักของกลุ่มสามมิตร เราก็ทำไปในทิศทางนั้น การที่กลุ่มสามมิตรจะเลือกใครเป็นผู้นำ เราก็ต้องเลือกคนที่จะทำให้บ้านเมืองสงบสุข และช่วยประชาชนให้เดินไปข้างหน้าได้ ส่วนการเมืองการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร ขณะนี้ยังไม่ถึงเวลาที่จะมาวิเคราะห์กันในช่วงนี้ ประเด็นพวกนี้ยังมีอีกบางขั้นตอนที่เรายังไม่ได้คิดไปถึงตอนนั้น เราคิดตอนนี้ในเรื่องการสร้างความปรองดอง การให้รัฐช่วยเหลือประชาชนได้ 

-คนในกลุ่มสามมิตรอย่างคุณอนุชาก็เคยอยู่ไทยรักไทย มีเพื่อนในเพื่อไทยอยู่มาก?

ใช่ แล้วพวกผมก็ไม่ได้คิดอะไร เราก็คิดว่าในส่วนทางการเมือง หากในอนาคตบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าแล้วสังคมสงบสุข ก็มาแลกเปลี่ยนไอเดียการทำงานกัน มาช่วยกันสร้างสรรค์ทำงานให้ประชาชนเพื่อยกระดับชีวิตพวกเขามา เขารอพวกเราอยู่ มันก็จะทำให้สิ่งนั้นสำเร็จ

เท่าที่เคยเห็นผมทำงานการเมืองมา เคยเห็นผมว่าคนหรือตำหนิคนอื่นไหม จนถึงตอนนี้ผมก็ไม่ว่าอะไรใคร ผมพูดในภาพรวม ยกเว้นแต่มีคนมาก้าวก่ายผมหรือพรรคพวกของผมที่เคารพนับถือ ก็ต้องพูดตอบไปตรงๆ ตามวิชันส์ของลูกผู้ชาย หากจะให้ผมไปท้าตีท้ารบกับใครเพื่อนำตัวเองเข้าในทางการเมือง เพื่อให้ตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิต ผมไม่ทำเด็ดขาด เพื่อให้ตัวเองก้าวหน้าทางการเมืองแล้วฆ่าเพื่อนฆ่าพี่ฆ่าน้อง แบบนี้ไม่มีวันที่จะเห็นผมไปทำแบบนั้น แม้ให้ตำแหน่งผม ผมก็ไม่ทำ

-ที่คนของพรรคเพื่อไทยไปยื่นเรื่องต่อ กกต. โดยบอกว่ากลุ่มสามมิตรเคลื่อนไหวการเมืองได้แค่กลุ่มเดียว แต่พรรคอื่นทำอะไรไม่ได้เลย แบบนี้ทำให้การขยับของกลุ่มต้องระวังมากขึ้นหรือไม่?

เราไม่ต้องระวัง เพราะเราไม่ได้ไปทำในสิ่งที่ผิดกฎหมาย เราไม่ได้เอาเปรียบใคร เราทำตรงไปตรงมา แล้วถามกลับว่าแล้วพวกเขาเดินสายคุยอะไรกันบ้างหรือไม่ รู้อยู่แก่ใจหรือไม่ ปากพูดถึงเรื่องคนอื่น แต่เรื่องตัวเองไม่เอามาพูด พูดโดยมโนภาพคิดว่าฝ่ายตัวเองเสียเปรียบ ทั้งที่ตัวเองก็มีการพูดคุยกันว่าจะเอาอย่างไรกันดี คุณลองสาบานว่าพวกคุณไม่เคยมีการพูดคุยกัน ลูกผู้ชายหรือเปล่า มีแต่ว่าคนอื่น.

....................................................

พร้อมลุยนโยบาย  โคล้านตัว-แท็กซี่ประชารัฐ

                ช่วงที่ผ่านมาแกนนำกลุ่มสามมิตร ทั้งสมศักดิ์ เทพสุทิน, อนุชา นาคาศัย และภิรมย์ พลวิเศษ นอกจากเดินสายทางการเมืองไปจังหวัดต่างๆ เพื่อพูดคุยกับนักการเมือง อดีต ส.ส. แกนนำกลุ่มเคลื่อนไหวการเมืองทั้ง นปช.เสื้อแดง และอดีตแนวร่วม กปปส.แล้ว ยังพบว่าแกนนำกลุ่มมีการเดินสาย เปิดบ้านพักพูดคุยกับตัวแทนกลุ่มอาชีพต่างๆ เช่น แกนนำกลุ่มเกษตรกร, กลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่รับจ้าง จนมีข่าวว่าแกนนำกลุ่มสามมิตรหลังเปิดตัวตั้งพรรคการเมืองอย่างเป็นทางการแล้วก็จะนำนโยบายต่างๆ ไปใช้ในการหาเสียง เช่น นโยบายโคล้านตัว, ข้าวนาปรังไม่ต่ำกว่า 8 พันบาท, โครงการแท็กซี่ประชารัฐ เป็นต้น

