'ติดกรอบ-นอกกรอบ'


เพิ่มเพื่อน    

      วันๆ ผมอ่านโน่น-นี่ เผอิญเฟ้อไปนิด

      จึงเกิดความรู้สึกหนึ่ง.........

      ตอบสนองข่าวสารว่า ที่ประเทศไทยพัฒนาได้ยาก

      เพราะ "ติด"

      คือติดใน "กรอบคิด-กรอบทำ" เดิมๆ กลัวการคิดนอกกรอบ จนเป็นลักษณะสังคมชาติ

      บ้านเมืองจึงพัฒนาได้ค่อนข้างช้า เมื่อเทียบกับประเทศในรุ่น "ด้อยพัฒนา" ด้วยกันมาก่อน

      ไม่ต้องดูอื่นไกล ดูแค่เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ ก็พอ

      ย้อนกลับไป ๕๐-๖๐ ปี.........

      ไทยอยู่ในระดับ "เหนือกว่า" ทุกด้าน ประเทศเหล่านั้น "ไม่ติดฝุ่น" เรา

      แต่วันนี้ เราต้องหลับตาวิ่ง "หลบฝุ่น"!

      เหตุที่เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะคนไทยไม่เก่ง หากแต่ด้วยถูกวัฒนธรรมสังคม "ติดยึด-ติดสุข" ใน "กรอบคิด-กรอบทำ" เดิมๆ ครอบ

      เมื่อโลกหมุนนำสิ่งใหม่ๆ มา.......

      ทั้งภาครัฐ-ภาคสังคม จึงใช้ปฏิกิริยาตอบสนองเชิงต้านตะพึด ด้วย "ติดยึด-ติดสุข" ที่เป็นมรดกชาติตกทอดนั่นแหละ

      ต่างกับชาติอื่น......

      คนเขามีความทะเยอทะยาน พร้อมจะเปลี่ยนตัวเองเชิง "ก้าวตาม-พัฒนาตาม" สิ่งใหม่ๆ ในแต่ละยุคอยู่เสมอ

      เขาจึงหมุนตาม โดยไม่ตกยุค

      ประเทศขนาดเศรษฐกิจและสังคมระดับเดียวกับเรา อย่าง เกาหลี-ไต้หวัน แม้กระทั่งญี่ปุ่น

      แค่ครึ่งศตวรรษ......

      จึงไต่ระดับ จากด้อยพัฒนา ไปสู่กำลังพัฒนา และตอนนี้ อยู่ในชั้น "พัฒนาแล้ว"

      ในขณะที่เรายังอยู่ในกลุ่มประเทศ "กำลังพัฒนา"!

      ความจริง ไทยเป็น "ศูนย์กลางพระพุทธศาสนาแห่งโลก"

      พุทธศาสนา เป็นศาสนาของคนมีปัญญา

      คนที่ไม่มีปัญญา ยากเป็นพุทธ

      แต่น่าเสียดาย ขุมทรัพย์จากโอษฐ์พระพุทธองค์ กองอยู่เต็มบ้าน-เต็มเมือง คนไทยกลับกอดเปลือก ทิ้งแก่น

      จาก "โอษฐ์พระพุทธองค์" ตรัสไว้..........

      "จงหมุนไปตามโลก แต่อย่าติดอยู่ในโลก"

      คำว่า "หมุนตามโลก" เข้าใจกันได้

      แต่ที่ว่า "อย่าติดอยู่ในโลก" นั้น ความหมาย คือ

      สังคมโลกเขามีอะไรใหม่ ก็หมุนตามเขาไป อย่าฝืนโลก

      แต่ที่หมุนตามไปนั้น.........

      ตามด้วยรู้ อย่าเข้าไปติด-เข้าไปหลงยึดตายตัว!

      แต่ไทยเรา โลกจะหมุนไปไหน...."กูไม่สน"

      กลัวการเปลี่ยนแปลง ไม่ชอบรับรู้สิ่งใหม่ที่ตัวเองต้องปรับสภาพตาม เป็นอยู่อย่างไร ก็พอใจดักดานอยู่อย่างนั้น เรียกว่า "ติดอยู่ในโลก"

      การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมชาติของไทย จึงเป็นไปในลักษณะหนืด ด้วยตัวหน่วง ตัวขวาง ตัวอ้างโน่น-อ้างนี่

      สังคมประเทศจึง "ถูลู่-ถูกัง" ไล่หลังการวิวัฒน์สังคมโลกมาตลอด

      จาก พ.ศ.๒๕๐๐ ถึงวันนี้ พ.ศ.๒๕๖๑ ค่อนศตวรรษ

      จากยุค "คิดตาม-ทำตาม" ฝรั่ง เปลี่ยนประเทศเป็นอุตสาหกรรมเครื่องจักร ในสมัยจอมพลสฤษดิ์

