พุทธะอิสระพ้นคุก ฟ้องอดีตพระเถระ


เพิ่มเพื่อน    

    อัยการฟ้องแล้ว 10 อดีตพระผู้ใหญ่-ฆราวาส ฟอกเงินทอนวัดสามพระยาและวัดสระเกศ ศาลไม่ให้ประกันหวั่นหลบหนี "พุทธะอิสระ" เฮ! ออกคุก 16 ส.ค. หลังได้ประกันตัวในชั้นฟ้องคดีร่วมกับการ์ด กปปส.ซ้อมตำรวจสันติบาล 
    ที่ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง   ถ.นครไชยศรี เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 1 ได้นำสำนวนเอกสารยื่นฟ้องนายเอื้อน กลิ่นสาลี หรืออดีตพระพรหมดิลก (เอื้อน หาสธมฺโม) อดีตเจ้าอาวาสวัดสามพระยา อดีตกรรมการมหาเถรสมาคม (มส.) และอดีตเจ้าคณะกรุงเทพมหานคร และนายสมทรง อรรถกฤษณ์ หรืออดีตพระอรรถกิจโสภณ อดีตเลขานุการเจ้าคณะกรุงเทพฯ วัดสามพระยา เป็นจำเลย ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริต เพื่อให้ความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (ฟ้องอดีตเจ้าอาวาส) และเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานฯ, ร่วมกันฟอกเงิน อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 กรณีร่วมกันฟอกเงินจากการทุจริตเงินทอนวัดในส่วนอุดหนุนการศึกษาโรงเรียนพระปริยัติธรรม
    โดยศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อท.196/2561 ซึ่งการยื่นฟ้องวันนี้ อัยการไม่ได้คัดค้านการให้ประกันตัว แต่ให้เป็นดุลยพินิจของศาล ขณะที่อดีตพระเถระทั้งสอง ซึ่งถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างการฝากขังและครบกำหนดฝากขังครั้งสุดท้าย แต่ไม่ได้ยื่นคำร้องและหลักทรัพย์เพื่อขอปล่อยชั่วคราวในชั้นฟ้องคดีนี้แต่อย่างใด ตัวจำเลยจึงยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำต่อไป
    ขณะที่พนักงานอัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริต 2 ได้ยื่นฟ้องอดีตพระเถระชั้นผู้ใหญ่วัดสระเกศราชวรมหาวิหารร่วมกับฆราวาส ประกอบด้วยนายธงชัย สุขโข หรืออดีตพระพรหมสิทธิ หรือธงชัย สุขญาโณ อดีตเจ้าอาวาสวัดสระเกศราชวรมหาวิหาร,  นายบุญทวี คำมา หรืออดีตพระศรีคุณาภรณ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ, นายสมจิตร จันทร์ศรี หรืออดีตพระครูสิริวิหารการ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ, นายเทอด วงศ์ชอุ่ม หรืออดีตพระวิจิตรธรรมาภรณ์ หรือเจ้าคุณเทอด อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ, นายสังคม สังฆะพัฒน์ หรืออดีตพระเมธีสุทธิกร และอดีตพระราชอุปเสณาภรณ์ อดีตผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดสระเกศ, น.ส.นุชรา สิทธินอก แม่บ้านร่วมรับโอนเงิน 25 ล้านบาท, นายทวิช สังข์อยู่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับ บริษัท ดีดีทวีคูณ ที่รับผลิตสื่อให้กับวัดสระเกศ และ น.ส.ฑัมม์พร นิพนธ์พิทยา มารดาของ ร.ท.ฐิติทัศน์ นิพนธ์พิทยา 
    เป็นจำเลยที่ 1-8 ในความผิดฐานร่วมกันฟอกเงิน อันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3 (5), มาตรา 5 (1) (2) (3) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, มาตรา 91 กรณีร่วมกันฟอกเงินการทุจริตเงินทอนวัดในส่วนโครงการศูนย์กลางเผยแผ่พระพุทธศาสนา โดยปัจจุบันจำเลยทั้งแปดถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ระหว่างการฝากขัง ไม่ได้รับการประกันตัวเช่นกัน ต่อมาศาลได้รับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อท.197/2561
    ทั้งนี้ จำเลยทั้ง 8 รายในสำนวนที่สอง ได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอปล่อยชั่วคราวในชั้นฟ้องคดีนี้ ซึ่งศาลพิจารณาแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องขอปล่อยชั่วคราวของจำเลยทั้ง 8 ราย โดยศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า พฤติการณ์กระทำความผิดของจำเลยกับพวกมีลักษณะร่วมกันกระทำความผิดเป็นขบวนการโดยแบ่งหน้าที่กันทำ ทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเป็นเงินงบประมาณแผ่นดิน ความเสียหายก็เป็นเงินจำนวนสูง อีกทั้งยังเป็นการกระทบกระเทือนต่อพระพุทธศาสนา พฤติการณ์แห่งคดีจึงเป็นเรื่องร้ายแรง และความผิดตามฟ้องมีอัตราโทษสูง หากอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวก็มีเหตุอันควรเชื่อได้ว่าจำเลยกับพวกจะหลบหนี 
