อดีตเลขา อย.ให้ความเห็น ไม่มีความจำเป็นต้องให้วิชาชีพอื่นจ่ายยาได้


เพิ่มเพื่อน    

cr: youtube .com

4ก.ย.61-อดีตรองเลขา อย.ให้ความเห็น ร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ไม่จำเป็นต้องเขียนเรื่องวิชาชีพอื่นให้จ่ายยาได้ ไม่เห็นย้อนอดีต สมัยปี2510 ยังเภสัชขาดแคลน ทำให้กม.ต้องเปิดช่องให้วิชาชีพอื่นจ่ายยา แต่ตอนนี้เภสัชฯ มีมากถึง 40,000 คน  ทางกม. รัฐควรให้ความสำคัญความปลอดภัยคนไข้  แนะบริหารจัดการเกลี่ยร้านขายยา -เภสัช

ภก.ประพนธ์ อางตระกูล อดีตรองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวถึงกรณีการคัดค้านร่าง พ.ร.บ.ยา พ.ศ. ... ว่า แต่ละวิชาชีพมีการเรียนมาแตกต่างกัน อย่างเวชกรรมจะเน้นเรื่องการตรวจวินิจฉัยรักษาโรค ส่วนเภสัชกร จะเน้นเรื่องของยา สูตรยา การผสมยาอย่างไรให้เหมาะสม เหมาะกับคนแต่ละประเภท หรือการใช้ยาร่วมกับยาตัวอื่นหรืออาหารเพื่อให้เกิดความปลอดภัย  ซึ่งทางด้านสาธารณสุข หากสองวิชาชีพทำงานตามหน้าที่และหนุนเสริมกันก็จะทำให้การทำงานเกิดการตรวจสอบซึ่งกันและกัน  ทำให้ประชาชนได้ประโยชน์  ซึ่งการเปิดให้วิชาชีพอื่นจ่ายยานั้น  เกิดจากตอนทำ พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510  ขณะนั้น เภสัชกรขาดแคลน จึงมีการกำหนดไว้ในมาตรา 13(3) ว่า ให้ 3 วิชาชีพ คือ แพทย์ ทันตแพทย์ และสัตวแพทย์ สามารถจ่ายยาให้แก่คนไข้ของตัวเองได้ ซึ่งปัจจุบันเภสัชกรไม่ได้ขาดแคลน เพราะมีเภสัชกรมากถึง 40,000 คน จึงเห็นว่าควรนำเอามาตรการเรื่องความปลอดภัยสูงสุดต่อคนไข้กลับมาใช้ ในพื้นที่ที่มีความพร้อม คือ มีเภสัชกรเพียงพอ สภาพแวดล้อมและระบบรักษาพยาบาลในพื้นที่ก็ต้องมีความพร้อม เช่น จำนวนร้านขายยามีเพียงพอ มีเภสัชกรไปอยู่ประจำครบ จำนวนคลินิก สถานพยาบาล ร้านขายยาไม่ได้อยู่ห่างไกลชุมชน เป็นต้น ต้องเอาองค์ประกอบเหล่านี้มาคำนวณด้วย หากพื้นที่ไหนมีความพร้อม ก็เสนอว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข อาจจะออกประกาศให้แยกผู้สั่งจ่ายยา และผู้จ่ายยาอย่างชัดเจน ซึ่งเป็นมาตรการเรื่องความปลอดภัยที่เป็นสากลอยู่แล้ว

ภก.ประพนธ์ กล่าวว่า ร่าง พ.ร.บ. ยาฉบับดังกล่าวที่มีปัญหาการคัดค้าน เนื่องจากให้ผู้ประกอบวิชาชีพอื่นตามกฎกระทรวงสามารถจ่ายยาเพิ่มเติมได้ ซึ่งกฎกระทรวงนั้นออกได้ง่าย ทำให้เกิดความกังวลกัน และการให้วิชาชีพอื่นจ่ายยาเพิ่มได้แบบนี้ทำให้ไม่มีการตรวจสอบกันระหว่างผู้สั่งจ่ายและผู้จ่ายยา ความปลอดภัยก็น้อยลง อีกทั้งยังมีมาตรา 13(2) ที่ให้ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ทันตกรรม สามารถผลิตยาตามใบสั่งได้ ก่อให้เกิดเรื่องตำรับยาที่ไม่ปลอดภัยต่อผู้ใช้ ซึ่งในปี 2557 เคยมีการประชุมวิชาชีพทางการแพทย์ทั้งหมด ก็เห็นตรงกันว่า หากการผสมยาที่ขึ้นทะเบียนตำรับไว้แล้ว และใช้หลักเภสัชกรรมน่าจะเป็นประโยชน์ ก็อนุญาตในตรงนี้แล้ว ไม่จำเป็นที่จะต้องออกกฎหมายเช่นนี้

ผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ไม่มีเภสัชกร ภก.ประพนธ์ กล่าวว่า พ.ร.บ. ยา พ.ศ. 2510 กำหนดให้ 3 วิชาชีพจ่ายยาได้อยู่แล้ว และยังมีระเบียบกระทรวงสาธารณสุข ว่าด้วยบุคคลซึ่งกระทรวง ทบวง กรม กรุงเทพมหานคร เมืองพัทยา องค์การบริหารส่วนจังหวัด เทศบาล สุขาภิบาล องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น หรือสภากาชาดไทย มอบหมายให้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมในความควบคุมของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2539 จึงทำให้บุคลากรสาธารณสุขที่ประจำใน รพ.สต. เสมือนอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของแพทย์ จึงสามารถจ่ายยาได้ดังนั้นในร่าง พ.ร.บ.ฉบับใหม่ ไม่จำเป็นต้องเขียนเรื่องวิชาชีพอื่นให้จ่ายยาได้ลงไปในร่าง.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"