      มาถึงยุค "คิดเอง-ทำเอง" จากอุตสาหกรรมเครื่องจักรรับจ้างผลิตเพื่อส่งออก

      สู่ยุคโชติช่วงชัชวาล ด้วยอุตสาหกรรมปิโตรเลียมในสมัยพลเอกเปรม

      ผ่านไป ๖๐ ปี ถึงยุค "คิดก้าว-ทำใหม่" จากอุตสาหกรรมปิโตรเลียม แตกยอดสู่เศรษฐกิจสังคมใหม่ ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง สมัยพลเอกประยุทธ์นี้

      ถ้ามองโดยไม่เปรียบเทียบกับชาติอื่น ก็เหมือนเราไม่ได้ติดยึดอย่างที่ว่า เพราะพัฒนามาตลอด

      จากคิดตาม เป็นคิดเอง และจากคิดเอง ไปสู่คิดก้าว

      นั่นหมายถึง ทั้งภาครัฐ ภาคสังคม ก็วิวัฒน์ตามการเปลี่ยนแปลงโลกมิใช่หรือ?

      ก็คล้ายอย่างนั้น.......

      แต่ถ้ามองเปรียบเทียบกับเพื่อนประเทศ จะเห็นทันที

      ว่าแต่ละเขยื้อนก้าวของเรา ช้ากว่าเขายุคละ "หลายช่วงก้าว" เลยทีเดียว

      เห็นชัดๆ ๓๐-๔๐ ปีก่อน เมื่อโลกหมุนสู่ยุคคอมพิวเตอร์

      บ้านอื่น-เมืองอื่น "ตื่นรู้" ในการก้าวตาม

      แต่บ้านเมืองไทย โดยเฉพาะระบบราชการที่เป็นตัวนำทิศสังคมชาติ รับรู้วิวัฒน์สังคมโลก ชนิด

      กลัวหรือมีวิสัยทัศน์ต่อวิถี "คอมพิวเตอร์เปลี่ยนโลก" ช้ามาก

      ตราบถึงนาทีนี้ ในภาครัฐก็เถอะ เชื่อมต่อกลไกด้วยไอทีทันยุคโลกาภิวัตน์ได้มาตรฐานหรือยัง?

      โลกวันนี้ ฐานสังคมโลกและสังคมประเทศทั้งหลาย เข้าสู่ระนาบสื่อสารไอทีกันเกือบหมดแล้ว

      แต่สังเกตว่าไทย ยังช้าลักษณะ "ประดัก-ประเดิด" กว่าเขาอยู่มาก

      เมื่อก้าวนำจากภาครัฐ เป็นก้าวที่ช้า องคาพยพประเทศ ก็ช้าไล่หลังไปทั้งหมด

      ที่น่าห่วงมากคือใน "ภาคการศึกษา" ที่เป็นหน่ออ่อนในแปลงเพาะทรัพยากรนำชาติรุ่นต่อๆ ไป

      ทั้งหมดนี้ ไม่ถึงขั้น "ตกยุค" ก็จริง แต่สิ่งต้องใคร่ครวญ คือ

      การไม่ปรับทัศนคติหมุนตามยุค ทำให้ยุคแรกของคอมพิวเตอร์ วิวัฒน์สู่ยุคไอทีครองโลกในวันนี้

      เข้าฟันเฟืองกันไม่ราบเรียบ

      ส่งผลเป็นอุปสรรคซ่อนรูปต่อการพัฒนาสู่ยุค ๔.๐ ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยีชั้นสูง มิติ "คิดก้าว-ทำใหม่" มากทีเดียว

      ประเด็นต้องคิด คือ........

      เมื่อสู่ยุค ๔.๐ จะพบความขัดแย้งพะรุง-พะรัง ระหว่างคน "ติดกรอบคิด" กับคน "คิดนอกกรอบ" ตลอดทาง

      เมื่อวาน (๑๐ ก.ย.) พบข่าวหนึ่งในผู้จัดการออนไลน์ ให้มุมคิดประเด็นนี้ดีมาก ขออนุญาตยกมาประกอบ

      ข่าวเขาบอกว่า.......

      ไม่นานมานี้ ประเด็นคุณครูสอนวิชาคณิตศาสตร์แซ่ซูในเมืองฝอซัน มณฑลก่วงตง ให้การบ้านนักเรียนชั้นประถม ๔ ด้วยการนับเมล็ดข้าว ๑๐๐ ล้านเมล็ดใน ๒ วัน กลายเป็นที่ถกเถียงบนโลกออนไลน์แดนมังกร

        บรรดาพ่อแม่ผู้ปกครองเด็กๆ พากันตั้งคำถามว่า การบ้านข้อนี้ ตั้งขึ้นมาด้วยประโยชน์อะไร?