                อนุชา-แกนนำกลุ่มสามมิตร พูดเรื่องนี้ว่า แนวคิดเช่นโคล้านตัว นายสมศักด์คิดมานานแล้ว อยากให้เกิดขึ้น มีความตั้งใจจริง อยากเห็นประชาชนหลุดพ้นจากความยากจน เรื่องนี้เป็นโครงการที่ดีมาก เห็นได้จากปัจจุบันที่มีโคขุนจำนวนมากในประเทศไทยเวลานี้ ก็มาจากอานิสงส์ที่ท่านสมศักดิ์ทำไว้ ตอนนั้นมีการทำโดยทดสอบนำวัวไทยธรรมดาไม่ใช่วัวพันธุ์ นำมาขุนมาเลี้ยงอย่างดีถูกต้อง สุดท้ายก็กลายเป็นวัวชั้นดี ที่ช่วยทำให้ประชาชนบางส่วนหลุดพ้นจากความยากจนได้

วิธีการคือให้ยืมวัว โดยคิดเป็นน้ำหนัก แล้วตอนนำมาคืนก็ให้คืนกลับมาโดยคิดจากน้ำหนักวัว  เช่นยืมวัวไปหนึ่งตัว ตอนคืนก็นำมาคืนหนึ่งตัวหรือสองตัว แต่เมื่อยืมไป สุดท้ายได้วัวออกมาใหม่เป็นฝูง ได้วัวมาเป็นสิบตัว บางครอบครัวสิบปีผ่านไปได้วัวฝูงใหญ่เกิดมาเป็นสิบๆ ตัว มีรายได้เพิ่มหลักแสนหลักล้านเพราะนำไปขุนเลี้ยง คนก็มีรายได้มีทุนเพราะการเลี้ยงวัวไม่ต้องลงทุนมาก

ส่วนข้าวนาปรังไม่ต่ำกว่าตันละ 8 พันบาท ก็เกิดจากที่ทางกลุ่มได้ไปพูดคุยพบปะกับประชาชน เกษตรกร มีการคุยกันถึงเรื่องต้นทุนการทำนาปรัง เช่นค่าเช่า ก็พบว่าต้นทุนอยู่ที่ 4,500 บาท หากเกษตรกรขายข้าวนาปรังได้สักอย่างต่ำ 8 พันบาท ก็มีกำไร เขาก็อยู่ได้ มีเงินเลี้ยงครอบครัว ก็เป็นการแก้ปัญหาให้ชาวไร่ชาวนาที่ยากจน ให้เลี้ยงดูครอบครัวได้ ไม่ใช่ทำนาแล้วไม่ได้อะไรเลยก็ไม่ถูกต้อง แต่หากจะให้ได้มากกว่า 8 พันบาทก็ยิ่งเป็นเรื่องที่ดี วิธีการทำจะไม่ใช่แบบจำนำข้าวที่รัฐต้องมีภาระในการนำข้าวมาเก็บมาดูแล มีค่าใช้จ่ายติดตามมาจากการรับจำนำข้าว เช่นค่าเช่าโกดัง แต่วิธีการที่ทางกลุ่มนำเสนอ ชาวนาเขาดูแลข้าวของเขาเองในยุ้งฉาง รัฐไม่ต้องไปยุ่งเกี่ยว รัฐแค่ให้ค่าดูแลข้าวแก่เกษตรกรเบื้องต้นแค่ครั้งเดียว และหากว่าถ้าชาวนาเก็บข้าวไว้ในยุ้งฉางตัวเองได้ ก็จะได้เกวียนละถึงหมื่นบาท

ผมเองอยู่กับท้องไร่ท้องนามาตั้งแต่เกิด เห็นเลยว่าชีวิตชาวนาเขาลำบาก แล้วการจะให้เขาไปทำอาชีพอื่นมันเปลี่ยนแปลงได้ยาก ทุกยุคทุกสมัยก็พยายามแก้ปัญหาให้เกษตรกร พยายามจะไปให้เขาเปลี่ยนอาชีพไปทำอย่างอื่น แต่ถามว่าเคยสำเร็จหรือไม่ และที่ไม่สำเร็จเพราะอะไร ก็ต้องนำประเด็นพวกนี้มาเป็นโจทย์แก้ปัญหา

-ที่ได้ไปร่วมประชุมรับฟังปัญหากับกลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้สะท้อนปัญหาอะไรบ้าง?