    เมื่อศาลอาญาคดีทุจริตฯ ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้ง 8 แล้ว ทั้งหมดจึงยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ต่อไป
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เหตุที่ระหว่างการฝากขังศาลอาญาคดีทุจริตฯ และศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งยืนไม่ให้ประกันตัว เนื่องจากเห็นว่าการกระทำความผิดมีผลกระทบต่อพุทธศาสนา และมีลักษณะเป็นขบวนการ มีการแบ่งหน้าที่ยักย้ายเงินที่ได้มาผ่านทางธนาคาร จึงต้องมีเอกสารที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดอยู่ในความครอบครองของพวกกระทำผิด หากให้ปล่อยชั่วคราวแล้วเชื่อว่าจะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานเป็นอุปสรรคหรือก่อให้เกิดความเสียหายต่อการสอบสวนของเจ้าพนักงาน ประกอบกับพนักงานสอบสวนคัดค้านด้วย
    สำหรับความผิดฐานร่วมกันฟอกเงินการทุจริตนั้น  ที่ผ่านมามีการฟ้องคดีเข้าสู่ศาลอาญาคดีทุจริตฯ กลางแล้วเพียง 1 สำนวน คือ พระครูกิตติ พัชรคุณ หรือนายสมเกียรติ ขันทอง เจ้าคณะอำเภอชนแดน จ.เพชรบูรณ์ และเจ้าอาวาสวัดลาดแค ที่อัยการสำนักงานคดีปราบปรามการทุจริตยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 22 ก.พ.2561 กรณีที่ร่วมกันกับนายนพรัตน์ เบญจวัฒนานันท์ อดีตผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ (พศ.) อายุ 59 ปี ซึ่งยังหลบหนีคดีสมคบฟอกเงินทอนวัดต่างๆ ในเขต จ.เพชรบูรณ์, นครสวรรค์, ตากและชุมพร ราว 28 ล้านบาท ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 โดยนายสมเกียรติเพิ่งได้ประกันตัวชั้นพิจารณาคดีด้วยหลักทรัพย์ที่ศาลตีราคาประกัน 1.5 ล้านบาท โดยมีการกำหนดเงื่อนไขห้ามจำเลยเดินทางออกนอกราชอาณาจักร ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการรอไต่สวนพยานในชั้นศาล
    ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก พนักงานอัยการสำนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ นำสำนวนส่งยื่นฟ้องนายสุวิทย์ ทองประเสริฐ หรืออดีตพระพุทธะอิสระ อดีตเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อยและแกนนำ กปปส.เวทีแจ้งวัฒนะ อายุ 59 ปี เป็นจำเลย ในความผิดฐานร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขัง หรือกระทำด้วยการใดให้เจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ฯ ให้รับอันตรายสาหัส, ร่วมกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปข่มขืนใจให้ผู้อื่นกระทำการใด ไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายฯ หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309, 310
    คำฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2557 เวลากลางวัน ขณะนั้นมีการตั้งเวทีปราศรัยของกลุ่ม กปปส.ที่ ถ.แจ้งวัฒนะ บริเวณหน้ากรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยมีจำเลยเป็นหัวหน้าผู้นำกลุ่มผู้ชุมนุมบริเวณเวทีดังกล่าวทั้งหมด โดยจำเลยกับการ์ด กปปส.มากกว่า 5 คนขึ้นไป ได้บังอาจร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขัง ใช้กำลังประทุษร้าย ร.ต.ต.สมคิด เชยกมล และ ด.ต.วชิรพงศ์ อุ่นนวลบูรพงศ์ ผู้เสียหายที่ 1-2 ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสันติบาล ที่ได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้เข้าไปทำหน้าที่สืบสวนหาข่าว จนได้รับอันตรายบาดเจ็บสาหัส และเป็นเหตุให้ทรัพย์สินของผู้เสียหายทั้งสองสูญหายมูลค่ารวม 60,900 บาท  ในชั้นสอบสวนจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ทั้งนี้ อัยการได้ขอให้ศาลนับโทษจำเลยต่อจากคดีหมายเลขดำ อ.247/2561 (คดีกบฏ กปปส.) ด้วย
    ต่อมาศาลประทับรับฟ้องไว้เป็นคดีหมายเลขดำ อ.2498/2561 และให้เบิกตัวจำเลยมาสอบคำให้การในวันที่ 16 ส.ค.นี้ เวลา 09.00 น.