        ส่วนชาวเน็ตบางคนได้คำนวณว่า หากนับเมล็ดข้าวได้ ๓ เมล็ดต่อ ๑ วินาที ต้องใช้เวลามากกว่า ๑  ปี กว่าจะนับได้เสร็จ

        ทางด้านคุณครูซู ชี้แจงว่า.......

        โจทย์ดังกล่าว ตั้งขึ้นเพื่อสอนให้เด็กๆ รู้จักคิดนอกกรอบ

        โดยวิธีแก้โจทย์ข้อนี้ก็คือ เพียงแค่นักเรียนนับเมล็ดข้าวได้ ๑๐๐ เมล็ด แล้วนำไปชั่งน้ำหนัก

        หลังจากนั้น ก็นำไปคำนวณน้ำหนักต่อเมล็ด แล้วคูณด้วย ๑๐๐ ล้าน ก็จะได้มาซึ่งคำตอบ

        คุณครูระบุต่อไปว่า

        เธอต้องการกระตุ้นให้นักเรียนรู้จักค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาแบบใหม่ๆ นอกจากการท่องจำ

        ซึ่งในชั้นเรียนของเธอ มีนักเรียน ๔๐ คน มีเด็ก ๑๐ คนที่สามารถแก้โจทย์ข้อนี้

        จำได้ว่าปี ๒๕๑๘ ผมเป็นนักข่าว

      ได้ตามคณะ "ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช" นายกรัฐมนตรีขณะนั้น ไปเปิดสัมพันธไมตรีระหว่างชาติกับประเทศจีน

      ใครเคยไปเที่ยวจีนยุคนี้ ถ้าอยากทราบว่า สภาพบ้านเมืองจีน โดยเฉพาะปักกิ่ง สมัยยังเป็นคอมมูนิสต์เมื่อ ๔๐ กว่าปีที่แล้ว มีสภาพเป็นอย่างไร?

      เอาล้านหารร้อย.......

      ผลลัพธ์ที่ออกมานั่นแหละ สภาพเมืองจีนยุคนั้น!

      เพราะคิดนอกกรอบของ "เติ้งเสี่ยวผิง" โดยแท้ ทำให้จีนพลิกสภาพพรวด เร็วปานเพาะถั่วงอก

      หลายวันก่อน อ่านข่าวพบ "นายกรณ์ จาติกวณิช" อดีต รมว.คลัง บอก

      ที่ GPSC บริษัทลูก ปตท.จะซื้อหุ้นบริษัทโกลว์ พลังงาน ก็ดี

      ขยายธุรกิจ คาเฟ่ อเมซอน (Cafe Amazon) ไปตามศูนย์การค้า ก็ดี

      กระทั่ง การจะทำโรงแรมสำหรับคนเดินทางพักแรมตามปั๊ม ปตท.ก็ดี

      ว่านั่น เสี่ยงขัดกฎหมาย.....

      เป็นการเอาเปรียบประชาชน เขาในฐานะ "ทีมนโยบายพรรคประชาธิปัตย์" เห็นว่า

      มีปัญหาเกี่ยวกับกฎหมาย กระทบต่อประโยชน์สาธารณะให้ได้รับความเสียหายอย่างร้ายแรง จะไปร้องเรียนนายกฯ

      นี่ก็เป็นมุมชวนคิดระหว่างคน "คิดติดกรอบ" กับคน "คิดนอกกรอบ" ที่น่าพินิจ

      ใครมีวิธีนับข้าว ๑๐๐ ล้านเมล็ดได้เสร็จก่อน ๒ วัน มาบอกกันบ้างก็ดีนะ.


เมื่อวานคุยเล่น  เรื่องลูกพรรคเพื่อไทย ร้องขอให้ "นายใหญ่" ส่งเมีย "คุณหญิงพจมาน" มาเป็น "ขอนไม้ดุ้นใหม่" ของพรรค ให้ลูกกบ-ลูกเขียดในพรรคได้เกาะ  วันนี้ ขอคุยซีเครียดซักนิด

อนาคต 'คนนินทาเมีย'
'โควิดคลาย-โรคอิจฉาคุ'
ไทย"เหนือคาดหมาย"เสมอ
วิสัยทัศน์"อินทรี-อีแร้ง"
"การ์ดเชิญ"๒๑ ตุลา.
เปิดประเทศ"เปิดตรงไหน?"