คนขับแท็กซี่ กลุ่มผู้ขับรถแท็กซี่เขาก็มีปัญหาหลายเรื่อง เช่นบริการรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน อูเบอร์, Grab เราก็ต้องไปพิจารณาข้อกฎหมาย ว่าสิ่งที่บริการรถแท็กซี่ผ่านแอปพลิเคชัน อูเบอร์, Grabทำถูกต้องตามข้อกฎหมายหรือไม่ ในส่วนนี้ก็คือเป็นการไปแย่งอาชีพสุจริตที่คนขับแท็กซี่เขาทำอยู่ ก็ควรได้รับการปกป้องจากรัฐบาลและสังคมส่วนหนึ่ง

อีกส่วนหนึ่งก็คือการดูแลชีวิตความเป็นอยู่ของเขา ในเรื่องสวัสดิการเช่นการให้บัตร กรณีที่เขาเจ็บป่วยหรือไม่มีผู้โดยสาร ก็ยังมีกลไกที่รัฐยื่นมือเข้าไปช่วยส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งจะเห็นได้ว่าชีวิตของคนไทยขาดโอกาสในการสร้างชีวิตที่ชัดเจน อย่างคนขับแท็กซี่ หากไม่ต้องไปเสียค่าเช่า มีรถแท็กซี่ขับของตัวเอง เช่นทำให้เขามีรถแท็กซี่ของตัวเอง สุดท้ายก็จะเป็นสินทรัพย์ของเขา และเงินที่ต้องเสียไปกับการผ่อนรถก็ยังน้อยกว่าเงินที่เสียไปกับค่าเช่า ก็ทำให้เขาเหลือเงินส่วนหนึ่งและยังมีรถแท็กซี่ที่เป็นทรัพย์สินของตัวเองอีก ทำให้ชีวิตเขามีความมั่นคงในอาชีพ เช่น สมมุติหากคนขับรถแท็กซี่จะออกรถแท็กซี่มาเป็นของตัวเอง โดยที่อาจจะมีการช่วยเหลือเขาในเรื่องการดาวน์รถออกมา ก็ต้องดูว่าจะมีช่องทางการช่วยเหลือ เช่นมีการไปคุยกับบริษัทผลิตรถแท็กซี่หรือไฟแนนซ์เพื่อไม่ให้เสียค่าดาวน์ แต่ใช้วิธีมาผ่อนค่าดาวน์ โดยให้เขาตกลงค้ำกันเองหรือรัฐบาลจะไปยื่นมือช่วยเหลือในการค้ำประกันส่วนแรก  เพราะเชื่อว่าคนขับแท็กซี่เขาไม่เบี้ยวแน่นอน เพราะเท่าที่คุยมาเห็นเลยว่าเขายึดอาชีพนี้เป็นอาชีพหลัก แล้วสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ ก็ควรส่งเสริมให้เขามีชีวิตความเป็นอยู่ที่มั่นคงขึ้น

ภาครัฐก็สามารถไปช่วยเขาได้ ก็จะทำให้คนไทยมีกำลังใจในการทำมาหากินโดยสุจริต โดยรัฐไม่ต้องทำอะไรแค่ค้ำประกันให้เขา เช่นการผ่อนดาวน์ให้ผ่อนวันละ 600 บาท จากที่ปัจจุบันเสียค่าเช่าวันละ 1,200 บาท ก็ทำให้แต่ละวันเหลือเงินวันละ 600 บาท และรถแท็กซี่ที่ผ่อนก็จะเป็นสินทรัพย์ของตัวเอง

ถามถึงเหตุใดกลุ่มสามมิตรเดินสายไปพบกลุ่มคนต่างๆ โดยเฉพาะระดับชนบท คนรากหญ้า ต้องการหาเสียงหรือจะนำไปเขียนเป็นนโยบายพรรค อนุชา เปิดเผยว่า เราต้องการทราบปัญหาเพื่อนำไปเข้าสู่ระดับนโยบาย เมื่อมีโอกาสที่จะสะท้อนปัญหาในส่วนนี้ได้ แล้วยึดโยงกับสิ่งที่เราหวังในอนาคตได้  มันเป็นเรื่องที่เราควรเดินหน้าเพราะเป็นสิ่งที่ถูกต้องทางการเมือง ที่เราในฐานะนักการเมืองควรทำอย่างยิ่ง

-หากกลุ่มสามมิตรเข้าไปเป็นฝ่ายรัฐบาล ก็จะสามารถผลักดันเป็นนโยบายการแก้ปัญหาให้ประชาชน?

ผมว่าจะผลักดันตั้งแต่เวลานี้เลย ต้องสะท้อนปัญหาไปสู่รัฐบาลตอนนี้เลย ให้รัฐบาลรีบทำ หากรัฐบาลแก้ปัญหาเหล่านี้ให้ประชาชนได้ รัฐบาลก็จะเป็นที่รักใคร่ของประชาชน.

โดย ราม ปั้นสนธิ

                                                    วรพล กิตติรัตวรางกูร


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"