    สำหรับอดีตพระพุทธะอิสระขณะนี้ยังถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ เนื่องจากไม่ได้รับการประกันตัวระหว่างฝากขังในคดีนี้ และคดีที่ถูกแจ้งข้อหาปลอมพระปรมาภิไธย จากการนำอักษรพระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. และอักษรพระนามาภิไธย ส.ก. มาประดิษฐานหลังองค์พระเครื่องนาคปรก อุดปรอท รุ่นหนึ่งในปฐพี โดยไม่ได้รับพระราชทาน ทั้งนี้ ยังเป็นจำเลยที่ 16 ในคดีกบฏ กปปส. ฐานร่วมกันกบฏ อั้งยี่ ซ่องโจร และข้อหาอื่นๆ จากการชุมนุมขับไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
    ต่อมาในเวลา 17.45 น. ทนายความของอดีตพระพุทธะอิสระได้ยื่นหลักทรัพย์ 2 แสนบาท พร้อมคำร้องขอปล่อยชั่วคราวในชั้นฟ้องนี้ ซึ่งศาลพิจารณาคำร้องพร้อมหลักทรัพย์แล้วในชั้นนี้ อนุญาตให้จำเลยได้รับการประกันตัว โดยกำหนดเงื่อนไขห้ามเดินทางออกนอกประเทศ เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาล
    ทั้งนี้ สำหรับคดีที่อดีตพระพุทธะอิสระถูกแจ้งข้อหาปลอมพระปรมาภิไธยนั้น พนักงานอัยการยังไม่ได้ยื่นฟ้องเข้ามาภายในกำหนดระยะเวลาฝากขังซึ่งสิ้นสุดลงวันที่ 15 ส.ค. ศาลจึงหมดอำนาจควบคุมตัวในคดีดังกล่าว ซึ่งอดีตพระพุทธะอิสระจะได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ในวันที่ 16 ส.ค. เวลา 08.00 น.
    ด้านนายพิทักษ์ อบสุวรรณ อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ชี้แจงถึงกรณีที่พนักงานอัยการยังไม่ได้ยื่นฟ้องอดีตพระพุทธะอิสระข้อหาปลอมพระปรมาภิไธยว่า พนักงานสอบสวนกองบังคับการปราบปรามเพิ่งจะนำสำนวนพร้อมความเห็นสมควรสั่งฟ้องมายื่นต่ออัยการสำนักงานคดีอาญา ในวันที่ 15 ส.ค. จึงได้มีคำสั่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณาสำนวนโดยมอบหมายให้อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 5 ซึ่งอยู่ในความดูแลของนายเจษฎา อรุณชัยภิรมย์ รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาเป็นผู้ดูแล ทั้งนี้ หากพิจารณาแล้วมีความเห็นสั่งฟ้อง สามารถนัดนำตัวมายื่นฟ้องได้ในภายหลัง เนื่องจากพระพุทธะอิสระเองถูกควบคุมตัวในคดีอื่นอยู่ด้วย.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"